ข่าว

ศาลถกด่วน ปมเสียบบัตร ปชป.บี้ 2 ภูมิใจไทยรับผิด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลถกด่วน ปมเสียบบัตร ปชป.บี้ 2 ภูมิใจไทยรับผิด ช่วยงบไมโมฆะ 7 พรรคเคาะขุนพลซักฟอกวันนี้

 

               ศาลรัฐธรรมนูญนัดถกด่วน 29 ม.ค.นี้ ปมส.ส.เสียบบัตรแทนกันในการโหวตร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2563 ปชป.บี้ 2 ส.ส.ภูมิใจไทยสารภาพต่อศาลคืนของกลาง 3.2 ล้านล้านให้ประเทศไทย พปชร.มีมติสั่งเข้มห้ามส.ส.เสียบบัตรแทน เพื่อไทยนัดถกวันนี้สรุปขุนพลซักฟอกรัฐบาล

 

อ่านข่าว ส.ส.ภท.ฉาว เสียบบัตรแทนกัน ร่าง พ.ร.บ.งบ 63 ส่อโมฆะ

 

               ยังคงเป็นปมปัญหาที่ร้อนแรงต่อเนื่องจากสำหรับการกระทำความผิดของส.ส.ที่เสียบบัตรแทนกันในระหว่างการลงมติร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 63 ซึ่งเรื่องดังกล่าวแม้ว่าจะมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้ว แต่หลายฝ่ายยังกังวลว่าปมการเสียบบัตรแทนกันอาจสร้างปัญหาใหญ่หลวงทำให้งบประมาณปี 63 เป็นโมฆะ หรือเกิดล่าช้าส่งผลให้การบริหารประเทศสะดุดหยุดลง

 

ศาลรธน.นัดถกปมเสียบบัตรแทนกัน

 

               เมื่อวันที่ 26 มกราคม มีรายงานว่าศาลรัฐธรรมนูญได้นัดประชุมด่วนวันพุธที่ 29 มกราคมนี้ เพื่อพิจารณาว่าจะรับคำร้องของนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่กรณีเกิดปัญหาการเสียบบัตรแทนกันของสมากชิกสภาผู้แทนราษฎรในการโหวตมติร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563

 

               ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 24 มกราคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร นำคำร้องของนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เข้ายื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 มีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ มายื่นต่อสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ หลังมีส.ส.เสียบบัตรแทนกันในการลงมติร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว

 

               ซึ่งเจ้าหน้าที่ห้องรับคำร้องของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้ตรวจคำร้องที่ประกอบด้วยคำร้องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา รวมทั้งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563

 

เผย3ประเด็นหลักให้วินิจฉัย

 

               สำหรับคำร้องดังกล่าวคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาลได้รวบรวมรายชื่อส.ส.ฝ่ายรัฐบาล 90 คน เข้าชื่อกันตามเงื่อนไขไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสมาชิกรัฐสภา ยื่นต่อประธานรัฐสภา เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกระบวนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 เนื่องจากมีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติทั้งที่ไม่ได้อยู่ในห้องประชุม

 

               ทั้งนี้หนังสือที่ยื่นต่อประธานรัฐสภาขอให้วินิจฉัยใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1.กระบวนการร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ขัดหรือแย้งกับหลักการการออกเสียงลงคะแนน ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 120 หรือไม่ 2.หากมีปัญหา จะมีปัญหาทั้งฉบับหรือเฉพาะมาตราที่มีปัญหา และ 3.จะดำเนินการในแต่ละกรณีต่อไปอย่างไร

 

               ขณะเดียวกัน ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน 84 คน ก็ได้เข้าชื่อเพื่อยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญผ่านประธานรัฐสภาให้วินิจฉัยว่าร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ตราขึ้นโดยชอบรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 หรือไม่

 

นิพิฏฐ์จี้2ส.ส.ภูมิใจไทยสารภาพ

 

               นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่าคืนของกลาง 3.2 ล้านล้านบาทให้แก่ประชาชนเถอะ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 จำนวน 3.2 ล้านล้านบาท จะตกเป็นโมฆะ เพราะส.ส.กดบัตรแทนกันหรือไม่ เป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง

 

