ข่าว

เสรีพิศุทธ์ จี้ ชวน พรเพชร ลาออก

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"เสรีพิศุทธ์" จี้ "ชวน-พรเพชร" ลาออก ปล่อย "บิ๊กตู่" แถลงนโยบายทั้งที่ถวายสัตย์ฯไม่ครบ

 

 

            21 ส.ค.62-พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ยื่นหนังสือต่อประธานสภา เรื่อง ขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรซึ่งปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภาซึ่งปฏิบัติหน้าที่รองประธานรัฐสภา แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง โดยมีเนื้อหา 4 หัวข้อหลัก
.             ๑. ข้าพเจ้า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเสรีรวมไทย ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของท่านทั้งในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภาในฐานะรองประธานรัฐสภา ในการประชุมเพื่อพิจารณา ให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็น นายกรัฐมนตรี ตามมาตรา ๒๗๒ ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๒ และการประชุมเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา ๑๖๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
             เมื่อวันที่ ๒๕ และ วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ตามสําเนาหนังสือที่ส่งมาด้วย ๑, ๒ และ ๔ เป็น การกระทําที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๕๙ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๗๒ วรรคแรก และ มาตรา ๖ , มาตรา ๔๙ มาตรา ๑๖๑ มาตรา ๑๖๒ ประกอบมาตรา ๓ วรรคสอง มาตรา ๕ วรรคแรก , มาตรา ๘๐ วรรคสี และวรรคห้า , มาตรา ๑๑๔ และมาตรา ๑๑๙ ไม่เหมาะสมที่จะดํารงตําแหน่งและปฏิบัติหน้าที่อันมีเกียรติอีกต่อไป สมควรพิจารณาตนเองด้วยการลาออกจาก ตําแหน่งเพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถ มีความเป็นกลาง และมีความเหมาะสมที่ จะปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่นํารัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติไปรับใช้คณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิธิธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของ ประเทศชาติและความผาสุขของประชาชนโดยรวม

 

 

           เสรีพิศุทธ์ จี้ ชวน พรเพชร ลาออก

              ๒. การประชุมเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็น นายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๒ เป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑๕๔ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๗๒ วรรคแรก

              ๓. การประชุมเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามมาตรา ๑๖๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ ๒๕ และวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๒ เป็นการฝ่า ฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๖๐ มาตรา ๑๖๑ และมาตรา ๑๖๒

              ๔. จากข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐานต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้า พิจารณาเห็นว่าประธานรัฐสภาและรองประธานรัฐสภาได้ดําเนินการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณา ให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๒ เป็น การขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๕๔ วรรคสอง และมาตรา ๒๗๒ วรรคแรก
                นอกจากนั้นยังดําเนินการประชุมการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ ๒๕ และวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ยังขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๖๑ และมาตรา ๑๖๒ อีกด้วย การที่ ประธานรัฐสภาและรองประธานรัฐสภาละเลยไม่ควบคุมการประชุมรัฐสภาให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมาย และรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ ทั้งๆที่ข้าพเจ้าก็ได้พยายามอธิบายทั้งข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายให้ประธานรัฐสภาและรองประธานรัฐสภาทราบเพื่อที่จะได้ควบคุมการประชุมให้ ถูกต้องเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับ กฎหมาย และรัฐธรรมนูญ แต่ประธานรัฐสภาและรอง ประธานรัฐสภาก็ไม่รับฟัง และยังไม่ยอมวินิจฉัยให้หมดสิ้นกระแสความ

                ทั้งยังมีพฤติการณ์กีดกั้นนไม่ให้ข้าพเจ้า นายวิรัตน์ วรศสิริน และนายปิยบุตร แสงกนกกุล ได้แสดงพยานหลักฐานทั้ง ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายประกอบการอภิปรายอีก โดยเฉพาะประเด็นการถวายสัตย์ปฏิญาณ ต่อพระมหากษัตริย์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ไม่ถูกต้องครบถ้วนตามมาตรา ๑๖๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย แต่ขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้ออกมารับสารภาพแล้วว่าถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ ถูกต้องครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ โดยขอเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียวนั้นคงจะ ไม่ถูกต้อง เพราะคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๕๘ วรรคแรก อีกทั้งมิใช่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะกล่าวถวาย สัตย์ปฏิญาณไม่ถูกต้องครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญเพียงคนเดียวเท่านั้น รัฐมนตรีทุกคนที่กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณตามย่อมถือได้ว่าถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ถูกต้องครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน จึงต้องร่วมรับผิดชอบด้วยกันทั้งคณะ

