ข่าว

ล็อกเป้า 4 ปม ซักฟอกยื่น 20 ม.ค.นี้ เพื่อไทยจ้องขย้ำ 3 ป.

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ล็อกเป้า 4 ปม ซักฟอกยื่น 20 ม.ค.นี้ เพื่อไทยจ้องขย้ำ 3 ป. บิ๊กตู่วอน 'เชียร์-ไล่' ร่วมมือสร้างชาติ

       เมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่พรรคเพื่อไทย(พท.) นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรค กล่าวถึงความพร้อมในการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า หลังจากพรรคมอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มาทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ มารับผิดชอบดูแลการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ได้รวบรวมเรื่องราวการบริหารงานของรัฐบาลนี้ ทั้งเรื่องการใช้อำนาจหน้าที่ที่ทำให้สังคมไม่สบายใจ การเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้องตัวเอง การบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพ มีรัฐมนตรีที่อยู่ในข่ายถูกยื่นอภิปราย 4-5 คน เป็นไปตามที่ ร.ต.อ.เฉลิม ได้เคยให้ข้อมูลไปก่อนหน้านี้

      “นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำคงจะถูกอภิปรายมากหน่อย ส่วนรัฐมนตรีที่อาจจะถูกอภิปรายเพิ่มนั้น ในฐานะที่เป็นผู้ประสานงานกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้พูดคุยกันอยู่ตลอด สิ่งที่พอสรุปได้ชัดเจนคือ จะมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจช่วงวันที่ 20 มกราคม แม้การกำหนดวันอภิปรายเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ไม่มีการระบุกรอบเวลาเอาไว้ชัดเจน แต่เราก็ไม่อยากจะยื่นญัตติเร็ว เพราะไม่เช่นนั้น อาจจะมีการกำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 25 มกราคม ซึ่งตรงกับเทศกาลตรุษจีน อาจทำให้การอภิปรายไม่ค่อยได้รับความสนใจ แต่หากยื่นญัตติช่วงวันที่ 20 มกราคม ที่อาจจะบวกลบอีกนิดหน่อย จากนั้นมีการบรรจุญัตติ อาจทำให้เวลาของการอภิปรายจะอยู่ในช่วงปลายเดือนมกราคมหรือต้นเดือนกุมภาพันธ์” นายภูมิธรรม กล่าว

    นายภูมิธรรมกล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจพรรคฝ่ายค้านจะตรวจสอบถึงความไม่ชอบมาพากล ไร้ประสิทธิภาพการบริหารงาน รัฐมนตรีที่จะถูกยื่นอภิปรายจะมีเพิ่มอีกหรือไม่ พรรคเพื่อไทยไม่ได้ปิดกั้น ให้แต่ละพรรคไปดูเรื่องที่จะอภิปรายแล้วมาตกลงกัน นำหลักการ เหตุผลมาอธิบายกัน ซึ่งหลังจากนี้จะมีการนัดคุยกันกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอีกครั้ง

       เมื่อถามว่าจะมีการควบคุมสมาชิกของพรรคอย่างไร เพื่อให้โหวตไปในทิศทางเดียวกัน นายภูมิธรรมกล่าวว่า ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ ด้วยความที่เป็นพรรคการเมือง เราต้องยืนหยัดในผลประโยชน์ของประชาชน อย่าทำอะไรที่ฝืนความรู้สึกประชาชน ถ้ามีสำนึกโดยรวม ถ้าไม่สบายใจไม่สะดวกใจที่จะอยู่ในพรรคการเมืองก็ควรพิจารณาตัวเองลาออกไปเลือกหนทางการเมืองของตนใหม่ แต่ถ้ายังอาศัยร่มไม้ชายคาอยู่ หากทำอะไรที่ผิดมติของพรรค ในทางการเมืองถือว่าผิดจริยธรรมทางการเมืองอย่างร้ายแรง

     ฝ่ายค้านล็อกเป้า4ปมซักฟอก

     ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า มี 4 กรอบด้วยกัน ประกอบด้วย กรอบที่ 1 การอภิปรายในความผิดที่สำเร็จแล้วและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน กรอบที่ 2 อภิปรายเครือข่าย 3 ป. กรอบที่ 3 กลุ่มรัฐมนตรีที่เข้ามาใหม่แล้วทำให้ประเทศชาติเสียประโยชน์ กรอบที่ 4 กลุ่มที่เข้ามาแล้วกำกับนโยบายที่ผิดพลาด พร้อมกันนี้ ยังเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แก้ปัญหาภัยแล้งอย่างเป็นรูปธรรม คนไทยอยากเห็นแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ

    โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกิจกรรมวิ่งไล่ลุงที่ผ่านมาว่า ไม่ว่าจะวิ่งไล่ลุง หรือเดินเชียร์ลุง รัฐบาลต้องไม่สกัดกั้นประชาชน ใครอยากวิ่งไล่ลุง หรือเชียร์ลุงก็สามารถทำได้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ต้องวางตัวเป็นกลาง อำนวยความสะดวกให้ประชาชน รัฐบาลไม่ควรปลดย้ายข้าราชการฝ่ายปกครองโดยอ้างกรณีที่ในพื้นที่มีคนวิ่งไล่ลุงจำนวนมาก อย่ามองคนเห็นต่างเป็นศัตรู ยอมรับความเห็นต่างของประชาชน หากแก้ปัญหาไม่ได้ ก็ต้องเตรียมรับมือกับสารพัดม็อบ

     “ธนาธร”เป็นกุนซือติวซักฟอกรัฐบาล

      ที่พรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายเดือนมกราคม หรือต้นเดือนกุมภาพันธ์ ตนคงจะสนับสนุน และเอาใจช่วย ส.ส.พรรค โดยจะสนับสนุนด้านทรัพยากร ข้อมูล และกำลังใจ ส่วนจะมีรายชื่อรัฐมนตรีเพิ่มเติมหรือแตกต่างจากรายชื่อของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ตอนนี้คงไม่สามารถบอกได้ ขอเก็บไว้อีกสักพักก่อน

ส่วนการที่ พล.อ.ประยุทธ์อยากให้มาร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนประเทศมากกว่าออกไปชุมนุม นายธนาธร กล่าวว่า ส่วนนี้เราก็ขับเคลื่อนประเทศของเราอยู่ พี่น้องประชาชนก็ได้ส่งเสียงออกมาแล้วผ่านกิจกรรมวิ่งไล่ลุงที่เกิดขึ้นทั่วประเทศว่า พวกเขาไม่พอใจในการขับเคลื่อนประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์

     นายกฯขอเยาวชนรู้จักคุณธรรม

 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานพิธีเปิดตัวโครงการยุวชนสร้างชาติของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมให้โอวาทนักศึกษาที่เข้าร่วมจากโครงการยุวอาสา จำนวน 500 คน จาก 7 มหาวิทยาลัยภาครัฐและภาคเอกชน โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งระหว่างให้โอวาทว่า ใช้พลังของหนุ่มสาวให้สังคมสร้างสรรรค์เป็นสิ่งที่เราต้องการในขณะนี้ ตอนนี้เราเผชิญกับกับความท้าทายสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ แต่จะทำอย่างไรให้เยาวชนเดินหน้าไปได้ 5-10 ปีที่ผ่านมา หลายอย่างเกิดความเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจะต้องลดผลกระทบที่เกิดจากความผันผวน ดิสรัปชั่นที่เกิดจากโลกดิจิทัล ทุกคนต้องช่วยกันทำงานเพื่อโลกของเรา รายได้ของเกษตรกรมีกติกาทั้งสิ้น รายได้ของประชากรจะต้องขับเคลื่อนตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง มีหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น สตาร์ทอัพ และเทคโนโลยี ช่วยให้ประเทศเกิดความเปลี่ยนแปลง เรามียุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาประเทศ 6 ด้าน แต่สิ่งสำคัญคือการศึกษาและวิธีการคิดที่มีกระบวนการ ต้องไม่มองระยะสั้น ต้องมองระยะยาว ต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง เพราะไม่มีอะไรได้มาฟรี เหล่านี้จะช่วยประเทศไทยเดินหน้าท่ามกลางประเทศที่กำลังอ่อนไหวอยู่ในขณะนี้ 

      นายกฯ กล่าวว่า ขอให้ทุกคนคำนึงถึงคุณธรรมจริยธรรม หากใช้แนวทางการดำเนินการแบบเดิมๆ บางอย่างมันดี แต่ทำไม่ได้ เพราะติดล็อกกฎหมาย และกฎหมายนั้นแก้ไม่ง่าย แต่ต้องหาวิธีการมาอำนวยความสะดวก ช่วยศึกษาเรื่องเหล่านี้ไปด้วย เรื่องความโปร่งใสก็อีกเรื่อง ถ้าไม่มีกฎหมาย ไม่รู้กัน บ้านเมืองก็สับสนอลหม่านกันไปหมด ต้องเติมไปด้วยทั้งกฎหมายเพื่อประชาชน กฎหมายที่ต้องรู้ และอยากให้ทุกคนเข้ามาร่วมมือเป็นกำลังของอนาคต อยากให้ศึกษายุทธศาสตร์ชาติ เพราะหลายคนอาจเข้ามาเป็นนายกฯ ส.ส. และรัฐมนตรี แทนคนรุ่นเก่า

    บิ๊กตู่ วอนทุกฝ่ายเดินหน้าสร้างชาติ

     นายกฯ กล่าวว่า วันนี้เรื่องกฎหมายต่างๆ เชื่อว่าดีและครอบคลุมอยู่แล้ว ขณะเดียวกันการใช้จ่ายงบประมาณ และระบบการตรวจสอบถ่วงดุลทุกอย่างมีอยู่แล้ว ต้องเรียนรู้ตรงนี้ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองสับสนอลหม่านไปหมด จะปฏิเสธว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ รัฐธรรมนูญก็กำหนดไว้หมดแล้ว บางคนไม่รู้จริงๆ และต้องรู้ว่ารัฐบาลทำอะไรไปแล้ว หลายอย่างทำมาใหม่สมัยนี้ทั้งนั้นทำ เพื่อพวกเราทั้งสิ้น ถ้าไม่สนใจไปสนใจเรื่องอื่นก็ไม่เกิดประโยชน์

