ข่าว

ธนาธร ดิ้นสู้ นัดมวลชนแจงคดี อิลลูมินาติ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ธนาธร ดิ้นสู้คดี อิลลูมินาติ นัดมวลชน ที่ มธ. 4 งูเห่าส่อสิ้นสภาพ ส.ส. บิ๊กตู่ไม่ให้ใช้นามสกุลตั้งชื่อสะพาน

 

               เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2563 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) โพสต์ภาพข้อความผ่าน Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ระบุว่า [ในห้วงยามที่บ้านเมืองมืดมนจนผิดปรกติ]

 

 

 

               พรรคอนาคตใหม่กำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ในห้วงยามที่บ้านเมืองผิดปรกติและมืดมน ห้วงยามเดียวกันนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญยิ่งของ “พรรคอนาคตใหม่” ผมขอเชิญชวนชาวอนาคตใหม่มาพบกันอีกครั้งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ในวันพรุ่งนี้ 18 มกราคม มาร่วมยืนเคียงข้างเพื่อประกาศร่วมกันว่า #อย่ากลัวอนาคต เพราะปัจจุบันนั้นน่ากลัวเกินกว่าจะทนยอมปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม เมื่อใดที่เรายังมีความฝัน เมื่อเรายังไม่ละทิ้งความหวังถึงอนาคตชาติที่ดีกว่านี้ร่วมกัน เมื่อนั้นก็ยังมี #อนาคตใหม่

               และ วันพรุ่งนี้ อาจเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้ปราศรัยต่อหน้าประชาชนในฐานะหัวหน้าพรรคการเมือง ผมไม่อาจทราบได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยในวันที่ 21 มกราคม นี้ ออกมาเป็นอย่างไร

 

 

 

               จากกรณีที่มีผู้ร้องว่า ผม , อาจารย์ปิยบุตร และพรรคอนาคตใหม่ มีทัศนคติ “ปฏิกษัตริย์นิยม” , “ล้มล้างการปกครองฯ” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่าคดี “อิลลูมินาติ” หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเป็นโทษต่อเรา ผมอาจถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง และพรรคอนาคตใหม่อาจถูกยุบ

               ถึงแม้ผมยังเชื่อในความถูกต้องของเรา และยังเชื่อว่าทั้งหลักฐานและกระบวนการของคดีนี้ มาจากแรงจูงใจในการกำจัดศัตรูทางการเมืองมากกว่าเป็นเรื่องของความผิดชอบชั่วดี แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นหมายความว่างาน “Future Is Now #อย่ากลัวอนาคต” จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะได้พูดคุยกับประชาชนในฐานะหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

               ดังนั้นผมอยากใช้โอกาสนี้เล่าให้ทุกท่านฟังอีกครั้งว่าทำไมเราถึงตั้งพรรคนี้ขึ้นมา ผมอยากเล่าให้ทุกท่านฟังว่าสังคมไทยที่ผมอยากร่วมสร้างกับทุกท่านมีหน้าตาแบบไหน เราจะจัดการกับเศรษฐกิจของเราเช่นใด และเราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร

 

 

 

               ในงานเดียวกัน อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค จะกล่าวแถลงปิดคดีนอกศาล ท่านจะได้รับฟังข้อเท็จจริงจากปากของเราแบบสดๆ รวมถึงการชวนคิดว่าทัศนคติ “ปฏิกษัตริย์นิยม” คืออะไร และเรามีทัศนคติเช่นนั้นจริงหรือไม่

               นอกจากนี้ เรายังต้องการตอบคำถาม คำถามที่ยังมีผู้คลางแคลงสงสัยในเจตนาของเราต้องการรู้ เช่น เราชังชาติหรือไม่? เราต้องการล้มล้างการปกครองฯ หรือเปล่า? เราต้องการเห็นสังคมวุ่นวายหรือไม่? เป็นต้น ในการนี้เราได้รับเกียรติจาก คุณสุทธิชัย หยุ่น ผู้จะมาทำหน้าที่ตัวแทนประชาชน ถามคำถามกันแบบตรงๆ

