ข่าว

"บิ๊กตู่"ลั่นอย่าทิ้งผม

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ที่มา : หน้า 1 หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก ฉบับวันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2562


 

          ‘บิ๊กตู่’ลั่นกลางวง ครม.ใหม่ สั่งรมต.วันแถลงนโยบาย “อย่าทิ้งผม ให้ช่วยกันพูด” ด้านพปชร.เตรียม 60 ขุนพลรับมือฝ่ายค้านอภิปราย จับตา“บิ๊กป้อม” โดดเล่นการเมืองเต็มตัวในนามพลังประชารัฐ  ด้านฝ่ายค้านนัดถกคิวซักฟอก 

 

          ความคืบหน้ากรณีที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ทำหนังสือเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ร่วมกิจกรรมงานสัมมนาพรรคที่จะจัดกิจกรรมเสริมศักยภาพส.ส. ที่ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ระหว่างวันที่ 21-22 กรกฎาคม ก่อนแถลงนโยบายรัฐบาล

 

          “บิ๊กตู่”ลั่นวงครม.ใหม่“อย่าทิ้งผม”
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการสัมมนาส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา มีการจัดทัพ ส.ส.จำนวน 25 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะเป็นผู้อภิปรายสนับสนุนนโยบายรัฐบาล 12 ข้อเร่งด่วน และ 12 นโยบายหลัก โดยจะอภิปรายคนละ 7-8 นาที ส่วนอีกกลุ่มจะทำหน้าที่เป็น “องครักษ์รัฐมนตรี” แต่ละคนที่ถูกอภิปรายรวมถึงรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาล หากมีการพูดถึงนโยบาย เช่น กระทรวงเกษตรฯ ซึ่งมีนโยบายด้านการเกษตรที่คล้ายคลึงกัน โดยจะเป็นอดีตส.ส.มีประสบการณ์ในเวทีสภา เป็นอดีตส.ส.เก่า เพื่อเตรียมไว้รับมือในกรณีที่ถูก ส.ส.ฝ่ายค้าน อภิปรายนอกเหนือจากนโยบาย โดยหยิบยกเรื่องคุณสมบัติมาโจมตี นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เก็งข้อสอบว่าฝ่ายค้านจะหยิบยกเริ่มตั้งแต่การตีความนิยาม นโยบายแต่ละด้าน เป็นต้น

 

          รายงานข่าวแจ้งว่าในการประชุมครม.นัดแรก เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำให้รัฐมนตรีแต่ละคนได้ชี้แจงในนโยบายที่รับผิดชอบ และกล่าวในครม.ว่า “อย่าทิ้งผม อย่าปล่อยให้ผมพูดคนเดียว ขอให้ทุกคนช่วยกันพูด”

 

          วิรัตน์แย้ม“บิ๊กป้อม”โดดเล่นการเมือง
          วันเดียวกัน เวลา 14.00 น. เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ที่ 88 กามองเต้ รีสอร์ท อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดสัมมนา “เสริมศักยภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ระหว่างวันที่ 21-22 กรกฎาคม โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมรับมืออภิปรายการแถลงนโยบายรัฐบาลระหว่างวันที่ 25-26 กรกฎาคม โดยมีแกนนำพรรคพปชร.เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

 

          นายวิรัช รัตนเศรษฐ์ ประธานคณะกรรมการประสานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า ในวันที่ 22 กรกฎาคม พล.อ.ประวิตร จะมาเข้าร่วมประชุม ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่วังน้ำเขียวด้วย เพื่อเป็นการให้กำลังใจส.ส.และถือเป็นการเปิดตัวเข้าสู่การเมืองอย่างเต็มตัว เนื่องจากขณะนี้ไม่ได้เป็นคสช.แล้วทุกอย่างถือว่าทำได้ทั้งหมดในทางการเมือง ท่านจะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองจะทำกิจกรรมพรรคการเมืองทำได้หมดแล้ว ซึ่งพล.อ.ประวิตร ก็จะมาเป็นสมาชิกพรรคพปชร.ด้วย