    “ขอให้ทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นพรรคใดก็ตาม ทุกคนหวังดีต่อประเทศชาติทั้งสิ้น ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับใครเลย ใครจะเชียร์ จะไล่ จะอะไร ผมไม่ใช่ศัตรูพวกท่าน แต่ทุกคนจะทำอย่างไรให้เกิดความร่วมมือขับเคลื่อนประเทศชาติไปข้างหน้า ดีกว่ามาเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าไปได้มากนัก แต่ก็เคารพความคิดของทุกคน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว และว่า วันนี้ประเทศไทยเดินมาถูกทางแล้ว เป็นการขับเคลื่อนทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่า คนรุ่นเก่าเราทิ้งไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะแบ่งแยกกันอยู่อย่างนี้ คนรวย คนปานกลาง คนจน กลุ่มนั้นกลุ่มนี้ ถึงเวลาที่เราจะต้องรวมพลังกันได้แล้ว 

      “อะไรที่ขัดข้องหมองใจต้องคุยกัน ทุกอย่างต้องแก้ปัญหาแบบนี้ ในต่างประเทศก็แก้ปัญหากันแบบนี้ รบราฆ่าฟันกันยิ่งกว่านี้ เราต้องการจะกลับไปแบบนั้นกันอีกหรือ อย่าเลย เอาความตั้งใจมาร่วมมือกันคิดกันทำจะดีกว่า ไม่อยากจะให้มีความขัดแย้งกันใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะเวลานี้ โลกกำลังมีปัญหาหลายประการ เราไม่ควรจะมีปัญหาภายในของเรา เพื่อจะใช้สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้เป็นโอกาสของพวกเรา เราต้องเอาวิกฤติเหล่านั้นมาอยู่ที่เราในการสร้างโอกาส” นายกฯ กล่าวตอนท้าย

     ยิ่งไม่ชอบต้องทำให้รักมากขึ้น

       ต่อมาเวลา 14.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานในพิธียกเสาเอกชุมชนประชาร่วมใจ 2 เขตจตุจักร ภายใต้ชื่อโครงการ “คืนบ้านใหม่ให้พี่น้อง คืนสายคลองให้ส่วนรวม” ตามการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง ภายหลังรัฐบาลมีนโยบายจัดระเบียบสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำคลอง และแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพฯ โดยนายกฯพร้อมคณะล่องเรือไปยังท่าเรือชุมชนประชาร่วมใจ 2 และเยี่ยมชมนิทรรศการงานพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองเปรมประชากร จากนั้นนายกฯ เป็นประธานในพิธียกเสาเอกชุมชนประชาร่วมใจ 2 พร้อมมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุและใบอนุญาตก่อสร้างชุมชน จำนวน 210 ครัวเรือน

      พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งระหว่างให้นโยบายว่า ต้องย้อนดูว่าเราอยู่แบบนี้มากี่ปีแล้ว วันนี้ดีใจที่ขับเคลื่อนได้ คลองนี้เชื่อมถึง 3 จังหวัดที่มีความแตกต่าง เราไม่ได้ทำแค่วันนี้แล้วจบ ทุกคนที่มาเป็นนายกฯ ต้องทำต่อ แต่ตนเริ่มต้นไว้ให้ และให้เชื่อมั่นในการทำงานของพวกเราตามแผนแม่บทที่วางไว้

      “วันนี้ใครจะว่าอะไร ทำอะไร ก็สุดแท้ อยู่ที่พวกเราประชาชน เป็นผู้กำหนดแนวทางประเทศ ดูว่าอะไรดีไม่ดี อย่าไปฟังสิ่งที่มันไม่ใช่ แล้วก็เชื่อ มันไม่ได้ ต้องคิดให้เป็น ผมไม่เคยรังเกียจใคร ส่วนใครจะชอบหรือไม่ชอบก็เป็นไร นายกฯ เป็นคนแบบนี้ ยิ่งไม่ชอบผม ก็ต้องยิ่งรักท่านให้มากขึ้น เอาความดี ทำต่อให้เขารัก และทุกคนก็ต้องทำแบบนี้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

   ซัด นำ ปชช.มาเป็นตัวประกัน

    ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวว่า ภายหลังร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2563 ผ่านสภา ทางรัฐบาลจะเร่งดำเนินโครงการต่างๆ ให้แก่พี่น้องประชาชนทันที ซึ่งทราบว่าจะเน้นการทำงานในเชิงรุกมากขึ้นและจะให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงลงพื้นที่พบปะประชาชนเพื่อรับฟังปัญหา จากนั้นจะร่วมกันคิดโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาในพื้นที่ให้แก่พี่น้องประชาชนทันที เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

    สำหรับความเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมวิ่งไล่ลุง หรือกิจกรรมเดินเชียร์ลุงนั้น รัฐบาลจะไม่กระโดดเข้าไปชี้นำ หรือแสดงความเห็นใดๆ เอาเวลาไปทำงานให้แก่พี่น้องประชาชนดีกว่า อย่างไรก็ตาม หากการเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นไปตามกรอบของกฎหมายนั้นก็สามารถทำได้ แต่ต้องระวังการกระทบกระทั่งกันของทั้งสองฝ่ายด้วย ไม่อยากเห็นความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ไม่อยากเห็นการแบ่งข้างประชาชนคนไทย เพราะจะนำไปสู่ปัญหาเหมือนในอดีตที่เรามีบทเรียนมาแล้วได้

     “ทั้งนี้แม้ประเทศจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจบ้างแต่ก็ยังดีกว่าประเทศเกิดความขัดแย้งรอบใหม่ขึ้นมาอีกเพราะอย่างน้อยบ้านเมืองสงบ ประชาชนสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ ปัญหาเศรษฐกิจปัญหาปากท้องก็จะสามารถแก้ไขได้ ขอฝากพรรคการเมืองบางพรรคด้วยว่าอย่านำประชาชนมาเป็นตัวประกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง” นายธนกรกล่าว

     เพจเชียร์งัดผลงานดึงสติวิ่งไล่

     ด้านเพจเฟซบุ๊ก “ลุงตู่ตูน” ที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ได้โพสต์ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ ประกอบข้อความชุด “วิ่งไล่...เพื่อประเทศไทย” ซึ่งหยิบยกผลงานของรัฐบาลหลายเรื่อง พร้อมตั้งคำถามว่า “ก่อนวิ่งไล่ลุง รู้มั้ย...ลุงวิ่งไล่ทุกปัญหาเพื่อพัฒนาประเทศ” เปรียบเทียบกับการจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง ที่จัดขึ้นที่สวนรถไฟ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล เมื่อวันที่ 12 มกราคม ที่ผ่านมา

       ทั้งนี้ได้ระบุข้อความว่า “ก่อนเกิดการวิ่งไล่ลุง มีลุงคนหนึ่งวิ่งไล่ความขัดแย้งแตกแยกของคนในชาติ, ก่อนเกิดการวิ่งไล่ลุง มีลุงคนหนึ่งวิ่งไล่การทุจริตจำนำข้าว ปกป้องผลประโยชน์ชาวนา, ก่อนเกิดการวิ่งไล่ลุง มีลุงคนหนึ่งวิ่งไล่ความอ่อนแอของศักยภาพการแข่งขันของประเทศ, ก่อนเกิดการวิ่งไล่ลุง มีลุงคนหนึ่งวิ่งไล่การหยุดชะงักของการพัฒนาโครงสร้างคมนาคมพื้นฐาน, ก่อนเกิดการวิ่งไล่ลุง มีลุงคนหนึ่งวิ่งไล่ความเมินเฉยของปัญหาริมคลองในกรุงเทพฯ, ก่อนเกิดการวิ่งไล่ลุง มีลุงคนหนึ่งวิ่งไล่ความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยเสริมต้นทุนชีวิตให้ผู้ด้อยโอกาส, ก่อนเกิดการวิ่งไล่ลุง มีลุงคนหนึ่งวิ่งไล่ความสุ่มเสี่ยงในการทำประมงของประเทศไทย, ก่อนเกิดการวิ่งไล่ลุง มีลุงคนหนึ่งวิ่งไล่ปัญหาเศรษฐกิจผ่านการกระตุ้นเศรษฐกิจจากฐานราก ถ้าไม่ชอบลุงคนนี้ก็ไม่เป็นไร แต่จงอย่าวิ่งไล่ความสุขสงบของคนประเทศไทยเหมือนที่ผ่านมา”

วิษณุโยนจนท.ชี้ชุมนุมการเมือง

     ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ตอบข้อถามกรณีกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ที่มีคนร่วมงานจำนวนมากมองว่าจะบานปลายหรือไม่ว่า ไม่มอง ให้คนอื่นเขามอง เพราะฝ่ายความมั่นคงมีหน้าที่มองอยู่แล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า การจัดกิจกรรมแบบนี้เข้าข่ายตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ซึ่งการแสดงสัญลักษณ์ไม่เป็นไร แต่ถ้าเข้าข่ายการชุมนุมตาม พ.ร.บ.สาธารณะก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งนี้การชุมนุมสาธารณะถือเป็นการแสดงสัญลักษณ์ทางการเมืองซึ่งการแสดงสัญลักษณ์ทางการเมืองนั้นทำได้หลายอย่าง เช่นยืนยกนิ้วอยู่ตรงนี้ก็เป็นการแสดงสัญลักษณ์ แต่เมื่อไม่ใช่การชุมนุมก็ไม่ต้องขออนุญาต และไม่ต้องไปบอกใคร แต่ถ้ารวมตัวกันหลายคนก็จะเป็นเรื่องของการชุมนุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ดูอยู่แล้ว อย่าให้ตนไปตอบชี้นำเลย

