ข่าว

10 ส.ส. อนค. ผวาโดนตัดสิทธิ์คดีเงินกู้

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลรัฐธรรมนูญนัด 21 กุมภาพันธ์ ตัดสินยุบพรรค อนค. คดีกู้เงิน 10 กก.บริหารพรรคผวาถูกตัดสิทธิ์ อดเข้าสภา นัด 7 กุมภาพันธ์ ลุ้นคดีเสียบบัตร ชี้ขาดงบ 63 ผ่านหรือไม่

 

              เริ่มนับถอยหลังเข้าไปทุกทีสำหรับคดีพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กู้เงิน นายธนาธร จึงรุงเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 191 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญ (ศร.) ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัย ล่าสุด ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (ตศร.) ได้ประชุมปรึกษาในประเด็นแห่งคดีพร้อมนัดวันเวลาตัดสินคดีดังกล่าวแล้ว

อ่านข่าว - ชี้ชะตา 4 นปช. บุกบ้านป๋า

 

 

 

ศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ชะตา อนค. 21 กุมภาพันธ์

              เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดีที่พิจารณาสำคัญ และเป็นที่น่าสนใจกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ โดยผลการพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญได้อภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยแล้ว เห็นว่า ตามคำร้องของผู้ร้องและคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาคดีพอวินิจฉัยได้ ไม่จำเป็นต้องทำการไต่สวนพยานบุคคล แต่เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา ให้พยานบุคคลรวม 17 ปาก ตามที่พรรคอนาคตใหม่ผู้ร้องยื่นบัญชีระบุพยานมา จัดทำบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริง หรือความเห็นเป็นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ และให้เลขาธิการ กกต. ในฐานะผู้เกี่ยวข้อง จัดทำความเห็นเป็นหนังสือและส่งเอกสารต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เช่นกัน ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 27 วรรคสาม และนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องพิจารณาคดีชั้น 3 ศาลรัฐธรรมนูญ

 

 

 

10 กก.บริหารหนาวถ้าถูกตัดสิทธิ์

              รายงานข่าวแจ้งว่า การนัดอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ในคดีเงินกู้ยืมพรรคจากนายธนาธร จำนวน 191 ล้าน ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ นั้น ศาลอาจมีคำวินิจฉัยได้หลายแนวทาง คือ 1. ศาลมีคำสั่งยุบพรรค แต่ไม่ตัดสิทธิการเมืองกรรมการบริหารพรรค 2. ศาลไม่ยุบพรรค แต่ตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค 3. ยุบพรรคอนาคตใหม่ และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค ซึ่งในแนวทางที่ 2 และ 3 หากกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองจะทำให้กรรมการบริหารพรรคจำนวน 11 คนที่เป็น ส.ส. ต้องพ้นสภาพการเป็น ส.ส. ไปด้วย และจะทำให้ทั้งหมดไม่สามารถอิภปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ได้

 

 

 

              สำหรับรายชื่อกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ประกอบด้วย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (พ้นสภาพ ส.ส.) นายปิยบุตร แสงกนกกุล น.ส.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ นายชำนาญ จันทร์เรือง พล.ท.พงศกร รอดชมภู นายรณวิต หล่อเลิศสุนทร (ไม่ได้เป็น ส.ส.) น.ส.พรรณิการ์ วานิช นายไกลก้อง ไวทยการ นายนิติพัฒน์ แต้มไพโรจน์ (ไม่ได้เป็น ส.ส.) นายสุนทร บุญยอด (ไม่ได้เป็น ส.ส.) น.ส.เยาวลักษณ์ วงษ์ประภารัตน์ นายสุรชัย ศรีสารคาม นายเจนวิทย์ ไกรสินธุ์ นายชัน ภักดีศรี (ไม่ได้เป็น ส.ส.) น.ส.จารุวรรณ ศรัณย์เกตุ

 

7 กุมภาพันธ์ ศาลลงมติปมเสียบบัตร

              ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันเดียวกันศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษากรณีประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 148 วรรคหนึ่ง (1) ว่า ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยผลการพิจารณาได้อภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยแล้วเห็นว่า คดีมีพยานหลักฐานเพียงพอวินิจฉัยได้ โดยไม่ต้องไต่สวน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2563 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง และกำหนดประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัย พร้อมนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติในวันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ เวลา 13.30 น.