 

          “ส่วนจะมามีตำแหน่งสำคัญในพรรคหรือไม่ คงจะยังไม่พูดถึงขนาดนั้น แต่ในวันที่ 22 กรกฎาคม พล.อ.ประวิตร จะมาร่วมประชุมสรุปกับส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และเป็นผู้สรุปแนวทางการทำงานร่วมกับรัฐบาล” นายวิรัช กล่าว

 

          วางคิวรัฐบาล-ฝ่ายค้านยาว 30 ชม.
          นายวิรัช รัตรเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ก่อนจะมาถึงวันนี้เรามีการสัมมนาครั้งแรกกันที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี โดยมีการจัดกลุ่มส.ส.ตั้งแต่เล็ก กลาง ใหญ่ จนถึงวันนี้มีเวลาเกือบ 2 เดือนที่เราได้เตรียมการเกี่ยวกับการอภิปรายนโยบายรัฐบาล วันนี้เรียกว่าเป็นการปิดคอร์สการสัมมนา โดยจะแบ่งกลุ่มส.ส.เป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มอภิปรายนโยบายรัฐบาล ระหว่างวันที่ 25-26 กรกฎาคม 2.กลุ่มดูกฎระเบียบข้อบังคับ เบื้องต้นใช้เวลาอภิปราย 30 ชั่วโมง โดยฝ่ายค้านมีเวลาอภิปราย 13 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งมากกว่าการอภิปรายของฝ่ายค้านในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ให้เวลาเพียง 10 ชั่วโมง

 

          เตรียม 60 ขุนพลรับมือฝ่ายค้าน
          "วันนี้ถือว่ามาปิดหลักสูตรซึ่งนาทีนี้ยังไม่มีใครเห็นว่าร่างนโยบายเป็นอย่างไร และคาดว่าส.ส.น่าจะได้ร่างแถลงนโยบายอย่างช้าที่สุดในวันพรุ่งนี้ โดยการสัมมนาวันนี้ได้เชิญนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค และรมว.พลังงานมาพูดถึงแนวนโยบายรัฐบาล เบื้องต้นได้แบ่งคนที่จะทำหน้าที่อภิปรายนโยบายรัฐบาล และดูแลกฎระเบียบข้อบังคับในสภาฝั่งละ 30 คน

 

          “เวลาฝั่งของเราจะแบ่งเป็นส.ส.รัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล และสมาชิกวุฒิสภา เบื้องต้นพรรคพปชร.มีคนลงชื่อแล้ว 25 คน พรรคประชาธิปัตย์ 15 คน พรรคภูมิใจไทย 15 คน เมื่อรวมกับพรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคร่วมอื่นๆ มีผู้แจ้งความประสงค์ที่จะอภิปรายแล้ว 70 คน ถือว่ามากพอสมควร แต่เนื่องจากเรามีเวลาเพียง 30 ชั่วโมง ก็อาจจะต้องมีการจัดสรรคนกันใหม่ โดยวันนี้ส.ส.ทุกคนได้รับร่างนโยบายรัฐบาลแล้ว ขอให้เข้าไปดูว่าจะต้องเตรียมการอภิปรายอย่างไร” นายวิรัช กล่าว

 

          เมื่อถามว่าจะติวเข้มรัฐมนตรีที่อยู่ในข่ายถูกอภิปรายหรือไม่ นายวิรัช กล่าวว่า รัฐมนตรีที่ถูกคาดการณ์ว่าจะถูกอภิปรายคงมีการเตรียมข้อมูลและเอกสารส่วนตัวไว้แล้วส่วนหนึ่งในส่วนส.ส.ก็จะทำหน้าที่ดูกฎระเบียบข้อบังคับเท่านั้น ส่วนประเด็นที่ฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายเรื่องคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีส่วนตัวมองว่ามีการอภิปรายเรื่องนี้ในช่วงโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีไปแล้วกว่า 10 ชั่วโมง เราจึงเห็นว่าฝ่ายค้านน่าจะพิจารณาตามความสมควรว่าจะต้องอภิปรายซ้ำอีกหรือไม่เพราะเรื่องนี้ก็อยู่ในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว อย่างไรก็ตามจนถึงวันนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้ติดต่อมาที่พรรคว่าต้องการให้เตรียมการอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ แต่ส่วนตัวมองแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