               ส่วนตัวไม่มีความปรารถนาแม้แต่น้อยให้ตกเป็นโมฆะ เพราะหากตกเป็นโมฆะประชาชนทั้งประเทศจะไม่ได้ใช้งบประมาณตามเวลาที่ควรจะเป็น เดือดร้อนแน่ ไม่ว่ามากหรือน้อย ทั้งนี้มองว่าส.ส.ที่คนอื่นกดบัตรแทนนั่นแหละที่จะทำให้เป็นโมฆะหรือไม่ อย่างน้อยมี ส.ส.2 ท่าน ที่คนอื่นกดบัตรแทน ส่วนท่านส.ส.จะรู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ท่านอาจไม่รู้เห็นเป็นใจก็ได้

 

               "ผมมีความเห็นทางกฎหมายว่าท่านส.ส.ต้องรับสารภาพต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า มาตราไหนบ้างที่ท่านไม่ได้กดเอง เพื่อทำมาตราเหล่านั้นให้สมบูรณ์ แต่หากท่านไม่ให้ความจริงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ผมว่ายากที่ศาลจะวินิจฉัยไปอย่างอื่นนอกจากวินิจฉัยว่าร่างพ.ร.บ.งบประมาณต้องตกไปทั้งฉบับ ตามนัยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3-4/2557 งบประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท จึงอยู่ในมือของท่านแล้ว

 

               อยู่ที่ว่าท่านจะให้ตกไปหรือท่านจะคืนให้แก่ประชาชน ผมเห็นข่าวโจรปล้นทองคำหนัก 28 บาท เมื่อตำรวจจับได้ก็คืนของกลางที่ซ่อนไว้ให้แก่เจ้าของ เปรียบเหมือนงบประมาณ 3.2 ล้านล้านบาทที่อยู่ในมือของท่านส.ส.เมื่อเขาจับได้แล้วว่ามีการกดบัตรแทนกัน ผมว่าท่านคืนของกลาง 3.2 ล้านล้านบาท ให้แก่ประชาชนเถอะครับ” นายนิพิฏฐ์ กล่าว

 

ปชป.ย้ำผู้แทนต้องซื่อสัตย์

 

               ด้านนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีการกดบัตรแทนกันของส.ส.ในช่วงของการพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย พ.ศ.2563 ว่า เรื่องดังกล่าวสังคมต้องแยกออกจากกันก่อน ระหว่างการกระทำความผิดของส.ส.กับความสำคัญของงบประมาณแผ่นดิน

 

               โดยเรื่องกดบัตรแทนกันของ ส.ส.เป็นเรื่องของส่วนรวมที่ทุกคนต้องช่วยกันขจัดสิ่งเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายตามมา ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่ต้องสนับสนุนให้มีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวให้ถึงที่สุด

 

               นอกจากนี้การกระทำผิดของส.ส.ในการกดบัตรแทนกัน มีผลกระทบต่อร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ก็ต้องหาทางแก้ปัญหา นายนิพิฏฐ์ ไม่ได้มีเจตนาตั้งต้นว่าต้องล้มงบประมาณของรัฐบาล อีกทั้งยังเสนอแนวทางแก้ปัญหาไว้ชัดตั้งแต่วันที่ออกมาแถลงข่าว ทุกคนทุกฝ่ายก็พยายามหาทางกันเพื่อแก้ปัญหาให้ พ.ร.บ.งบประมาณเดินหน้าไปได้

 

พปชร.สั่งเข้มห้ามเสียบบัตรแทนกัน

 

               เมื่อเวลา 11.00 น.ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะเลขาธิการ พปชร. กล่าวถึงกรณีปรากฏคลิปส.ส.พรรค พปชร.เสียบบัตรแทนกัน ระหว่างการลงมติร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ว่า พรรคไม่ได้นิ่งนอนใจในปัญหาเหล่านี้ มีการตรวจสอบเชิงลึกว่าภาพข่าวที่ปรากฏนั้นเกิดขึ้นเมื่อไร อย่างไร ช่วงไหน และได้เชิญ ส.ส.คนดังกล่าวของพรรคเข้ามาสอบถามและตรวจสอบแล้ว

 