 

 

 

              ทั้งนี้ มีรายงานว่าการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจากปม ส.ส. เสียบบัตรแทนกันนั้น ศาลรัฐธรรมนูญอาจมีคำวินิจฉัยได้ 2 แนวทางคือ 1. ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2563 มีความสมบูรณ์ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเพราะผ่านการลงมติของ ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎรอย่างถูกต้องและครบถ้วนตามหลักกฎหมาย โดยในส่วนของ ส.ส. ที่เสียบบัตรแทนกันให้ถือว่าเป็นความผิดเฉพาะบุคคลโดยให้ตกไปเฉพาะในส่วนนั้น และ 2. ศาลรัฐธรรมนูญอาจส่งเรื่องให้สภาเพื่อนำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 กลับไปให้ ส.ส. ลงมติกันใหม่เฉพาะในส่วนของมาตราเกิดปัญหาเสียบบัตรแทนกัน จากนั้นให้สภามีมติรับหลักการในวาราะ 2 และ 3 เพื่อให้งบประมาณปี 2563 มีความสมบูรณ์

 

ตกลงเรื่องวันซักฟอกไม่ได้

              เมื่อเวลา 09.30 น. นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายค้าน และตัวแทนจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดวันประชุมสภา เพื่อพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยมีตัวแทนวิปรัฐบาลที่เข้าร่วมประชุม อาทิ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล ส่วนตัวแทน ครม. ที่มาร่วมประชุม คือ นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ส่วนฝ่ายค้านนำโดย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภา โดยใช้เวลาในการหารือร่วมกันประมาณ 30 นาที

 

 

 

              จากนั้น นายวิรัช ให้สัมภาษณ์ว่า จากการประชุมยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องวัน โดยจะหารือกันอีกครั้ง อาจเตรียมวันเพิ่มอีก 1 วัน จากเดิม 25 - 27 กุมภาพันธ์ เช่น เริ่มอภิปราย 24 กุมภาพันธ์ แต่หากเสร็จใน 3 วันได้ก็จะดี ซึ่งสัดส่วนเวลาเหมาะสมแล้ว ส่วนจะย้ายมาเริ่มอภิปรายวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ตามที่ฝ่ายค้านเสนอพบว่า รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายมีกำหนดการทำงาน เช่น นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ จะเดินทางไปต่างประเทศ

 

ฝ่ายค้านโวยอย่าบีบกันเกินไป

              ขณะที่ นายสมพงษ์ กล่าวว่า จากการประชุมร่วมกับประธานสภาในเบื้องต้นยังไม่มีข้อสรุปเรื่องวันในการอภิปรายอย่างเป็นทางการ โดยพิจารณา 2 แนวทาง ได้แก่ 1. เริ่มประชุมเพื่ออภิปรายตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ โดยจะพิจารณาจนกว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนความ หรือ 2. เริ่มประชุมเพื่ออภิปรายตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ และไปลงมติในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ หรือวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของสมัยประชุมนี้ โดยถึงที่สุดแล้วทางตัวแทนรัฐบาลจะนำกรอบเวลานี้ไปหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ต่อไป

 

 

 

              “เนื่องจากในการอภิปรายไม่ไว้วางใจมีผู้ขออภิปรายเป็นจำนวนมาก จึงต้องใช้เวลาพอสมควร ดังนั้นข้อเสนอของรัฐบาลที่ให้เวลาอภิปรายให้เหลือเพียงแค่ 3 วัน คือ วันที่ 25 - 27 กุมภาพันธ์ นั้น ฝ่ายค้านไม่มีทางยอมรับอย่างเด็ดขาด เพราะถือเป็นการบีบกันเกินไป” นายสมพงษ์ กล่าว

 