               ขอเชิญร่วมงาน “Future Is Now อย่ากลัวอนาคต” ที่อาคาร SC3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในวันเสาร์ที่ 18 มกราคม 2563 เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป

 

 

 

               มาร่วมแสดงพลังกันในงานที่อาจจะเป็นงานสาธารณะครั้งสุดท้ายของพรรคอนาคตใหม่

               ไม่ว่าผลการวินิจฉัยจะเป็นอย่างไร ผมขอสัญญาว่าผมจะต่อสู้ต่อไป ทำงานการเมืองต่อไป จะไม่ถอยไม่ทน - และไม่ยอมแพ้ - ต่ออำนาจอยุติธรรมอำมหิต เพื่อให้ได้มาซึ่งสังคมที่เราใฝ่ฝันร่วมกัน

               กลุ่มผู้มีอำนาจที่สืบทอดอำนาจมาจากการทำรัฐประหารปี 2557 พร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจของตนเอง พวกเขาไม่สนว่าราคาที่ต้องจ่ายคือความล้มเหลวของประเทศไทยและอนาคตของลูกหลานของเรา ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนต้องกลัวจึงไม่ใช่อนาคต แต่เป็นปัจจุบันและอนาคตแบบปัจจุบัน

               ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเรา ประชาชนทุกคนต้องร่วมก้าวไปต่อด้วยกัน

               #อย่ากลัวอนาคต ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

 

 

 

“ปิยบุตร” เผย ยุบ อนค. ก่อผลร้าย 3 ประการ

               นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส. บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ได้โพสต์ข้อความพร้อมคลิปวิดีโอลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว “Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล” โดยระบุถึงท่าทีของพรรคอนาคตใหม่ต่อกรณีคดีการยุบพรรคการเมืองที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในวันที่ 21 มกราคม ว่า “คดีอิลลูมินาติ คือข้อกล่าวหาว่าธนาธร ตนเอง และพรรคอนาคตใหม่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นายณฐพร โตประยูร ผู้ร้อง ก็ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ และหากศาลสั่งยุบพรรคจริงก็ไม่คิดว่าพลพรรคอนาคตใหม่จะได้รับผลร้ายอะไร เพราะพวกเรายังคงเดินหน้าทำงานการเมืองต่อไป”

 

 

 

               "แต่ผลร้ายจะเกิดขึ้นกับสังคมใน 3 ด้านใหญ่ๆ ก็คือ 1. การยุบพรรคอนาคตใหม่คือการทำลายความหวังและความฝันของคนไทยทั้งประเทศที่อยากเห็นการเมืองที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ 2. เกิดการแบ่งแยกกันของช่วงวัย ช่วงอายุของคนในสังคม หรือที่เรียกว่า “Clash of Generations” ที่จะแตกแยกขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นไปอีก 3. และที่สำคัญที่สุดนี่จะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เรานำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือในการทำลายล้างศัตรูทางการเมือง คุณกำลังจะผลักไสกลุ่มคนจำนวนมากในสังคมให้ไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างนั้นหรือ??? นี่คืออันตรายที่คุณไม่รู้ตัว หรืออาจรู้แต่ไม่สนใจก็ไม่ทราบ"

               “ฟังคลิปนี้จบแล้ว ก็ขอเชิญทุกท่านไปฟังการแถลงปิดคดีกันแบบเต็มๆ สดๆ จากปากผมได้ที่งาน Future is Now #อย่ากลัวอนาคต ในวันเสาร์ที่ 18 ม.ค.2563 เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ที่อาคาร SC3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิตแล้วเจอกันครับ”

 

 

 

4 งูเห่ายังไม่พ้นพรรค อนค.

               ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงาน กกต. ได้รับเอกสารรายงานการเพิ่ม - ลด จำนวนสมาชิกของพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 คือ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2562 ซึ่งจัดส่งมาทางไปรษณีย์ ประทับตราวันที่ 15 มกราคม 2563 ที่เป็นวันสุดท้ายตามที่กฎหมายกำหนดให้จัดส่งแล้ว พบว่า ไม่มีการแจ้งการลดลงของจำนวนสมาชิก โดย ส.ส. ทั้ง 4 คน คือ นางศรีนวล บุญลือ ส.ส. เชียงใหม่ น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส. ชลบุรี นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส. จันทบุรี และ พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส. จันทบุรี ที่พรรคอนาคตใหม่ระบุว่ามีมติขับพ้นสมาชิกพรรค ยังมีชื่อเป็นสมาชิกพรรคอยู่ ขณะที่พรรคท้องถิ่นไทยมีการแจ้งเอกสารรายงานการเพิ่มลดสมาชิกของพรรคในไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 มาแล้ว โดยมีสมาชิกเพิ่มขึ้น ซึ่งมีชื่อของ น.ส.กวินนาถ และนายจารึก เป็นสมาชิกพรรค

 

 

 

               ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญมาตรา 101 (9) ได้กำหนดให้ ส.ส. ที่พรรคมีมติขับพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคต้องหาพรรคการเมืองใหม่สังกัดภายใน 30 วัน นับแต่ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส. ของพรรคมีมติขับด้วยคะแนน 3 ใน 4 ซึ่งกรณีของ 4 ส.ส. ที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหาร และ ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ มีมติขับวันที่ 17 ธันวาคม ระยะเวลาที่ต้องหาพรรคการเมืองสังกัด 30 วัน ได้ครบไปแล้ว คือวันที่ 16 มกราคม 2563 จึงต้องรอดูว่าในสัปดาห์หน้าหากพรรคอนาคตใหม่แจ้ง กกต. ว่าองค์ประชุมของที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส. ของพรรค รวมทั้งมติขับ 4 ส.ส. ถูกต้อง ก็ต้องมีการพิจารณาว่าจะต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าการที่นางศรีนวล และ พ.ต.ท.ฐนภัทร ยังไม่ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดภายในวันที่ 16 มกราคม 2563 เนื่องจากยังไม่ได้รับหลักฐานการถูกขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่จะถือว่าทั้ง 2 คนสิ้นสภาพการเป็น ส.ส. แล้วหรือไม่

 

 

 

ส่อชื่อซ้ำซ้อนสิ้นสภาพ ส.ส.

               ทั้งนี้ หากพรรคอนาคตใหม่รายงานว่าองค์ประชุมของที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส. ของพรรคไม่ครบถ้วนทำให้มติขับ 4 ส.ส. ไม่ถูกต้อง จะทำให้ น.ส.กวินนาถ และนายจารึก ที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคพลังท้องถิ่นไทแล้วกลายเป็นสมาชิกพรรคการเมืองซ้ำซ้อน 2 พรรคการเมือง นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องลบชื่อออกจากทั้ง 2 พรรค และมีผลทำให้ต้องสิ้นสภาพการเป็น ส.ส. หรือไม่

 

“บิ๊กตู่” ไม่ให้ใช้นามสกุลตั้งชื่อสะพาน

               เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 17 มกราคม ที่ ทำเนียบรัฐบาล นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายสายัณห์ ยุติธรรม ส.ส. นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เสนอให้สร้างสะพานข้ามเกาะสมุย โดยใช้ชื่อ “สะพานจันทร์โอชา” ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม สั่งการให้มาชี้แจงต่อประชาชนว่า ไม่ได้เกิดจากแนวคิดของ นายกฯ แต่เป็นแนวคิดของนายสายัณห์ ที่ต้องการให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนในพื้นที่ ส่วนเรื่องตัวโครงการเป็นเรื่องที่กระทรวงคมนาคมจะต้องไปพิจารณาถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณ ระบบนิเวศ และสิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องของแต่ละหน่วยงานจะไปพิจารณา