     พี่ศรีฟันธงผิดก.ม.ทั้ง2เวทีวิ่ง

     ส่วนนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ระบุถึง “วิ่งไล่ลุง” และ “เดินเชียร์ลุง” เป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 1.หลักฐานปรากฏโดยชัดแจ้งตามคลิปที่เผยแพร่ชี้ให้เห็นว่ากิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” สวนรถไฟ เขตจตุจักร เป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีผู้นำบนเวทีกล่าวนำให้ผู้ร่วมชุมนุมตะโกนด้วยเสียงดัง อาทิ “ประยุทธ์ ออกไปๆๆๆ" พร้อมชูนิ้ว 3 นิ้ว ถือได้ว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่เป็นไปโดยสงบ ตามมาตรา 6 และไม่ทราบว่าผู้จัดการชุมนุมได้แจ้ง สน.พหลโยธิน หรือไม่ ถ้าไม่แจ้งก็ขัดต่อ มาตรา 10 ประกอบมาตรา 14 ซึ่งมีโทษตามมาตรา 31 ประกอบมาตรา 15(5) มาตรา 16(5) ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ เป็นหน้าที่ของ ผกก.สน.พหลโยธิน ที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย

     2.หลักฐานรูปภาพชี้ให้เห็นว่ากิจกรรม “เดินเชียร์ลุง” สวนลุมพินี เขตปทุมวัน เป็นการชุมนุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยผู้จัดไม่สามารถควบคุมผู้ชุมนุมให้อยู่ในความสงบ แต่กลับปล่อยให้ผู้ชุมนุมนำโปสเตอร์รูปภาพนักการเมืองดังมาเหยียบย่ำ และการนำไม้มาตีผลไม้จำลอง 3 อย่าง คือ ส้ม แตงโม และสตรอเบอร์รี่ พร้อมเสียงโห่ร้องปรบมือกันเสียงดัง ถือได้ว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่เป็นไปโดยสงบ ตามมาตรา 6 แม้ผู้จัดจะแจ้งการชุมนุมแล้ว แต่ไม่สามารถควบคุมได้ ย่อมขัดมาตรา 14 และมีโทษเช่นเดียวกัน เป็นหน้าที่ของ ผกก.สน.ลุมพินี จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย

      “ช่อ”ปัดเร่งปฏิกิริยาปลุกม็อบ

      ขณะที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่(อนค.) กล่าวว่า เวลาที่มีการพูดว่างานเดินเชียร์ลุงมีแต่คนที่มีอายุไป งานวิ่งไล่ลุงมีแต่คนรุ่นใหม่นั้น เป็นการทำให้เกิดการแตกแยกทางช่วงวัย แต่ถ้าดูคนที่ไปร่วมงานวิ่งไล่ลุงมีทุกช่วงวัย มีทั้งรุ่นคุณป้า คุณลุง คนทำงาน ไปยันเด็กมัธยมต้น ถ้าให้ประเมินคิดว่ากลุ่มที่เป็นวัยรุ่นมีสัก 60% ที่เหลือเป็นคนที่มีอายุหน่อยอาจจะ 30-40% เรียกว่าเป็นภาพของสังคมที่มีคนทุกวัยมาร่วม ส่วนที่กังวลว่าในอนาคตอาจนำไปสู่การปะทะกันของมวลชน อย่างน้อยก็ได้เห็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่งคือไม่ได้มีฝ่ายใดพยายามจัดงานให้ชนในสถานที่เดียวกัน แม้จะชนวัน-เวลาก็จริงแต่คนทั้งสองกลุ่มไม่มีทางมาปะทะกันแน่นอนมันคงจะหมดสมัยแล้วที่จะนำมวลชนต่อมวลชนมาปะทะกัน เพราะทุกคนคงไม่อยากให้เกิดรุนแรงขึ้น

      “ความเห็นที่แตกต่างเป็นเรื่องปกติ และเป็นเรื่องที่ควรจะเป็น แต่สิ่งที่เราอยากเห็นคือ อย่าเอาคนมาปะทะกันให้เกิดความรุนแรง และอย่าไปใช้วาจาดูถูก ดูหมิ่น ยุยง กันไปมา ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายเกลียดกันมากขึ้น เพราะคนที่ความเห็นต่างกันมีแนวโน้มที่จะเกลียดกันง่ายอยู่แล้ว อีกอย่างคือรัฐบาลเอง ควรจะอำนวยความสะดวกการแสดงออกของประชาชนให้เท่าเทียมกันทั้ง 2 ฝ่าย เราหวังว่ารัฐเองจะปล่อยให้การแสดงออกแบบนี้เป็นไปอย่างเสรี” น.ส.พรรณิการ์ระบุ