สุดท้าย 3 ฝ่ายเคาะ 24 - 26 กุมภาพันธ์

              ต่อมาเวลา 13.30 น. หลังจากถกเถียงกันอยู่นาน ล่าสุด นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ในช่วงบ่ายวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ได้รับการประสานจากตัวแทนฝ่าย ครม. ว่า ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันให้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ตั้งแต่เวลา 13.30 น. จนถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ และลงมติกันในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ อย่างไรก็ตาม หากการอภิปรายไม่จบภายใน 3 วัน จะขยายเวลาให้อภิปรายถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ และไปลงมติในวันที่ 28 กุมภาพันธ์

 

 

 

“ชวน” ชี้ ปมญัตติเท็จรอตรวจสอบ

              ที่ รัฐสภา นายชวน ล่าวถึงกรณีวิปรัฐบาลเสนอให้ทบทวนญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื่องจากฝ่ายรัฐบาลตั้งข้อสังเกตว่ามีข้อความอันเป็นเท็จ ว่า เดิมทีแล้วญัตติมีปัญหาเรื่องลายเซ็นรับรอง 1 รายชื่อ ไม่เหมือนกับลายเซ็นที่เคยให้ไว้ จึงได้สอบถามกับบุคคลที่เซ็น แต่ได้รับการยืนยันว่าเป็นลายเซ็นจริง ญัตติจึงไม่ต้องมีการแก้ไข ส่วนกรณีที่ฝ่ายรัฐบาลชี้ว่ามีข้อความอันเป็นเท็จ กล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นเรื่องที่ยังไม่ทราบได้ว่าข้อความอันเป็นเท็จจริงหรือไม่ แต่เมื่อบรรจุในระเบียบวาระแล้ว ไม่สามารถกลับมาแก้ไขได้

              เมื่อถามว่า หากไม่แก้ไขญัตติ ฝ่ายรัฐบาลอาจจะประท้วง ก่อนเริ่มเข้าสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายชวน กล่าวว่า คงไม่มีปัญหา เพราะที่ผ่านมาการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็มีปัญหาเกิดขึ้นอยู่แล้ว ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจถือเป็นการใช้สิทธิ์ตรวจสอบตามกระบวนการประชาธิปไตย

 

 

 

“วิษณุ” ชี้ ฝ่ายค้านพูดหมิ่นเอาผิดได้

              เมื่อเวลา 09.15 น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีถ้อยคำรุนแรงถึงขนาดต้องให้ประธานสภาตรวจสอบใหม่หรือไม่ ว่า ไม่เคยได้ยินว่ามี อย่างมากก็ไปตกลงกัน แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะในสมัยก่อนไม่มีการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงเกินเหตุเหมือนอย่างนี้ เพราะส่วนใหญ่เขาจะสงวนเอาไว้ รุนแรงไปหลุดปากพูดกันในสภาเลย ประธานจะเบรกก็ไม่ทันแล้ว อย่างมากก็ขอถอนคำพูด จะเป็นอย่างนั้นมากกว่า

              เมื่อถามว่า ภายหลังการอภิปรายแล้ว จะสามารถเอาผิดข้างนอกได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ในเรื่องของญัตติคงไม่สามารถทำได้ แต่ในเรื่องของการอภิปรายทำได้ เพราะมีการถ่ายทอด ซึ่งไม่มีกฎหมายหรือข้อบังคับคุ้มครอง หากไปพูดในลักษณะดูหมิ่นหรือเป็นการพูดหมิ่นประมาท ใครเสียหายก็สามารถฟ้องร้องได้ ทั้งนี้ ในส่วนของประธานจะต้องคุมเกมให้อภิปรายอยู่ในร่องในรอย และเมื่อถอนคำพูดไปแล้วก็ถือว่าหมดไปจากรายงานการประชุม

 

 

 

ยืนยันรัฐบาลไม่มี “สนิมสร้อย”