 

 

 

               “ที่นายสายัณห์ หวังดีจะตั้งชื่อสะพานจันทร์โอชานั้น ไม่ได้มีการหารือ นายกฯ แต่ท่านขอบคุณจากใจจริงในความหวังดีนี้ สำหรับ นายกฯ เอง คงไม่อนุญาตให้นำนามสกุลไปตั้งเป็นชื่อสะพานหรือชื่อสถานที่ใดๆ ทั้งสิ้น และโดยความประสงค์และพฤติกรรมของท่านไม่เคยให้เอานามสกุลไปตั้งชื่อเป็นสถานที่ใดไม่ว่าจะเป็นงบหลวงหรืองบส่วนตัว ไม่เคยคิดว่าจะต้องตั้งชื่อให้คนจดจำ แต่เชื่อเสมอว่าคนจะจดจำใครก็ด้วยคุณงามความดีที่ทำเอาไว้ ไม่ได้จดจำจากเอาชื่อไปตั้งสถานที่”

               จากนั้นเมื่อเวลา 13.45 น. ที่ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์ (อผศ.) พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกสภาทหารผ่านศึก เดินทางมาเป็นประธานประชุมคณะกรรมการสภาทหารผ่านศึก ครั้งที่ 1/2563 โดยผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงความรู้สึกกรณีที่นายสายัณห์ตั้งชื่อ “สะพานจันทร์โอชา” โดย พล.อ.ประยุทธ์ มีสีหน้าเรียบเฉย พร้อมส่ายหัวก่อนพูดว่า “ไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น”

 

 

 

               ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงกรณีดังกล่าวอีกครั้งว่า ได้ชี้แจงไปแล้ว ไม่เคยให้ใครเอาชื่อ หรือตระกูลไปตั้ง ทำไมถึงไม่เชื่อ สมัยเป็น ผบ.ทบ. ก็ไม่เคยให้ใครเอาชื่อไปตั้งอะไร และอีกประการหนึ่งคือไม่ใช่เงินของตนเอง ถามว่าจะเอาชื่อไปตั้งทำไม คิดว่าคนเราถ้าจะคิดถึงกันขอให้คิดถึงความดีที่ทำไว้ ไม่ต้องไปตั้งชื่ออะไร คิดถึงคุณงามความดี เพราะฉะนั้นจะรักเราชอบเราวันหน้าเป็นเกียรติยศและชื่อเสียงของเราเท่านั้น อย่าให้เป็นเรื่องมากไปซะทุกเรื่อง พูดกันไป 3 รอบแล้ว จะสัมภาษณ์กันทำไมอีก

 

ชื่อสะพานอาจทำให้ “บิ๊กตู่” หลุดเก้าอี้

               วันเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่าตามที่ ส.ส. นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้หารือในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อ รมว.คมนาคม เมื่อวันที่ 16 มกราคม ที่ผ่านมา ว่าจำเป็นต้องสร้างสะพานจาก อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ไป อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อแก้ไขปัญหาที่ประชาชนไม่สามารถเดินทางไปเกาะสมุยได้สะดวกโดยเฉพาะในช่วงเทศกาล และสะพานที่จะสร้างใหม่นี้เพื่อเป็นเกียรติประวัติให้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ควรให้ใช้ชื่อสะพานว่า “จันทร์โอชา” โดยยกอดีตนายกฯ อย่างน้อย 2 ท่านมาเปรียบเทียบคือ นายพจน์ สารสิน เป็นนายกฯ ไม่กี่วันก็สร้างสะพาน “สารสิน” จากพังงาไปภูเก็ต และอดีตนายกฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็สร้างสะพาน “ติณสูลานนท์” ที่สงขลานั้น

 

 

 