               จากการสอบถามพบว่ามาจากข้อจำกัดเรื่องช่องเสียบบัตร และยืนยันว่าในวันนั้นส.ส.ของพรรคที่ถูกกล่าวอ้างทั้งหมดอยู่ในห้องประชุมสภา แต่ขึ้นอยู่กับผลการตรวจสอบของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรที่กำลังดำเนินการเรื่องนี้อยู่ โดยพรรคชี้แจงทำความเข้าใจกับส.ส.ของพรรคแล้วว่าแม้ช่องเสียบบัตรจะไม่เพียงพอ แต่จะต้องดำเนินการตามระเบียบ และกรณีที่เกิดขึ้นพรรค พปชร.ไม่ได้ละเลย

 

               ผู้สื่อข่าวถามว่าแนวปฏิบัติต่อไปของพรรคคือไม่สามารถฝากให้คนอื่นลงคะแนนให้แม้ตัวอยู่ในห้องประชุมก็ตาม ใช่หรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ไม่ว่าจะมีข้อจำกัดอย่างไรก็ตาม ทุกคนจะต้องเสียบบัตรเอง และในการประชุมพรรควันที่ 28 มกราคม 2563 จะมีหยิบยกมาชี้แจงซ้ำกับส.ส.ของพรรคอีกครั้ง

 

“ธนกร”โดดป้อง“อุตตม”ไม่รู้เห็น

 

               ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีที่ นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุว่าเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยจะเพิ่มนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเข้าไปด้วย ในประเด็นส.ส.เสียบบัตรแทนกันซึ่งจะส่งผลให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 เกิดความล่าช้าว่า นายอุตตมไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล

 

               “การที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจะนำมาเป็นประเด็นในการอภิปรายนายอุตตมนั้น มองว่าไม่ค่อยสมเหตุสมผล และไม่เป็นธรรม เพราะนายอุตตมไม่ทราบเรื่อง และไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำดังกล่าว ที่ผ่านมานายอุตตมก็ได้กำชับส.ส.ให้ปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมอย่างเคร่งครัด อีกทั้งส.ส.ก็ทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่มีเจตนาพิเศษอะไร อยากให้พรรคร่วมฝ่ายค้านได้เข้าใจ เพราะหากอภิปรายในประเด็นที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนแล้ว ประชาชนอาจเบื่อหน่าย” นายธนกร กล่าว

 

นัดถก 27 ม.ค.สรุปคนซักฟอก

 

               ที่พรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย (กพศ. พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณีการรวบรวมรายชื่อของรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายของ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ว่าวันจันทร์ที่ 27 มกราคม และอังคารที่ 28 มกราคมนี้ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเรียกประชุม โดยจะเป็นการพูดคุยกันระหว่าง กพศ.พท. เลขาธิการพรรคพท. และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน)

 

               ส่วน 7 พรรค ขณะนี้เรากำลังประสานงานกันอยู่ ซึ่งยังไม่ลงตัว โดยในส่วนจำนวนผู้อภิปรายและผู้ที่จะถูกอภิปราย วันจันทร์ที่ 27 มกราคมนี้จะสามาถสรุปในส่วนของพรรคพท. และในวันอังคารที่ 28 มกราคม หากทั้ง 7 พรรคเห็นพ้องต้องกันก็จะสามารถสรุปในส่วนของทั้ง 7 พรรคได้ จากนั้นฝ่ายกฎหมายจะได้ร่างญัตติเพื่อยื่นในวันพุธ-พฤหัสบดีต่อไป

 

ยันรมต.โดนเชือดกว่า7ราย

 

               พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย (กพศ. พท.) กล่าวว่า การป้องกันระงับยับยั้งสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโคโรนาขณะนี้ เป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงการขาดความฉับไวไร้ความสามารถในการจัดการของรัฐบาล เพราะสิ่งที่รัฐบาลพึงกระทำเวลานี้คือต้องจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจขึ้นมาบูรณาการและอำนวยการอย่างมีเอกภาพเพื่อพร้อมรับมือกับสถานการณ์ได้

 