              ผู้สื่อข่าวถามว่า ส่วนตัวมีองครักษ์พิทักษ์เหมือนกับคนอื่นหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่มี ไม่เคยได้ยิน และไม่คิดว่าจะต้องมีด้วย แต่ถ้ามี เข้าใจว่าเขาคงปกป้องระบบหรือระเบียบข้อบังคับ หรือส่วนที่จะกระทบต่อรัฐบาลมากกว่า แต่ถ้าเป็นการกระทบต่อส่วนตัว คงไม่มีองครักษ์คนไหนมาทำอะไรอย่างนั้น และบังเอิญรัฐบาลก็ไม่ได้สนิมสร้อยอะไรด้วย

              “สำหรับผมทราบข้อกล่าวหาแล้ว 3 ข้อ คือ 1. ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บุคคลอื่น จนกระทั่งทำให้รัฐเสียรายได้จำนวนมาก 2. ตีความบังคับใช้กฎหมายผิดไปจากบรรทัดฐานและหลักการที่มีอยู่ เป็นการใช้อภินิหารในทางกฎหมาย และ 3. ชี้นำองค์กรอิสระ เจ้าหน้าที่ของรัฐ เอื้อประโยชน์แก่บุคคลอื่น ผมท่องจำขึ้นใจ ซึ่งผมถือหลักที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นธรรมะวันละบทคือ มือที่ไม่มีบาดแผล แม้จับยาพิษก็ไม่ซึมซับเข้าสู่ร่างกายได้”

 

 

 

แย้มคนอื่นพูดแทน นายกฯ ได้

              เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีสามารถมอบให้รัฐมนตรีท่านอื่นช่วยชี้แจงด้วยได้ นายวิษณุ กล่าวว่า นายกฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาล และความอยู่รอดหรือไม่รอดของหัวหน้ารัฐบาลก็คือความอยู่รอดหรือไม่รอดของ ครม. ทั้งคณะ ถ้า นายกฯ พ้นจากตำแหน่ง รัฐมนตรีทั้ง 36 คน พ้นด้วย ดังนั้น การกล่าวหา นายกฯ แม้ นายกฯ คือ นายกฯ แต่ความเป็นจริงคือความอยู่รอดของของรัฐบาลทั้งชุด เพราะฉะนั้น ญัตติทั้ง 30 ประเด็นที่ตั้งมานั้น ก็คงจะได้เห็นแล้วว่าหลายเรื่อง เป็นเรื่องของคนอื่นและเป็นเรื่องของรัฐบาลที่แล้ว และบางครั้งไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล แต่เป็นเรื่องของ คสช. ด้วยซ้ำ ดังนั้น เมื่อ นายกฯ ต้องตอบ ก็จำเป็นจะต้องให้ผู้ที่รู้เรื่องมาช่วยชี้แจง ซึ่งไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และไม่ขัดต่อข้อบังคับการประชุมสภา แต่โดยหลักคิดว่า นายกฯ ตอบเองทั้งนั้น

 

 

 

“เทวัญ” ลั่น นายกฯ เชื่อพรรคร่วมปึ้ก

              เวลา 08.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความเป็นห่วงเรื่องการลงมติในการอภิปรายครั้งนี้ ด้วยตระหนักถึงความเป็นปึกแผ่นของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งทุกคนออกมายืนยันแล้วว่าพร้อมสนับสนุนรัฐบาลอย่างเต็มที่ แต่หากพาดพิงถึงหน่วยงานใด กระทรวงใด นายกฯ ก็สามารถมอบหมายให้รัฐมนตรีหน่วยงานนั้นๆ ลุกขึ้นชี้แจงและตอบคำถามแทนได้

              ส่วนกรณีที่ นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่หลายครั้งก่อนหน้านี้มักแสดงความเห็นสวนทางกับพรรคหรือรัฐบาล ออกมาประกาศชัดว่า ในการอภิปรายครั้งนี้จะสนับสนุนนายกฯ และรัฐบาลอย่างเต็มที่นั้น “ได้รับทราบจากรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ ว่ามีการพูดคุยทำความเข้าใจกับนายเทพไทแล้ว จึงย้ำว่าห้วงเวลานี้ ทุกคนในรัฐบาลต่างล้วนสมัครสมานสามัคคีกัน”

 

 

 