               “กรณีการสร้างสะพานแล้วใช้ชื่อสกุลนายกรัฐมนตรีมาตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติในอดีตนั้น สามารถทำได้เพราะไม่มีกฎหมายห้ามไว้ แต่ในปัจจุบันรัฐธรรมนูญ 2560 หมวด 9 ว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชน์ บัญญัติห้ามไว้ใน ม.186 ประกอบ ม.184 ซึ่งห้ามใช้สถานะหรือตำแหน่งกระทำการใดไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมเพื่อประโยชน์ของตนเอง อันขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 9 และข้อ 10 ดังนั้นหากใครหวังดีแต่อาจประสงค์ร้าย ก็จงเร่งใช้ชื่อ หรือชื่อสกุลท่านนายกรัฐมนตรีไปตั้งชื่อสะพานหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ที่ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินโดยเร็วเถิดเราจะได้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่กันเร็วขึ้นเสียทีครับ” นายศรีสุวรรณ กล่าว

 

“ภูมิธรรม” ลั่นสัปดาหน้ายื่นซักฟอก

               นายภูมิธรรม เวชยชัย รองประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ก่อนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณได้คุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านในกรอบกว้างๆ แต่เมื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเสร็จสิ้นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนนี้ก็อยู่ระหว่างการทยอยคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านถึงกรอบการอภิปรายของแต่ละพรรคโดยไม่ต้องลงรายละเอียดว่าเขาจะอภิปรายใครอย่างไรเพื่อรวบรวมความเห็นมาเขียนญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยจะเป็นคนยกร่าง หลังจากนั้นทั้ง 7 พรรคจะพิจารณาร่างญัตติดังกล่าวร่วมกันอีกครั้งในสัปดาหน้าและจะยื่นญัตติได้ช่วงวันที่ 20 - 23 ก่อนวันตรุษจีนแน่นอน ตามกฎหมายบอกให้เร็วการอภิปรายเกิดขึ้นเร็วที่สุดก็เป็นหน้าที่ของประธานสภาที่จะคุยความพร้อมกับรัฐบาลเพื่อกำหนดวัน

 

 

 

               เมื่อถามว่าในส่วนของพรรคเพื่อไทยที่มีสมาชิกบางคนอยากอภิปราย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ด้วยมีการนำข้อมูลมาให้คณะกรรมการกิจการพิเศษบ้างหรือยัง นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกับผู้ที่ออกมาให้ความคิดเห็น แต่สัปดาห์หน้าหัวหน้าพรรคเพื่อไทยจะเรียกประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ เลขาธิการพรรค และประธานวิปฝ่ายค้านมาพูดคุยเพื่อสรุปว่าข้อมูลของแต่ละฝ่ายว่ามีอะไรเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้างเพื่อสรุปเป็นภาพรวมของพรรคก่อนไปคุยกับพรรคร่วมซึ่งใครมีข้อมูลอะไรก็สามารถส่งได้สองทาง

 

“วิษณุ” ชี้เอาผิดคนปูดข่าวยุบสภาได้

               ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านระบุว่า นายกรัฐมนตรีจะยุบสภาเพื่อหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่าใครเป็นคนปูดล่ะ เรื่องนี้ไม่อยากตอบ เพราะหากตอบไปจะถูกโยงกลายเป็นอย่างอื่น ส่วนที่ถามว่ามองอย่างไรที่มีการพูดถึงเรื่องดังกล่าวในช่วงเวลานี้นั้น หลักกฎหมายมีอยู่ว่านับตั้งแต่วันที่ฝ่ายค้านยื่นญัตติจนกระทั่งถึงวันที่มีการลงมติ ช่วงเวลานี้จะยาวนานหรือสั้นแค่ไหนก็ตาม ยุบสภาในช่วงนั้นไม่ได้ ก่อนนั้นยุบได้ตลอดทุกวันอยู่แล้วถ้ามีเหตุผล ซึ่งต้องถามว่าเหตุผลคืออะไร เหตุผลที่จะใช้ก็สารพัดชนิด โดยทฤษฎีที่มีอยู่คือหลักของความขัดแย้ง เกิดความขัดแย้งระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับวุฒิสภา เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับสภาผู้แทนราษฎร หรือเกิดความขัดแย้งในทางการเมือง จนกระทั่งไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้