               แต่สิ่งที่เห็นก็ยังมัวงุ่มง่ามอยู่ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมพรรคร่วมฝ่ายค้านต้องยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวผู้นำสืบทอดอำนาจและพวกพ้อง ซึ่งมีจำนวนรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายที่เป็นข่าวไปก่อนหน้านี้ว่าจะมี 7 คนบวกนั้น คงต้องลุ้นกันต่อว่า เมื่อบวกรวมเพิ่มแล้วจะเป็นจำนวนเลขตัวเดียวหรือสองหลัก

 

               โดยพรรคร่วมฝ่านค้านจะยื่นญัตติในวันพุธที่ 29 มกราคมนี้ โดยยืนยันว่ารายชื่อรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายนั้น จะโดนใจพี่น้องประชาชนแน่ๆ และปลายทางของการอภิปรายจะต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงให้ตัวผู้นำสืบทอดอำนาจจะต้องหลุดจากตำแหน่งไปภายในไม่ช้าแน่นอน

 

ร้องสอบนายกฯปมท่าเรือแหลมฉบัง

 

               ด้านนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว. กล่าวว่า ตามที่จะมีการยื่นอภิปรายไม่วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยมีนายกรัฐมนตรีรวมอยู่ด้วยนั้น กรณีของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งบริหารราชการแผ่นดินต่อเนื่องมาเข้าปีที่หกนับตั้งแต่ยึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 นั้น อาจจะถูกกล่าวหาและอภิปรายไม่ไว้วางใจกรณีการสืบทอดอำนาจและหรือมีพฤติการณ์บริหารราชการแผ่นดินที่ส่อไปในทางเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่รวมอยู่ด้วย

 

               นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า โครงการอีอีซี เป็นกรณีหนึ่งที่จำเป็นต้องเพ่งเล็งตรวจสอบและจากการตรวจสอบพบว่าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 (ทลฉ. เฟส 3) เป็นโครงการหนึ่งของอีอีซี ที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท แต่จากข่าวที่ปรากฏตลอดมา เมื่อนำไปพิจารณากับกฎหมายและมติ ครม.ที่เกี่ยวข้อง พบข้อมูลเบื้องต้นว่าอาจมีลักษณะที่จะส่อไปในทางไม่โปร่งใส ไม่เป็นธรรม และอาจเข้าข่ายปล่อยปละละเลยเพื่อเอื้อประโยชน์ให้เอกชนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจส่อไปในทางทุจริตเชิงนโยบายด้วย

 

               และด้วยเหตุตามที่กล่าวมา ในวันที่ 27 มกราคมนี้ เวลา 10.00 น. จึงต้องไปร้องขอให้ป.ป.ช.รีบดำเนินการตรวจสอบนายกรัฐมนตรีต่อไปโดยเร็วว่า นายกรัฐมนตรีจะมีพฤติการณ์ตามความในหนังสือที่ร้องหรือไม่ อีกทั้งเมื่อยื่นคำร้องเสร็จแล้วก็จะนำข้อมูลเชิงลึกเรื่องนี้เสนอให้ฝ่ายค้านนำไปพิจารณาประกอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย

 

โพลล์ชี้ฝ่ายค้านควรเปิดซักฟอกทั้งคณะ

 

               ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล” จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อสิ่งที่ฝ่ายค้านควรกระทำเกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 42.57 ระบุว่า ควรขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งคณะ (ทั้งคณะรัฐมนตรี)

 

               รองลงมา ร้อยละ 35.54 ระบุว่า ควรขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลรายบุคคล (เฉพาะรัฐมนตรีบางคน) ร้อยละ 13.82 ระบุว่า ยังไม่ถึงเวลาขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ร้อยละ 5.35 ระบุว่าไม่ควรขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเลย และร้อยละ 2.72 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

               ท้ายที่สุดความเชื่อของประชาชนต่อกระแสข่าวที่ว่าพรรคเพื่อไทยมีข้อตกลงพิเศษกับพรรครัฐบาลในการตัดชื่อรัฐมนตรีบางรายออกจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พบว่า ร้อยละ 5.35 ระบุว่า เชื่อมาก เพราะจากประวัติการทำงานของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง คณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย น่าจะมีข้อตกลงพิเศษกับทางพรรครัฐบาลจริง ร้อยละ 16.85 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อ เพราะเป็นเกมการเมืองอย่างหนึ่งสามารถพลิกสถานการณ์ได้ตลอดเวลา และมีส.ส.จำนวนหนึ่งจากพรรคเพื่อไทยเข้าอยู่ร่วมกับรัฐบาล