“สามมิตร” โชว์พลังนัดกินข้าว

              เมื่อเวลา 11.00 น. ที่โรงแรมสุโกศล ถ.ศรีอยุธยา แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และหัวหน้าพรรค , นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม และกรรมการบริหารพรรค , นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และกรรมการบริหารพรรค , นายอนุชา นาคาศัย ส.ส. ชัยนาท และรองหัวหน้าพรรค นัดรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับ ส.ส. ในกลุ่มประมาณ 40 คน โดยการนัดหมายครั้งนี้มี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ร่วมด้วย ส่วน ส.ส. ที่มาปรากฏตัว มีทั้งภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคใต้ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างเป็นกันเอง โดยนายอุตตมได้เดินทักทายบรรดา ส.ส. พร้อมขอให้ร่วมมือกันในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารครั้งนี้ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และเลขาธิการพรรค ไม่ได้เดินทางมาร่วมด้วย

 

 

 

“สมศักดิ์” ปัดนัดสามมิตรต่อรองเก้าอี้

              นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าหารือร่วมกับแกนนำและ ส.ส. กลุ่มสามมิตร ว่า วาระสำคัญที่จะหารือวันนี้คือ การเตรียมความพร้อมเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งจะคุยกันว่า รัฐมนตรี และ ส.ส. แต่ละท่านจะต้องมีความตื่นตัว เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้มีความสำคัญมาก ส่วนที่ถามการรวมตัวของกลุ่มสามมิตรครั้งนี้ จะเป็นการแสดงพลังต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีภายหลังอภิปรายหรือไม่นั้น ยืนยันว่า ไม่มีการต่อรองอะไรทั้งนั้น จะไปต่อรองอะไรกันตอนนี้ อยู่กระทรวงยุติธรรม ไม่ต่อรองอะไรอยู่แล้ว ใครจะไปต่อรอง ไม่ต่อรองด้วย

 

“สุริยะ” ลั่น ไม่มีนำ 40 ส.ส. ต่อรอง

              ขณะที่นายสุริยะ แกนนำกลุ่มสามมิตร กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการนัด ส.ส. รับประทานอาหารเที่ยง ว่า ในวันนี้ได้นัด ส.ส. กลุ่มสามมิตร ประมาณ 40 คน ช่วยระดมความคิด เพราะเป็นผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองในการเก็งข้อสอบ และเตรียมข้อมูลให้ เพราะหลายคนก็ผ่านการลงมติไม่ไว้วางใจมาแล้ว ซึ่งพวกเราเตรียมหาข้อมูลเพื่อมาช่วยเหลือนายกรัฐมนตรี

 

 

 

              “ผมยืนยันว่าการรวมตัวของ ส.ส. กลุ่มสามมิตร ในวันนี้ไม่เกี่ยวกับการแสดงพลังในการปรับ ครม. หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่การมารวมตัววันนี้เพื่อช่วยเหลือรัฐมนตรี ทั้งนี้ผมไม่ห่วงประเด็นเศรษฐกิจ แต่ห่วงเรื่องการเมืองที่ ส.ส. จะต้องแก้ปัญหาตรงนี้ได้ และเมื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจจบลงกลุ่มสามมิตรก็จะสลายตัว” นายสุริยะ กล่าว

 

“สมคิด” ปัดสามมิตรรวมพลัง

              ด้าน นายสมคิด​ กล่าวถึงการมาร่วมรับประทานอาหารกับแกนนำ และ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ​ ว่า ไม่มีนัยอะไร เป็นเพียงทางกลุ่ม​ ส.ส. มาประชุมหารือกันว่าจะดูแลการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างไร เพื่อให้เป็นการอภิปรายที่สมบูรณ์ เป็นเรื่องของการให้ข้อมูล การวางตัว​ วางแผนในการอภิปรายให้ดีที่สุด เพราะเรื่องของการอภิปรายเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย​ ฝ่ายค้านมีหน้าที่ในการตรวจสอบ รัฐบาลก็ต้องมีการชี้แจงให้เข้าใจกัน จะได้ร่วมงานกันได้ในอนาคตข้างหน้า ดังนั้น​ เพื่อให้เกิดความพร้อมเพรียง ทางกลุ่มจึงได้หารือกัน