 

 

 

               เมื่อถามว่าปัจจุบันมีกฎหมายเฟคนิวส์แล้ว จะสามารถดำเนินการต่อข่าวลักษณะนี้ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เป็นเฟคนิวส์แน่ แต่จะทำให้ตื่นตระหนกตกใจกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคงหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะบางทีมันเป็นเฟคนิวส์แต่ไม่ได้กระทบต่ออะไร ก็สนุกดีกรุณาลือต่อ แต่บางครั้งถ้ากระทบก็ต้องจัดการ เพราะฉะนั้นการอ้างว่าจะยุบนั้นไม่กระทบ แต่จะอ้างว่ายุบเพราะเหตุนั้นเหตุนี้ ทั้งที่เหตุนั้นไม่มี แต่ทำให้เกิดความเสียหาย ทำให้คนตื่นตระหนก อย่างนั้นคือกระทบ

 

“ชวน” ยินดีเป็นตัวกลางปม กมธ. วุ่นวาย

               เมื่อเวลา 12.00 น. ที่ รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณี กมธ.ป.ป.ช. ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงภาพลักษณ์และพฤติกรรมการใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมตอบโต้กัน ว่าภาพที่ออกมาเป็นแบบนี้ตั้งเเต่ต้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลง และเคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่า โดยหลักภายใน กมธ. ต้องดูแลกันเอง เพื่อให้ปฏิบัติตามหลักการอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่วนที่ถามว่า นายไพบูลย์ นิติตะวัน กมธ.ป.ป.ช. เตรียมเสนอญัตติให้ปลด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ.ป.ป.ช. ในสภา ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตามหลักการกฎหมายทำได้หรือไม่นั้น เห็นข่าวแล้ว แต่เรื่องยังไม่ได้ส่งมาถึง ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีระเบียบข้อบังคับอยู่แล้วว่าประธาน กมธ. จะพ้นตำแหน่งได้อย่างไร และการจะปลดประธาน กมธ. จะต้องเข้าเกณฑ์ข้อบังคับ ซึ่งไม่อยากจะพูดอะไรไปก่อนล่วงหน้า เพราะเรื่องยังมาไม่ถึงและต้องดูด้วยว่าเขายื่นเหตุผลมาว่าอย่างไร ส่วนเรื่องสัดส่วนหรือโควตา เป็นเรื่องภายใน กมธ.ที่ต้องตกลงกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกฎหมาย

 

 

 

               เมื่อถามย้ำว่าต้องถึงขั้นเชิญ กมธ. ทั้งสองฝ่ายเข้ามาทำความเข้าใจกันหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ถ้าเขาต้องการก็ยินดี แต่ขณะนี้ยังไม่มีการร้องเข้ามาที่ตน

 

“ไพบูลย์” เมินกระแสต้าน “ปารีณา - สิระ”

               ส่วนนายไพบูลย์ กล่าวถึงเหตุความวุ่นวายในห้องประชุมกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ว่าพฤติกรรมของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มุ่งเล่นงาน น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ และนายสิระ เจนจาคะ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ อย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่เรื่องของตัวประธานเองถูกร้องเรียนโดยเฉพาะเรื่องการทุจริตต่างๆ กลับไม่ยอมบรรจุเรื่องดังกล่าวเป็นวาระการประชุม