     เมื่อถามว่า หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ในปี 2563 พรรคอนาคตใหม่พยายามจะเร่งปฏิกิริยาให้เกิดการชุมนุม น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า “คนที่เร่งปฏิกิริยาน่าจะเป็นรัฐบาลมากกว่า เพราะต่อให้ใครจะกระตุ้นประชาชนขนาดไหน มันกระตุ้นไม่ขึ้นหรอก หากไม่มีปัจจัยที่ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเดือดร้อนจริงๆ คุณดูสิ น้ำประปาก็เค็ม ฝุ่น พีเอ็ม2.5 ก็เยอะ คนตกงานเป็นว่าเล่น มีคนฆ่าตัวตายรายวัน ซึ่งเราไม่เห็นข่าวแบบนี้มาตั้งแต่ปี 2540 ซึ่งตอนนี้กลับมาอีก ปัญหาเหล่านี้รุมล้อมและทำให้คนรู้สึกว่าเราต้องการรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพกว่านี้ เพราะฉะนั้นคนที่จะเร่งปฏิกิริยากระแสของประชาชนคือรัฐบาลเอง”

      พท.ยก3ปมซัดรัฐบาลล้มเหลว

      ร.อ.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกิจกรรมวิ่งไล่ลุงว่า สัดส่วนของคนรุ่นใหม่มีจำนวนมาก หากวิเคราะห์แล้วพบว่า น่าจะเกิดจากเงื่อนไขสำคัญ 3 ประการ คือ 1.ปัญหาสองมาตรฐานในสังคมไทยที่ฝ่ายรัฐบาลทำอะไรก็ไม่ผิด 2.ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำให้ประชาชนยากจนลง คนไทยเป็นหนี้อันดับต้นๆ ของโลก ทำให้คนวัยหนุ่มสาวสิ้นหวังกับเศรษฐกิจ และยังส่งผลให้คนตกงานมีจำนวนมาก ขณะที่ผู้ประกอบการก็ทยอยปิดกิจการ ซึ่งเป็นเงื่อนไขเดียวกับเงื่อนไขที่ทำให้เกิดกลุ่มคนเสื้อแดง และคนที่ทำให้เกิดเงื่อนไขก็เป็นคนเดิมๆ 3.กลุ่มคนรุ่นใหม่ถูกปิดกั้นสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก ทั้งการส่งเจ้าหน้าที่ไปประกบบุคคลเป้าหมายที่จะออกมาร่วมกิจกรรม การดิสเครดิตกิจกรรมว่าจะทำให้เกิดความแตกแยก การจัดม็อบชนม็อบ ดังนั้น การแก้ปัญหาคือ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะทำให้การเปลี่ยนผ่านประเทศเป็นไปด้วยความราบรื่น และให้คนที่มีความรู้ความสามารถมาบริหารประเทศ

      ขณะที่ น.ส.สรัสนันท์ อรรณนพพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุว่า กิจกรรมวิ่งไล่ลุงที่มีกลุ่มคนรุ่นใหม่เข้าร่วมจำนวนมากนั้น ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่แค่ไม่พอใจของการเข้ามาของลุงเหล่านั้น แต่ไม่พอใจการแก้ปัญหาด้านต่างๆ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และอีกไม่นาน ฝ่ายค้านก็จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งจะมีการอภิปรายไล่ลุงด้วยเช่นกัน จึงขอเปิดแฮชแท็ก #อภิปรายไล่ลุง ในวันนี้ (13 ม.ค.) ส่วนปัญหาภัยแล้ง ส่วนตัวยังไม่เห็นมาตรการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมของรัฐบาล แม้จะมีรัฐมนตรีลงพื้นที่ แต่ก็เป็นแค่การขึ้นเฮลิคอปเตอร์ดูหน้างาน ไม่ได้สั่งงานหรือมาตรการที่ช่วยเหลือปัญหาภัยแล้งแต่อย่างใด แต่ยังสร้างภาระหน่วยงานที่ต้องคอยต้อนรับรัฐมนตรี

     ขัดแย้ง10ปีทำให้เกิด“วิ่งไล่-เชียร์”

     นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า วิ่งไล่ลุงและเดินเชียร์ลุง เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ตามวิถีทางประชาธิปไตย ซึ่งทั้ง 2 กิจกรรมผ่านไปด้วยความเรียบร้อย ส่วนที่มีคนกังวลอยู่บ้าง โดยเฉพาะนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) บอกว่าความเคลื่อนไหวนอกสภาจะนำไปสู่ความขัดแย้ง ประเทศจะกลับสู่วังวนเดิมนั้น ตนเห็นต่าง ความขัดแย้งกว่า 10 ปีที่ผ่านมาต่างหากที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวทั้ง 2 ฝ่ายนี้ และประเทศไม่เคยออกจากวังวนเดิมเลย มีแต่เปลี่ยนตัวแสดงและรูปแบบการเคลื่อนไหว รัฐบาลคสช.นอกจากไม่แก้ปัญหาแล้วยังทำให้สถานการณ์แย่ลงด้วยการสืบทอดอำนาจ ซึ่งสุ่มเสี่ยงจะเกิดความขัดแย้งใหญ่อีกในอนาคต

     นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้คงมีการวิ่งและกิจกรรมรูปแบบอื่นๆ เกิดขึ้นต่อเนื่อง หวังว่ารัฐบาลจะไม่ใช้ความรุนแรงต่อพลังสันติวิธีที่กำลังขับเคลื่อนอยู่ในขณะนี้ ถ้าต้องการหยุดวิ่งไล่ลุงก็ควรแก้ปัญหาให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาบ้าง เช่น ลุงแก้จน หรือลุงไล่แล้ง ถ้าแก้อะไรไม่ได้เลยก็คงเห็นวิ่งไล่ลุงทั่วบ้านทั่วเมืองยิ่งกว่านี้

      เชื่อกกต.เตรียมสูตรคำนวณส.ส.

      ด้านความคืบหน้ากรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคอนาคตใหม่(อนค.) ในวันที่ 21 มกราคม นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวว่า ในเรื่องหารือกับคณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) เกี่ยวกับการคำนวณ ส.ส.ใหม่หากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาล ทาง กกต.ต้องเป็นผู้สร้างความชัดเจน เพราะพรรคการเมืองจะต้องปฏิบัติตาม หากพรรคสงสัยก็ไปขอให้ กกต.เตรียมคำตอบไว้ ซึ่งเขาคงทำอยู่แล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องกระโตกกระตาก เพราะจะกลายเป็นว่าหาความชัดเจนไว้ก่อนเหมือนรู้ผลล่วงหน้า แต่วิสัยของการเตรียมตัวล่วงหน้ามันมีได้ทั้งสองแบบ

      ส่วนกรณี น.ส.ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ ยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนฉุกเฉินและคุ้มครองสิทธิกรณีพรรคอนาคตใหม่มีมติให้ขับพ้น ส.ส. แต่ไม่ได้ทำหนังสือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น นายวิษณุกล่าวว่า นึกไม่ออกว่าทำไมพรรคอนาคตใหม่จึงไม่เซ็นให้เขา เว้นแต่มติยังไม่สมบูรณ์ แต่เอาเป็นว่าเมื่อมติไล่ออกมีผล กรุณาไปหาพรรคใหม่ภายในเวลาที่กำหนด ส่วนจะมีผลเมื่อไรนั้นตอบไม่ถูก

      ผู้สื่อข่าวถามว่า กรอบเวลา 30 วันที่ต้องหาสังกัดใหม่ นับตั้งแต่พรรคมีมติหรือหัวหน้าพรรคเซ็นหนังสือไล่ออก นายวิษณุ กล่าวว่า นับตั้งแต่มีผล ส่วนตัวมองว่าน่าจะมีผลตั้งแต่วันมีมติ หากมีการเซ็นให้ออกในภายหลังก็ต้องย้อนไปให้มีผลในวันมีมติ และโดยหลักการ น.ส.ศรีนวลหาพรรคใหม่ได้แล้ว แต่ปัญหาคือ น.ส.ศรีนวลรู้ได้อย่างไรว่าพรรคไล่ออก จะบอกว่าอ่านทางสื่อไม่ได้ ต้องมีการแจ้งให้เจ้าตัวรับทราบ หาก น.ส.ศรีนวลจะไปหาพรรคใหม่เป็นการภายในนั้นไม่เป็นไร แต่ไปสมัครก่อนไม่ได้ เพราะอาจจะกลายเป็นสมาชิกสองพรรค

    เผย ร่างงบ64เข้าสภาใน2เดือน

   นายวิษณุ  กล่าวถึงกรณีที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา ที่มีเวลา 20 วัน โดยสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) นัดกันแล้วว่าจะประชุมในวันที่ 20 มกราคม และคงใช้เวลาพิจารณาเพียงวันเดียว เพราะ ส.ว.ได้ตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาคู่ขนานมากับสภาผู้แทนราษฎร อีกทั้ง ส.ว.ไม่สามารถแก้ร่าง พ.ร.บ.ได้ ทำได้เพียงมีข้อสังเกตมายังรัฐบาล เมื่อพิจารณาเสร็จแล้วจะส่งมายังรัฐบาล และนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายได้ภายใน 7 วัน คือ ภายในเดือนมกราคม คาดว่าจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ อย่างไรก็ตาม ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ต่างมีข้อสังเกตมายังรัฐบาลได้ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะนำมาปรับใช้อย่างไร ซึ่งข้อสังเกตต่างๆ จะดูสำหรับการปรับใช้ในงบประมาณปี 2563 และเตรียมทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่เข้าสภาใน 2 เดือนข้างหน้า

ปัดกลุ่ม กทม.ขัดแย้งใน พปชร.

      นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงข้อสังเกตที่แกนนำภาคกทม.ทั้งนายพุทธิพงษ์ และนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ไม่เข้าร่วมการประชุมสำคัญของพรรค ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐเป็นประธาน ติดต่อกันถึง 2 ครั้ง ว่า “ไม่มีอะไร พอดีงานเยอะ และที่บ้านก็ไปต่างประเทศกัน” ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า เป็นเพราะแกนนำภาคกทม.มีปัญหาภายในพรรคหรือไม่ นายพุทธิพงศ์ ยืนยันว่า กลุ่มกทม.ไม่มีปัญหากับใครเลย ส่วนตัวยังคุยกับทั้ง นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และเลขาธิการพรรค รวมถึง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะกรรมการบริหารพรรค ได้ตามปกติ 

       “กลุ่มกทม.เราเป็นกลุ่มก้อนมีการพูดคุยกันอย่างใกล้ชิด ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย ก็เลยไม่ต้องไปคุยหรือทำอะไรเพราะสามารถประสานงานกับทุกคนได้ จึงทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตได้ ส่วนบางครั้งที่ไม่เข้าประชุมเพราะทราบวาระก่อนถ้าไม่เกี่ยวกับกทม.ก็ไม่ได้ไป ขณะที่การไม่ได้ไปสวัสดีปีใหม่ พล.อ.ประวิตร ในการประชุมพรรค เมื่อวันที่ 7 มกราคม เพราะพวกเราไปกันล่วงหน้าก่อนแล้ว” นายพุทธิพงษ์กล่าว

     “บิ๊กทหาร”ร่วมงานกองทัพภาค1

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 07.30 น. ที่กองทัพภาคที่ 1 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานพิธีวันคล้ายวันสถาปนากองทัพภาคที่ 1 ครบรอบ 110 ปี โดยมีอดีตแม่ทัพภาคที่ 1 อาทิ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ องคมนตรี พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี พล.อ.ชัยณรงค์ หนุนภักดี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. รวมทั้งผู้บังคับบัญชาระดับสูงกระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้แทนเหล่าทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนเข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง โดยมี พล.ท.ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพภาคที่ 1 ต้อนรับ 

     ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 1 ได้สถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกองพล เป็นกองทัพที่ 1 ประกอบด้วย กองพลที่ 1 มณฑลทหารกรุงเทพฯ  กองพลที่ 2 มณฑลนครไชยศรี และกองพลที่ 3 มณฑลกรุงเก่ามีที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพอยู่ในกระทรวงกลาโหม โดยมี พลตรีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นกำแพงเพชรอัครโยธิน ทรงดำรงตำแหน่งแม่ทัพพระองค์แรก ดังนั้นกองทัพภาคที่ 1 จึงได้กำหนดให้วันที่ 13 มกราคมของทุกปีเป็นวันคล้ายวันสถาปนากองทัพภาคที่ 1 

     ภายหลังเสร็จสิ้นพิธี พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดๆ ก่อนเดินทางกลับไปปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาลทันที

     ยกเรื่อง“ช่อ”-สอบต่อถวายสัตย์

     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร  ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย เป็นประธานกมธ. ได้แจ้งเรื่องต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กรณียุติเรื่องตรวจสอบ จำนวนหลายเรื่อง รวมถึงกรณี น.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องที่กมธ.ยังค้างการพิจารณา มีอีกกว่า 119 เรื่อง โดยสัปดาห์นี้ได้นัดประชุมมีวาระพิจารณาที่น่าสนใจ คือ ตรวจสอบกรณี พล.อ.ประยุทธ์ ถวายสัตย์ไม่ถูกต้องครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ และการเสนอร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ต่อสภาไม่ชอบ

      วิปรัฐบาลไม่ส่ง3ส.ส.ไปดำเนินคดี

       ที่รัฐสภา นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) แถลงถึงกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหนังสือขอตัว 3 ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ นำโดย นายปิยบุตร แสงกนกกุล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ไปสอบสวนในคดีอาญา ในระหว่างสมัยประชุมว่า ตามมาตรา 125 ระบุไม่ให้ดำเนินคดีกับ ส.ส.ในระหว่างสมัยประชุม ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา สภาก็ไม่เคยส่งตัวส.ส.ไปดำเนินคดีในระหว่างสมัยประชุมเช่นเดียวกันแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นในเบื้องต้นคงไม่สามารถส่งตัว 3 ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ไปดำเนินคดีได้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุมสภาจะเป็นผู้ลงมติอีกครั้งหนึ่งว่าจะอนุญาตหรือไม่ด้วย แต่เบื้องต้นวิปรัฐบาลมีมติไม่อนุญาตแล้วเพราะในทางกฎหมายไม่ให้นำตัวไปดำเนินคดีในระหว่างเปิดสมัยประชุม แต่เมื่อปิดสมัยประชุมนี้แล้ว หรือหลังวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ก็เป็นเรื่องของตำรวจที่จะสามารถเรียกตัว 3 ส.ส.ไปดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป แต่เมื่อเข้าสู่สมัยเปิดประชุมแล้วคดียังไม่ยุติ สภาก็ต้องปฏิบัติแบบเดียวกัน โดยยึดหลักปฏิบัติตามมาตรา 125 รัฐธรรมนูญ 2560 เป็นหลัก

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