 

 

 

              เมื่อถามว่า​ ​มีข้อสังเกตการพบกันครั้งนี้เป็นเพราะบางคนไม่มั่นใจว่าจะหลุดออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ไม่มีหรอก อย่าช่างสังเกตนักสิ”

 

ลือแสดงพลังหวังต่ออายุ “สุวิทย์”

              ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคพลังประชารัฐถึงการนัดกินข้าวของกลุ่มสามมิตรว่า เกิดขึ้นหลังจากการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่นายสมคิดเรียกให้นายอุตตม พร้อมด้วยนายสุริยะ หารือจัดกิจกรรมกินข้าวโชว์พลัง ส.ส. ของกลุ่ม ซึ่งมี ส.ส. ถึง 40 คน แม้ทางแกนนำจะยืนยันว่าเพื่อหารือวางแผนปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ ในศึกซักฟอก แต่ความเป็นจริงแล้วกลุ่มสามมิตรไม่ได้พูดคุยถึงเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด หลายฝ่ายยังยืนยันในข้อสังเกตว่าการกินข้าวมื้อนี้เป็นการโชว์พลังและจำนวน ส.ส. เพราะภายหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จสิ้น จะมีการปรับ ครม. และมีรายชื่อ นายอุตตม นายสนธิรัตน์ และ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่เป็นศิษย์รักของนายสมคิดอาจถูกปรับออก

 

 

 

              โดยเฉพาะนายสุวิทย์เป็นเบอร์ 1 ที่จะถูกเสนอให้ปรับออก เพราะตั้งแต่เลือกตั้งเสร็จจนเป็นรัฐมนตรี ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ กับทางพรรค และไม่สนับสนุน ส.ส. จึงถูกจับตาว่าจะถูกเขี่ยทิ้งเป็นคนแรก เพื่อแบ่งเก้าอี้ให้แก่กลุ่มการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ การนัดกินข้าวในครั้งนี้จึงเป็นการส่งสัญญาณให้ นายกฯ รับทราบว่ากลุ่มสามมิตรมี ส.ส. อยู่จำนวนหนึ่ง ดังนั้นการปรับ ครม. หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะต้องมีการพูดคุยทำความเข้าใจกันก่อน

 

“สนธิรัตน์” ขาเริ่มแข็งไม่ร่วมวง

              ขณะเดียวกันการไม่มาร่วมวงประชุมครั้งนี้ของนายสนธิรัตน์ ทำให้เกิดข้อสังเกตมากมายว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะนายสนธิรัตน์ถือเป็นคนสนิทของนายสมคิด ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เวลานี้นายสนธิรัตน์คุมกระทรวงใหญ่อย่างกระทรวงพลังงานซึ่งมีกลุ่มทุนใหญ่อยู่ในสังกัด และมีข่าวว่านายสนธิรัตน์ได้เรียกอดีตผู้สมัคร ส.ส. รวมถึงอดีตนักการเมืองหลายคนไปทำงานที่กระทรวงพลังงานหลายคน และช่วงหลังปีใหม่เป็นต้นมา นายสนธิรัตน์มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองมากขึ้น โดยทุกวันอาทิตย์จะมีการแถลงข่าวและมี ส.ส. มาร่วมกิจกรรมด้วยจำนวนหนึ่ง

 

 

 

