ข่าว

"ณัฐวุฒิ" ขอบคุณทุกเสียงให้กำลังใจ พ้นคดีก่อการร้าย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"เต้น" ย้ำหลังพ้นผิดคดีก่อการร้าย คดีมาถึงวันนี้ไม่ใช่ชัยชนะต่อฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แต่เป็นกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริง มีศาลวินิจฉัยและพิพากษา

 

          วันที่ 14 ส.ค.62 - ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. หนึ่งในจำเลยที่ศาลยกฟ้องคดีร่วมกันการร้าย กล่าวว่า ตลอดเวลา 9 ปี ที่ผ่านมา พวกตนทุกคนได้ทำหน้าที่ในการต่อสู้คดี กฎหมายของไทยเป็นกฎหมายลักษณะกล่าวหาตั้งแต่ขั้นตอนของพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) , อัยการ และศาลจะเป็นผู้วินิจฉัย ซึ่งวันนี้พวกตนเตรียมหัวใจอย่างมีสติไว้อยู่แล้วไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไรก็จะน้อมรับคำตัดสินของศาล

 

"ณัฐวุฒิ" ขอบคุณทุกเสียงให้กำลังใจ พ้นคดีก่อการร้าย

 

          ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. จำเลยร่วมอีกคนที่ศาลยกฟ้องเช่นกัน กล่าวว่า การสู้คดีเราก็ได้รวบรวมพยานหลักฐานข้อเท็จจริงต่างๆ แสดงต่อศาลอย่างครบถ้วน หลายประเด็นปรากฏชัดในขั้นตอนพิจารณาคดีว่ารัฐบาลขณะนั้นจงใจที่จะสร้างข้อมูลหลักฐานที่ผ่านการปรุงแต่ง เพื่อให้ฝ่ายจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด ซึ่งแกนนำ นปช.ได้แสดงหลักฐานต่อศาล ขณะเดียวกันฝ่ายพยานโจทก์ขึ้นเบิกความก็พบว่ายังไม่ได้ระบุตัวตนของคนกระทำความผิด ส่วนใหญ่เป็นการให้ปากคำในภาพรวมของสถานการณ์ความเคลื่อนไหว ซึ่งกระบวนการพิจารณาคดีหรือคำพิพากษาจะออกมาอย่างไรก็เคารพน้อมรับ เพราะตลอดเวลาที่ออกมาต่อสู้ทางการเมือง พวกตนก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมมาโดยตลอด

 

          เราเชื่อมั่นในความจริง ยืนยันมาตลอดว่าเจตนาในการเคลื่อนไหวต่อสู้ของ นปช. ในปี 2553 เรามีข้อเรียกร้องเดียว คือรัฐบาลขณะนั้นยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องพื้นฐานที่สุดตามระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ ก่อนที่กำลังเจ้าหน้าที่จะเข้ามาขอคืนพื้นที่ ก็ไม่ปรากฏความสูญเสีย การปะทะใดๆ ระหว่างประชาชนผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลสถานการณ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว จนกระทั่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ความสูญเสียในวันที่ 10เม.ย.53 ความรุนแรงก็ขยายไปเรื่อยๆ จนมีการประกาศเขตกระสุนจริง เกิดการต่อสู้กันราวกับสงครามกลางเมือง เพื่อสลายการชุมนุมในวันที่ 19 พ.ค.53

 

          นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ดีการก่อการร้ายต้องมีเจตนาเฉพาะที่ปรากฏ เช่น สร้างเหตุการณ์ลุกลามบานปลายให้เป็นความรุนแรง แต่ของเราไม่มี เรามีเจตนาชัดเจนชุมนุมเรียกร้องการยุบสภาเท่านั้น แม้ข้อกล่าวหาโทษสูงสุดประหารชีวิต แต่เรายังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของพวกเราในการต่อสู้ เข้าใจว่าพนักงานสอบสวนดีเอสไอและอัยการมุ่งเน้นข้อหาก่อการร้าย อาจเป็นเพราะในเหตุการณ์สูญเสียของประชาชนจำนวนมาก การตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นขบวนการก่อการร้าย เพื่ออธิบายความสูญเสียดังกล่าวหรือไม่ว่าการชุมนุมมีกองกำลังที่จะมาทำร้ายประชาชนเพื่อสร้างสถานการณ์ อย่างที่รัฐบาลขณะนั้นพูดเรื่องชายชุดดำฆ่าและทำร้ายกันเอง เมื่อข้อกล่าวหาของพวกเราไปถึงขนาดนั้น คดีจึงไปไกลถึงข้อหาก่อการร้าย แต่เรายืนยันว่าเรามีความบริสุทธิ์ใจ เชื่อมั่นในความจริงที่ปรากฏ ซึ่งการต่อสู้และการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ยืนอยู่บนหลักการประชาธิปไตยภายใต้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เป้าหมายเดียวของเราภายใต้หลักการสันติวิธี ไม่มีกองกำลังอาวุธ ไม่ใช้ความรุนแรง เมื่อกระบวนการพิจารณาคดีมาถึงวันนี้ ก็ต้องบอกว่านี้ไม่ใช่ชัยชนะใดๆ ของพวกตน ไม่ใช่ชัยชนะต่อฝ่ายโจทก์ที่เป็นผู้ฟ้องร้อง ไม่ได้เป็นชัยชนะต่อฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แต่เป็นกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริง โดยมีศาลวินิจฉัยและมีคำพิพากษา

 

"ณัฐวุฒิ" ขอบคุณทุกเสียงให้กำลังใจ พ้นคดีก่อการร้าย

 

          "สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ สำหรับผมคิดว่าเป็นความยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับผู้บาดเจ็บล้มตายจากการต่อสู้ ถ้าผมสามารถจะส่งข้อความนี้ถึงคนที่บาดเจ็บล้มตายในเหตุการณ์ดังกล่าว ก็อยากจะบอกว่าพี่ เพื่อนและน้องครับ วันนี้ศาลท่านชี้แล้วว่าพวกเราไม่ใช่ขบวนการก่อการร้าย วันนี้ศาลท่านชี้แล้ว ความสูญเสีย เลือดของพี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์ทุกคน ไม่ได้เป็นเพราะพี่น้องเป็นผู้ก่อการร้ายเลย ถูกเขายิงจนเจ็บจนตาย แต่เป็นการต่อสู้เพื่อเรียกร้องหลักการประชาธิปไตย ภายใต้ข้อเรียกร้องในสถานการณ์นั้น ก็คือการยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่" นายณัฐวุฒิ กล่าว

 

          นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อไปว่า ส่วนคดีความอื่นๆ มีอีกหลายคดีที่เราจะต้องต่อสู้กันต่อไป และอยากจะบอกกล่าวไปถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เป็นคู่กรณีโดยตรงจากการชุมนุมเมื่อปี 2553 ว่าเราไม่ถือแพ้ชนะกันในคดีนี้ หรือชนะกันที่ใครเจ็บ ใครตายมากกว่า ชัยชนะถ้าจะมีจากการต่อสู้ทางการเมือง ต้องเป็นชัยชนะร่วมกันของสังคมไทย ดังนั้นชัยชนะของ นปช.ยังมาไม่ถึง จะมาถึงก็ต่อเมื่อเราปกครองโดยหลักการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ภายใต้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น

 

         "ผมยังจำความรู้สึกวันที่ 10 เม.ย.53 ได้แม่นยำทุกวินาที ทั้งความสูญเสียที่เกิดขึ้น และผมเจรจากับเลขาฯ นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ยุติสถานการณ์ หลังเวทีมีผู้ชุมนุมมากมายวิ่งมาร้องไห้กับผม เพราะญาติ พี่น้อง เพื่อนญาติสนิทและครอบครัวบาดเจ็บ เสียชีวิตและสูญหาย ปกเสื้อผมยังเปียกน้ำตาประชาชน แล้วน้ำตาที่เปียกเสื้อ ซึมเข้าไปในใจ" นายณัฐวุฒิ กล่าว

 

          เลขาธิการ นปช. กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ก็ขอขอบคุณคนที่ให้กำลังใจด้วย ส่วนคนที่เห็นต่างนั้นก็อยากจะบอกว่าเราไม่เคยมีความรู้สึกเป็นศัตรู เราไม่เคยมีความโกรธแค้นส่วนตัว ความเห็นต่างดำรงอยู่ได้ แต่ว่าการคิดถึงอนาคตของประเทศไทย การทำให้ความเห็นต่างนี้ เป็นความงดงามของระบอบประชาธิปไตย เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายน่าจะร่วมมือกัน.

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