               เมื่อถามถึงกรณีกระแสต่อต้านในโลกโซเชียลหลังราชกิจจาประกาศให้ น.ส.ปารีณา และนายสิระ ดำรงตำแหน่งกรรมาธิการ ป.ป.ช. นายไพบูลย์ มองว่า กรรมาธิการเมื่อเป็นแล้วก็จะถูกประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ยอมรับว่าทั้งสองคนมีทั้งผู้ที่ชื่นชอบและไม่ชื่นชอบ เช่นเดียวกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ที่มีทั้งผู้ที่ชื่นชอบและผู้ไม่ชอบ เมื่อมีกระแสเช่นนี้ก็จะนำไปเรียกร้องต่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้เหมือนกันหรือไม่ ขณะนี้ก็มีเสียงต่อว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มากมาย แต่ทำไมไม่ไปดำเนินการ ดังนั้น จะต้องแยกให้ออกว่าการประกาศบนราชกิจจานุเบกษานั้นเป็นไปตามกระบวนการ

 

 

 

“กรณ์” ประกาศดีเอ็นเอพรรคใหม่

               วันเดียวกัน นายกรณ์ จาติกวณิช อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หลายสมัย ทวีตข้อความต่อเนื่องผ่านทวิตเตอร์ Korn Chatikavanij @KornGoThailand ระบุว่า “#ช่วยกรณ์ตั้งชื่อพรรค ก่อนอื่นขอขอบคุณทุกกำลังใจ ทั้งหมดมีค่ากับผมมากจริงๆ ในวันที่เราต้องตัดสินใจใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต ยืนยันชัดเจนว่าผมตั้งใจจะทำการเมืองแบบใหม่ รวมพลคนมีของจากทั่วทั้งประเทศมาช่วยกันพัฒนาบ้านเมือง นั่นหมายถึงการตั้งพรรคใหม่และทำงานด้วยวิธีการที่ใหม่จริง ผมจึงขอเชิญชวนคนไทยมา #ช่วยกรณ์ตั้งชื่อพรรคครับ”

               จากนั้นนายกรณ์ทวีตข้อความอีกว่า “DNA ของความเป็นพรรค 1 - Startup ต้องกล้าคิด กล้าลุย พร้อมเปลี่ยนแปลง แต่รอบคอบ 2 - ปฏิบัตินิยม มุ่งทำงาน ลงมือจริง พูดแต่ในสิ่งที่จะทำ 3 - Global Mindset ไทยเข้าใจ - ทัดเทียม - เท่าทันโลก ผมขอใบ้สั้นๆ ไว้แค่นี้”

 

 

 

เคาะวางกรอบรับฟังความเห็น ปชช.

               ที่รัฐสภาในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาหลักเกณฑ์และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ซึ่งมีการพิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการรับฟังความคิดเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญและเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ โดยทีมโฆษก กมธ. ได้เสนอเอกสารกรอบแนวทางการประชาสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็นเบื้องต้น โดยสรุปว่าแผนการประชาสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็นมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ 1. เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอของประชาชนและทุกภาคส่วนของสังคมเกี่ยวกับปัญหา หลักเกณฑ์และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2. เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 3. เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์การดำเนินการ รวมทั้งผลการดำเนินการของคณะกรรมาธิการให้ประชาชนรับทราบเป็นระยะๆ

 

 

 

               นอกจากนี้ ได้กำหนดช่องทางการเผยแพร่และรับฟังความคิดเห็นผ่าน 3 รูปแบบ ประกอบด้วย รูปแบบออนไลน์ เช่น การไลฟ์สดการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญ โดยขอมติที่ประชุมในการเผยแพร่เป็นรายครั้ง ประสานงานไปยังสำนักงานสารสนเทศ หรือโทรทัศน์รัฐสภา รูปแบบออนกราวน์ เช่น การจัดเวทีเสวนาโดยคณะกรรมาธิการ และรูปแบบออนแอร์ เช่น การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านทางรายการโทรทัศน์ ประสานไปยังโทรทัศน์รัฐสภา รายการโทรทัศน์ที่เป็นที่นิยมเพื่อดำเนินการ

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