ตั้งวอร์รูมนอกสภาลากไส้ฝ่ายค้าน

              วันเดียวกัน นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐมนตรีอีก 5 คนว่า ยังเดินหน้าตั้งทีมวอร์รูมตอบโต้ฝ่ายค้านนอกสภาอย่างแน่นอน ซึ่งมีกำหนดหารือกันภายในอาทิตย์หน้า โดยจะเชิญอดีต ส.ส. , อดีตนักการเมืองนอกสภาที่มีประสบการณ์ทางการเมืองมายาวนาน เช่น นายอำนวย คลังผา , นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ , นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล , นายฉลอง เรี่ยวแรง , นายทวี สุระบาล , นายธีรทัศน์ เตียวเจริญโสภา , นายธีระยุทธ วานิชชัง , นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ , นายสิทธิชัย จรูญเนตร , นายทศพล เพ็งส้ม , นายเอกภาพ พลซื่อ เป็นต้น ซึ่งเป็นอดีตนักการเมืองที่มีข้อมูลข้อเท็จจริงของฝ่ายค้าน แจ้งความจำนงมาร่วมเป็นทีมจำนวนมาก ดังนั้น ภายในอาทิตย์หน้าจะได้เชิญและนัดประชุมพูดคุยเตรียมข้อมูลเตรียมความพร้อมในการทำงานของคณะเราอย่างเข้มข้น

 

 

 

              “เรามีข้อมูลมากมายว่าฝ่ายค้านบางพรรคการเมือง ในอดีตที่ผ่านมาได้มีการทุจริตคอร์รัปชัน ฉัอราษฎร์บังหลวงอย่างไร ประเทศชาติเสียหายย่อยยับเพราะการโกงกินของนักการเมืองบางคนอย่างไร ดังนั้น ทีมวอร์รูมนอกสภา เราขอส่งสัญญาณถึงฝ่ายค้านว่าอย่าพยายามสร้างหลักฐานเท็จ ใส่ร้ายป้ายสี นายกฯ และรัฐมนตรีทั้ง 5 ท่าน อย่าขุดคุ้ยเรื่องอดีตที่ไม่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ถ้ายังใช้วาทกรรมใส่ความอันเป็นเท็จและอภิปรายนอกญัตติ เราจะเปิดโต๊ะแถลงข่าวตอบโต้นอกสภาทันที ไม่ใช่เป็นการข่มขู่ แต่เป็นการเอาจริง เราจะชี้แจงข้อมูลที่เลวร้ายที่ประชาชนคนไทยยังไม่ทราบ จะได้รับรู้รับทราบความเสียหายอันร้ายแรงในอดีตของคนที่อยู่เบื้องหลังพรรคฝ่ายค้าน แต่ถ้าฝ่ายค้านอภิปรายอยู่ในกรอบ พวกเราก็มีมารยาทพอที่จะไม่ตอบโต้หรือขุดคุ้ยรื้อเรื่องราวในอดีต ของพวกท่านเช่นกัน” นายสุภรณ์ กล่าว

 

 

 

“เศรษฐกิจใหม่” ไม่ลอยแพ “มิ่งขวัญ”

              เวลา 13.00 น. ที่ รัฐสภา นายสุภดิช อากาศฤกษ์ รักษาการหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ พร้อมด้วยกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส. พรรคจำนวน 5 คน ร่วมกันแถลงการณ์ถอนตัวออกจากพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างเป็นทางการอีกครั้งว่า ได้ยื่นถอนตัวจากพรรคร่วมฝ่ายค้านตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม แต่ที่ไม่ได้แถลงข่าวเพราะวันดังกล่าวพรรคร่วมฝ่ายค้านแถลงข่าวการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงให้เกียรติ จึงได้มาแถลงในวันนี้ ส่วนเหตุที่ยื่นจดหมายเพราะที่ผ่านมามติของพรรคไม่ตรงกับมติของพรรคร่วมฝ่ายค้าน เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นบ่อยๆ ซึ่งไม่ได้มองว่าตรงนั้นเป็นเรื่องขัดแย้ง แต่เป็นการพัฒนาทางด้านการเมือง จึงได้ถอนตัวออกจากพรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่อเป็นอิสระตามแนวทางของพรรค เพราะพรรคคือกลุ่มคนซึ่งทำงาน เราก็ทำตามมติพรรค

 

 

 