 

               ร้อยละ 32.91 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อเพราะจุดยืนของทั้ง 2 ฝ่ายแตกต่างกันอย่างชัดเจน เป็นไปไม่ได้ที่จะมีข้อตกลงพิเศษร่วมกัน และเป็นเพียงเกม การเมืองเท่านั้น ร้อยละ 33.79 ระบุว่า ไม่เชื่อเลย เพราะจุดยืนของพรรคเพื่อไทยมีความชัดเจนอยู่แล้วในการที่จะไม่สนับสนุนรัฐบาล และอาจเป็นเฟคนิวส์เพื่อเป็นการสร้างกระแสข่าวเท่านั้น และร้อยละ 11.10 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

ธนาธรบุกอ่างทองร่วม‘วิ่งไล่พุง’

 

               เวลา 06.30 น. ที่บริเวณถนนหน้าสวนน้ำเฉลิมพระเกียรติ เทศบาลเมืองอ่างทอง อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เดินทางไปเข้าร่วมกิจกรรม “วิ่งไล่พุง” ของชาวจังหวัดอ่างทอง โดยมีนักวิ่งเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก โดยกิจกรรมดังกล่าวเป็นการวิ่งระยะทาง 5 กิโลเมตร เริ่มต้นจากบริเวณถนนหน้าสวนน้ำเฉลิมพระเกียรติ วิ่งไปตามถนนคลองลำท่าแดง ถึงบริเวณหน้าวัดไผ่ล้อม ก่อนเลี้ยวกลับมายังสวนน้ำเฉลิมพระเกียรติ

 

               นายธนาธร กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นกิจกรรม “วิ่งไล่พุง” ร่วมกับประชาชาชน เป็นการวิ่งระยะทาง 5 กิโลเมตร และในช่วงเวลา 09.00-11.30 น. และจะเข้าร่วมเสวนาวาระของประชาชนคนเมืองอ่างทอง “วาระรัฐธรรมนูญไทยในอ่างทอง(คำ)” ที่ศาลาเฉลิมพระเกียรติ (ศาลเจ้าพ่อกวนอู) ถนนอ่างทอง–สิงห์บุรี ตำบลตลาดหลวง ร่วมกับนายศิโรฒน์ คล้ามไพบูลย์ นายพิภพ ธงไชย นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และประชาชนคนเมืองอ่างทองต่อไป

 

‘อนค.’เปิดเวทีระดมความเห็นแก้รธน.

 

               ต่อมาที่ศาลาเฉลิมพระเกียรติ ศาลเจ้าพ่ออ่างทอง อ.เมือง จ.อ่างทอง พรรคอนาคตใหม่สาขาอ่างทองจัดงานเสวนา “วาระรัฐธรรมนูญ วาระประชาชนคนอ่างทอง(คำ)” โดยมีนายธนาธร ร่วมวงเสวนา พร้อมกับนายพิภพ ธงไชย ที่ปรึกษาคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ นายวัฒนา เมืองสุข ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย และนายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ ในประเด็นเกี่ยวกับปัญหาของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคต

 

ธนาธรปลุกปชช.สู้ผู้มีอำนาจ

 

               นายธนาธร กล่าวว่า แน่นอนที่สุดตนมีความคิดความอ่านว่าอยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ต้องเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 มาจากการทำรัฐประหารปี 2557 เพราะฉะนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงเป็นการต่อสู้ทางการเมือง เป็นการต่อสู้กับการสืบทอดอำนาจโดยตัวมันเอง ซึ่งในความคิดของตนแล้ว เราควรต้องมี สสร.ชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนขึ้นมาแต่คำถามคือเราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร

 