                    เมื่อข้อเท็จจริงเป็นดังที่กล่าวมา ผู้ที่รู้เห็นเป็นใจเปิดโอกาส ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกเป็นครั้งที่สอง และปิดกั้น ไม่ให้ข้าพเจ้าได้แสดงพยานหลักฐานการอภิปรายในประเด็นที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นํา คณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ถูกต้องครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทยมาตรา ๑๖๑ ก็จะต้องเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบในการกระทําครั้งนี้ด้วย เพราะมีผลประโยชน์ ร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรงดังที่ข้าพเจ้าได้เรียนข้อเท็จจริงไว้แล้วในข้อ ๓.๔ อีก ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเคยมีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยการยึดอํานาจจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ แล้วฉีกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ทิ้ง ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๖๐ ขึ้นบังคับใช้ในปัจจุบัน การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ยอมกล่าวถ้อยคํา “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุก ประการ” ในการนําคณะรัฐมนตรีกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๒ นั้น จึงย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าจิตใต้สํานึกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทําให้ไม่สนใจ ที่จะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๖๐ และอาจจะทําการปฏิวัติ รัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทิ้งอีกครั้ง จึงได้ตัดข้อความประโยคสุดท้ายของรัฐธรรมนูญ ดังกล่าวออกไป ไม่ยอมถวายสัตย์ปฏิญาณให้ครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ประธานรัฐสภา และรองประธานรัฐสภาจึงควรที่จะใช้ความรอบคอบรัดกุมและวิจารณญาณในฐานะที่ได้รับพระ บรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ดํารงตําแหน่งอันทรงเกียรติยิ่งเป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ ควรจะควบคุมการประชุมรัฐสภาให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับ กฎหมาย และรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด วางตัวเป็นกลางไม่ยอมให้ฝ่ายนิติบัญญัติตกเป็นเครื่องมือรับใช้ฝ่ายบริหาร หากประธาน รัฐสภาและรองประธานรัฐสภาได้ใช้ความรู้ความสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดไม่เอนเอียง เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแล้ว เหตุการณ์ที่ข้าพเจ้ากราบเรียนมาทั้งหมดคงจะไม่เกิดขึ้น การดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็จะไม่มัวหมอง การแถลงนโยบายของ คณะรัฐมนตรีก็จะเป็นไปตามครรลองครองธรรม ได้รัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายบริหารราชการ แผ่นดิน ไม่ต้องตกเป็นขี้ปากของชาวบ้านและคนต่างชาติเช่นทุกวันนี้ อย่าให้การกระทําของ ประธานรัฐสภาและรองประธานรัฐสภาเป็นการสนับสนุนกลุ่มบุคคลที่อาจจะคิดล้มล้างการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา ๔๔ วรรคแรก ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ อีกเลย อย่าให้ผู้ใดตําหนิว่าวางตนไม่เป็นกลางใน การปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๘๐ วรรคสี่ วรรคห้า และมาตรา ๑๑๙ วรรคสอง โดยประธานรัฐสภา และรองประธานรัฐสภาจะต้องกระทําตนเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่ยอมอยู่ในความผูกมัดแห่ง อาณัติมอบหมายหรือความครอบงําใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อ ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุขของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการ ขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๑๔

           ประเด็นนี้ข้าพเจ้าเคยหารือต่อนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภา ผู้แทนราษฎร ซึ่งทําหน้าที่ประธานที่ประชุมเพื่อให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ตอบข้อหารือของ ข้าพเจ้าในสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็ไม่ได้รับคําตอบ จึงจําเป็นต้องทวงถามหาสปิริตของบุคคลซึ่งทํา หน้าที่ประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติทั้งประธานรัฐสภาและรองประธานรัฐสภาให้รับผิดชอบในเรื่องนี้ ด้วยการแสดงความรับผิดชอบขอลาออกจากตําแหน่งเพื่อให้ผู้อื่นที่เหมาะสมปฏิบัติหน้าที่แทน ต่อไป เพื่อเกียรติยศของสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่าน รวมทั้งข้าราชการ สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทุกคน ไม่ให้ตกอยู่ใต้อาณัติหรือถูกครอบงําโดยฝ่ายบริหารอีกต่อไป
.
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
( พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส) 
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเสรีรวมไทย

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