              เมื่อถามว่า จะดำเนินการกับ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ อย่างไร เพราะยังทำงานร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอยู่ นายสุภดิช กล่าวว่า ไม่ว่า ส.ส. ท่านใดก็ตามไม่ดำเนินการตามมติพรรค ถือว่ามีเอกสิทธิ์ เราต้องให้เกียรติ เพราะประชาธิปไตยเราต้องยอมรับความเห็นต่าง ส่วนจะขับนายมิ่งขวัญออกจากพรรคหรือไม่ นายสุภดิช กล่าวว่า นายมิ่งขวัญไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ขับแน่นอน และไม่ได้เป็นการลอยแพ แต่ให้เอกสิทธิ์สมาชิกและ ส.ส. ทุกคน นายมิ่งขวัญเป็นสมาชิกเราก็ฟังและยอมรับความเห็นต่างนั้น

 

“เสรีพิศุทธ์” ยื่นหลักฐานเพิ่มปมเสียบบัตร

              เมื่อเวลา 14.00 น. นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นหลักฐานเพิ่มเติมไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 โดย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และคณะ รวม 82 คน ได้ยื่นหลักฐานเพิ่มเติมประกอบคำร้องฝ่ายค้าน เป็นแผ่นซีดีการแถลงข่าวของ น.ส.ภริม พูลเจริญ ส.ส. สมุทรปราการ และ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งได้รับการยินยอมจาก นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน ในฐานะผู้ยื่นคำร้องให้เพิ่มเติมหลักฐานได้

 

 

 

              นอกจากนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังได้ยื่นคำร้องใหม่อีก 1 ฉบับ โดยรวมทุกกรณีที่เกี่ยวข้องกับการเสียบบัตรแทนกันทั้งหมดเป็น 1 คำร้อง ได้แก่ 1. กรณีนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส. พัทลุง พรรคภูมิใจไทย 2. กรณี นางนาที รัชกิจประการ 3. กรณี น.ส.ภริม พูลเจริญ ส.ส. สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ นายสมบูรณ์ ซารัมย์ ส.ส. บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย 4. การแถลงข่าวของ น.ส. สุพัชรี ธรรมเพชร อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ 5. การเปิดเผยของ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส. กทม. พรรคอนาคตใหม่ เรื่องการเสียบบัตรแทนกัน และ 6. คลิปการลงคะแนนแทนกันของพรรคพลังท้องถิ่นไท ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบความถูกต้องของคำร้อง ถ้ามีความถูกต้องจะส่งให้ศาลรัธรรมนูญพิจารณาต่อไป นอกจากนี้สภาได้มอบหมายให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบคำร้องในกรณีเหล่านี้ด้วย

 

 

 

หมอปรีชาไขก๊อกประชาธิปัตย์อีก

              มีรายงานว่า นพ.ปรีชา มุสิกุล อดีต ส.ส. กำแพงเพชร 6 สมัย พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นหนังสือถึงหัวหน้าพรรค เพื่อขอลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เป็นรายล่าสุด โดยในหนังสือลาออกระบุว่า ด้วยข้าพเจ้า นพ.ปรีชา มุสิกุล สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มีความประสงค์ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป โดยทำสำเนาเรียนนายทะเบียนพรรคการเมืองคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับทราบด้วย จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและดำเนินการต่อไป

              ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้อดีตแกนนำคนสำคัญๆ ของพรรค อาทิ นายกรณ์ จาติกวณิช นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต ส.ส. กทม. รวมทั้ง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส. กำแพงเพชร ก็ได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว

 

 

 

“โรม” เชิญ “บิ๊กแป๊ะ” แจงวิ่งไล่ลุง

              ที่ รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม โฆษกคณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการประชุมว่า ในสัปดาห์หน้ากรรมาธิการจะประชุมในเรื่องกิจกรรมวิ่งไล่ลุง โดยจะเชิญ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เนื่องจากมีอำนาจในการตัดสินใจในเชิงนโยบาย หากเชิญแล้วท่านไม่มาในสัปดาห์หน้า กรรมาธิการจะพิจารณาว่าจะใช้คำสั่งเรียกหรือไม่ อย่างไรก็ตาม กรรมาธิการเชิญท่านมา 4 ครั้ง แต่ท่านไม่เคยมา ส่งแต่ตัวแทนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่มีหน้าที่กับเรื่องนั้นๆ เข้าชี้แจง

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