               สิ่งที่กลัวมากที่สุดว่าจะเกิดขึ้นในชั้นกรรมาธิการ คือการ “ไฮแจ็ค” เพราะที่ผ่านมากลุ่มคนที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองหรือภาคประชาชน เรามีความมุ่งมั่นและความเชื่อจริงๆ ว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 ฉุดรั้งประเทศไทยเอาไว้ แต่พอการแก้รัฐธรรมนูญเกิดขึ้น แทนที่จะกลายเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติกลายเป็นว่าฝ่ายรัฐบาลส่งคนมายึดที่นั่งในกรรมาธิการด้วย และเห็นได้ชัดเลยว่าเป็นคนที่ไม่มีความสามารถ

 

               สิ่งที่ผมกลัวคือการขโมยวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พวกเรารณรงค์กันมา ที่กลัวที่สุดคือข้อสรุปในครั้งนี้จะนำไปสู่การแก้ในรายมาตรา โดยเฉพาะมาตราที่เกี่ยวกับระบบกติกาการเลือกตั้ง แล้วเอามาบอกพี่น้องประชาชนว่าเราแก้รัฐธรรมนูญแล้ว ดังนั้นประชาชนจะต้องคอยเฝ้าระวัง อย่าให้พวกเขาขโมยวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ปนระชาชนรณรงค์กันมา กุญแจที่จะไขล็อกไม่ได้อยู่ที่ประชาชน

 

               กุญแจนี้อยู่ที่ผู้มีอำนาจจะไปสู่ทางนั้นได้มีทางเดียว คือพี่น้องประชาชนทุกคน ทุกจังหวัด ทุกภูมิภาคต้องตื่นตัวทางการเมืองและแสดงพลังให้หนักแน่นชัดเจนพร้อมกัน ถ้าไม่มีการลุกขึ้นรณรงค์อย่างแข็งขันของประชาชน ไม่มีทางแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ได้ แล้วเราจะถูกเหนี่ยวรั้งไม่ให้พัฒนา ไม่ให้ประชาชนมีอำนาจ ไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นผมขอให้ประชาชนลุกขึ้นมารณรงค์ไปพร้อมๆ กัน นั่นคือวิถีทางเดียวที่จะนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้

 

วัฒนา-เจิมศักดิ์รุมสับรธน.60

 

               นายวัฒนา ระบุว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้แก้ได้แน่ แต่เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ควรจะแก้โดยคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านการมี สสร.ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่การแก้รายมาตรา เพราะจะทำให้เกิดความขัดแย้งแน่นอน ถ้าทำสำเร็จเราจะสร้างประวัติศาสตร์ที่มีรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่มีที่มาจากประชาชนและให้ความเห็นชอบโดยประชาชน

 

               ด้านนายเจิมศักดิ์ ระบุว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะอยู่ถาวรไม่ได้เพราะไปเพิ่มอำนาจรัฐลดอำนาจประชาชน เลยเป็นเหมือนรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่มีบทเฉพาะกาลวางรองรับกันไว้ มันจะใช้ไปถาวรไม่ได้ คิดว่าถ้ามาดูสิ่งที่ชัดที่สุดที่เราจะเห็นในบทเฉพาะกาลที่ให้วุฒิสมาชิก 250 คนที่แต่งตั้งโดย คสช.ให้กลับมาเลือกคนของ คสช.เป็นนายกรัฐมนตรี นี่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดที่สุดว่าเป็นการลดอำนาจประชาชน เพิ่มอำนาจรัฐและผู้มีอำนาจอยู่เดิม

 

จ่อแจ้งจับ‘ณฐพร’แจ้งเท็จกกต.

 

               นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวว่า ภายในสัปดาห์นี้ส.ส.พรรค อนค. จะหารือและรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้เอาผิดกับนายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ในฐานะผู้ร้องให้ยุบพรรค อนค. ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 101 วรรคหนึ่ง

 

               ทั้งนี้เราเห็นว่าการกระทำของนายณฐพรเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุเป็นอย่างยิ่ง เพราะศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไม่ยุบพรรค อนค.ไปแล้ว โดยมีเหตุผลหนึ่งคือข้อกล่าวหาของผู้ร้องยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอ แต่ปรากฏว่านายณฐพรยังจะพยายามมากล่าวหาพรรค อนค.อีก ด้วยการยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นยุบพรรค อนค.ตามมาตรา 92 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