 



          อุตตมไม่พูดบิ๊กป้อมเล่นการเมือง
          ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เท่าที่ทราบ พล.อ.ประวิตร มีโปรแกรมมาตรวจราชการที่ จ.นครราชสีมา ในวันพรุ่งนี้ (22 ก.ค.) แต่ไม่ได้รับการยืนยันว่าจะแวะมาหรือไม่ ซึ่งหากมาพรรคก็ยินดีต้อนรับ และถือเป็นขวัญกำลังใจให้ส.ส.


          นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และหัวหน้าพรรคพปชร. กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวพล.อ.ประวิตร จะเดินทางมาร่วมงานสัมมนาพรรคนั้น นายอุตตม กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการยืนยัน ส่วนหลังจากนี้จะมีรายชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร เข้ามานั่งตำแหน่งสำคัญในพรรคหรือไม่นั้น ก็ยังไม่มีอะไรยืนยัน


          ย้ำนายกฯสั่งส.ส.พปชร.เตรียมข้อมูล
          นายอุตตม กล่าวต่อว่า ในเรื่องของเนื้อหาการอภิปรายก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่เรื่องการเตรียมพร้อมสำหรับทีมต่างๆ ที่จะทำหน้าที่ในสภาก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อน เป็นเรื่องของเทคนิคในสภา ประกอบกับการอภิปรายด้วยเนื้อหาที่ตรงจุด เรื่องเหล่านี้เราคงได้พูดคุยกันต่อไป แต่ขอเรียนว่าการเตรียมการ พล.อ.ประยุทธ์ ฝากมาว่าให้ทุกคนเตรียมเนื้อหาและเรื่องบุคลากรไปพร้อมกัน โดยบ่ายนี้จะมีการแบ่งกลุ่มในการทำหน้าที่


          “เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ที่รีสอร์ท 88 กามองเต้ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ก่อนสัมมนาส.ส. ถึงกรณีที่ฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายเรื่องคุณสมบัติของรัฐมนตรีว่า เชื่อว่ารัฐมนตรีแต่ละคนพร้อมชี้แจงและเตรียมการไว้แล้ว โดยพรรคพปชร.ได้เตรียมความพร้อมส.ส.เพื่ออภิปรายในสภา เราจึงมาจัดทัพกันว่าใครจะทำหน้าที่ใด ทั้งนี้คิดว่าคงไม่ต้องติวเข้มรัฐมนตรีเป็นพิเศษ แต่ต้องเตรียมตอบข้อซักถามที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของแต่ละกระทรวง


          “นายกรัฐมนตรีได้ฝากพวกผมมาให้เตรียมตอบข้อซักถามที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของตัวเอง โดยขอให้ทุกคนเตรียมตัวชี้แจง นายกฯ ไม่ได้เป็นห่วงเรื่องอะไรเป็นพิเศษ เราจะทำงานได้อย่างเต็มที่ในทุกกระทรวงที่มีคนของพรรคพปชร.เข้าไปเป็นรัฐมนตรี เพื่อให้ทุกคนได้ทำงานตามที่พูดไว้กับประชาชนและพร้อมที่ทำงานร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาล ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ แก้ไขปัญหาให้ประชาชน ส่วนตัวก็ยินดีที่ทุกคนมาร่วมกันทำงาน และเป็นครั้งแรกที่เราจะนำเสนอนโยบายและอภิปรายในสภา ก็ขอให้งานครั้งนี้ประสบความสำเร็จทุกอย่าง” หัวหน้าพรรค พปชร.กล่าว

 

          ลั่นนโยบาย‘ลดภาษี’ทำทันที
          นายอุตตม ยังให้สัมภาษณ์กรณีที่มีเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับนโยบายของพรรคเรื่องการลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา 10% ว่า นโยบายดังกล่าวจะดูเรื่องภาษีทั้งหมด เพราะระบบภาษีของไทยมีความเหลื่อมล้ำอยู่จึงต้องมาดูการปรับโครงสร้างภาษี โดยพิจารณารายได้ของประชาชน หากพบว่ามีส่วนใดสามารถปรับลดภาษีได้ก็จะทำเพื่อให้เกิดความสมดุล ยืนยันว่าไม่ถอยแน่นอน แต่ทำเพื่อให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น


          เมื่อถามว่ามีเสียงวิจารณ์ว่าหากพรรค พปชร.เป็นรัฐบาลจะทำทันที แต่ปรากฏว่ากลับเลื่อนออกไป นายอุตตม กล่าวว่า ยืนยันว่าจะทำทันที แต่ต้องมีขั้นตอน เบื้องต้นได้สั่งการให้สำนักเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ศึกษาเพื่อเตรียมการอย่างรอบด้าน การทำทันทีไม่ได้หมายความว่าเมื่อเป็นรัฐบาลจะทำทันที เพราะขณะนี้รัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบาย แต่เบื้องต้นได้เตรียมการไว้แล้ว ส่วนจะลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดาได้ถึง 10% หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาและกำหนดหลักเกณฑ์


          ไม่หวั่นป.ป.ช.ชี้มูล28นักการเมือง-ขรก.
          นอกจากนี้นายอุตตม ยังกล่าวถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดนักการเมืองและข้าราชการจำนวน 28 คน ซึ่งในจำนวนนี้มี ส.ส.พรรคพปชร.อยู่ด้วย ว่าส่วนตัวยังไม่ได้รับข้อมูลอย่างเป็นทางการจึงไม่ทราบรายละเอียด ดังนั้นคงต้องมีความชัดเจนก่อน แต่ยืนยันได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนพรรคก็เตรียมตัวเต็มที่ และพร้อมชี้แจงทั้งข้อกฎหมาย การทำงานและคุณสมบัติ ไม่ได้กังวลอะไร


          “ธรรมนัส”ยอมรับเจองานหนัก
          เมื่อเวลา 17.00 น. ที่ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 22 กรกฎาคมนี้ จะลงพื้นที่ตรวจภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ส่วนการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในหลายพื้นที่นั้น ได้สั่งให้กระทรวงและจังหวัดต่างๆ รับมือแล้ว ทั้งนี้หลังจากที่ลงพื้นที่เขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนภูมิพล พบว่าน้ำอุปโภคบริโภคน่าเป็นห่วง หากฝนไม่ตกลงมาและไม่มีวิธีการรับมือประชาชนก็จะได้รับความเดือดร้อน เพราะขณะนี้ภาคการเกษตรก็ได้รับความเดือดร้อนอยู่แล้ว โดยเราได้ทำฝนเทียมเพื่อแก้ไขปัญหาเบื้องต้น ส่วนกรณีกระแสข่าวที่ พล.อ.ประวิตร จะลงพื้นที่ตรวจภัยแล้งด้วย และจะมาพบปะส.ส.พรรค พปชร.ด้วยนั้น ไม่ทราบว่าประธานวิปรัฐบาลได้เรียนเชิญ พล.อ.ประวิตร ด้วยหรือไม่ ซึ่งเบื้องต้น พล.อ.ประวิตร ก็ถามว่าจะให้มางานอะไร


          ส่วนการแถลงนโยบายรัฐบาลสัปดาห์หน้า ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ไม่กังวลกรณีที่ฝ่ายค้านจ้องอภิปรายตน เพราะเรื่องนี้ได้ชี้แจงต่อสื่อมวลชนไปหมดแล้ว แต่ยอมรับงานหนักคือการอภิปรายเกี่ยวกับนโยบายด้านการเกษตรเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหลายพรรคการเมือง แต่ 4 รัฐมนตรีในกระทรวงเกษตรฯ ยืนยันจะเอาจริงเอาจัง แก้ไขปัญหาให้เกษตรกร และเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาในการทำงานร่วมกันแน่นอน

 

          สิระกอดสนธิรัตน์หลังเคยไล่
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการสัมนนาพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรค พปชร. ได้เข้ามาสวัสดีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค พร้อมสวมกอดกันเพื่อสยบข่าวความไม่ลงรอย ที่ก่อนหน้านี้นายสิระแถลงในนามกลุ่มสามมิตรไล่นายสนธิรัตน์ ออกจากการเป็นเลขาฯ พรรค


          5รมต.แกนนำไม่ลาออกปาร์ตี้ลิสต์
          วันเดียวกันแหล่งข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เผยว่า สำหรับเรื่องของการลาออกจากตำแหน่งส.ส.บัญชีรายชื่อของบุคคลที่ได้เป็นรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐนั้น ล่าสุดมีแนวโน้มว่ารัฐมนตรี 5 คนที่อยู่ในระบบส.ส.บัญชีรายชื่อ ประกอบด้วย นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายสันติ พร้อมพัฒน์ มีแนวโน้มที่จะไม่ลาออกจากการเป็นส.ส.เพราะถือเป็นแกนนำคนสำคัญของพรรค


          ศักดิ์สยามจ่อทุบค่าโดยสารทั้งระบบ
          ด้านนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ออกมาประกาศข่าวดีว่าจะมีการลดค่าโดยสารขนส่งทุกระบบหลังรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว เนื่องจากเป็นนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะการลดค่าโดยสารสาธารณะจะเห็นผลเป็นรูปธรรมภายในปี 2562 แน่นอน โดบวันที่ 30 กรกฎาคม จะมอบนโยบายหน่วยงานกระทรวงคมนาคมโดยจะหารือเพื่อวางแนวทางในการลดค่าโดยสารขนส่งระบบต่างๆ

 

          ส่วนคำถามของสื่อมวลชนว่าค่าโดยสารรถไฟฟ้า 15 บาทตลอดสาย ซึ่งมีพรรคการเมืองหาเสียงไว้ก่อนหน้านี้เป็นไปได้หรือไม่ นายศักดิ์สยาม ระบุว่า เป็นราคาใกล้เคียง ซึ่งจะต้องนำมาคุยกันเพื่อร่วมดำเนินการในนามรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมต่อไป รวมทั้งการทำแกร็บถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นนยบายของพรรคภูมิใจไทยด้วย ก่อนหน้านี้เคยมีนโยบายรถไฟฟรี รถเมล์ฟรี ซึ่งรัฐจะต้องเข้าไปอุดหนุน ดังนั้นการลดค่าโดยสารระบบขนส่งต่างๆ จะมีรูปแบบคล้ายกัน โดยเป้าหมายสำคัญคือต้องลดค่าครองชีพให้ประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด


          “ปชป.”จัดตัวพ่อรับมืออภิปราย
          นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคในฐานะประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาระหว่างวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้ ว่าได้เชิญส.ส.ประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมในการอภิปรายนโยบายในวันอังคารที่ 23 กรกฎาคมนี้ เวลา 13.30 น. ในส่วนของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มีผู้ให้ความสนใจที่จะอภิปรายนโยบายของรัฐบาลจำนวนมาก แต่คงไม่สามารถอภิปรายได้ทุกคนตามต้องการเนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลได้เวลาไม่มากนัก และต้องการกระจายแบ่งเวลาให้ทั่วถึงทุกพรรค อย่างไรก็ตามพรรคจะประชุมพิจารณาบุคคลที่เหมาะสม และเปิดโอกาสให้ส.ส.ได้แสดงบทบาทอย่างเต็มที่

 

          นายองอาจกล่าวต่อว่า สำหรับแนวทางการอภิปรายนโยบายของส.ส.ประชาธิปัตย์มี 3 แนวทางดังนี้ 1.นโยบายที่พรรคร่วมรัฐบาลหาเสียงไว้ช่วงเลือกตั้ง ได้ถูกนำมาบรรจุไว้ในนโยบายครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่อย่างไร 2.นำเสนอข้อมูล มาตรการ การปฏิบัติตามนโยบายให้ได้ผลจริงในทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อการทำงานของรัฐบาล และ 3.ตรวจสอบความเป็นไปได้ของนโยบายทั้งนโยบายเร่งด่วนและนโยบายหลัก


           “กัญจนา”เกาะติดแถลงนโยบาย
          วันเดียวกัน น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาในวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้ ว่าได้เรียกประชุมส.ส.และรัฐมนตรีของพรรคชาติไทยพัฒนาที่มีกันอยู่ 10 คน ในวันอังคารที่ 21 กรกฎาคม เวลา 14.00 น. เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการประชุมสภา ซึ่งครั้งนี้คงขอกำชับเป็นพิเศษให้นั่งอยู่ฟังการประชุมแถลงนโยบายรัฐบาลโดยตลอดไม่แวบไปไหน และขอให้ฟังอย่างวิเคราะห์ถี่ถ้วนและลุกขึ้นอภิปรายนโยบายทั้งในส่วนที่เป็นของพรรคชาติไทยพัฒนาเองและของพรรคร่วมรัฐบาลในภาพรวม โดยเน้นให้เป็นรูปแบบของการเสนอแนะ ปฏิบัติและติดตามผลให้เกิดการปฏิบัติอย่างแท้จริงด้วย นอกจากนั้นยังต้องสามารถตรวจสอบได้


          สำหรับนโยบายในช่วงนี้ที่ต้องปฏิบัติเร่งด่วนคือแก้ปัญหาภัยแล้ง เชื่อว่าคงมีการอภิปรายว่ารัฐบาลจะดำเนินการดูแลปัญหาความเดือดร้อนภัยแล้งของประชาชนในช่วงนี้อย่างไร ซึ่งนายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะรมช.เกษตรและสหกรณ์ จะได้บอกกล่าวว่าได้ดำเนินการสิ่งใดไปแล้วบ้างและมีแนวทางจะดำเนินการอะไรต่อไปเพื่อประชาชน เพราะปัญหาภัยแล้งคงต้องมีทั้งระยะเร่งด่วน และระยะยาว เพราะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกปี แต่อย่างไรก็ตามบางครั้งเกิดเพราะภาวะจากธรรมชาติเป็นปัจจัยประกอบด้วยจึงทำให้เป็นปัญหาหนักกว่าปีอื่นๆ ดังนั้นรัฐบาลก็ต้องปรับมาตรการแก้ไขให้เข้มข้น ขึ้นตามภาวการณ์ที่เกิดขึ้นจริง นอกจากนี้ยังมีเรื่องนโยบายเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจ ขยะสารพิษ สิ่งแวดล้อม ซึ่งพรรคชาติไทยพัฒนาจะได้ร่วมอภิปรายเสนอแนะด้วย

 

          เชื่อ‘ชวน’คุมได้เเม้ซักฟอกเดือด
          ด้านนายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ เลขานุการประธานรัฐสภา กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในวันเเถลงนโยบายของรัฐบาล ว่าการแถลงนโยบายของรัฐบาลถือเป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญ และเป็นกระบวนการสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลแถลงไว้ถือเป็นสัญญาต่อประชาชน จึงไม่แปลกใจที่มีข่าวว่าทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างเตรียมตัวทำการบ้านกันอย่างหนัก โดยมองว่าบรรยากาศการแถลงนโยบายจะเข้มข้นแน่นอน แต่ไม่ว่าจะดุเดือดแค่ไหนถ้าอยู่ในกรอบกฎหมายกำหนดและยึดผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของกลไกรัฐสภา แต่ไม่ควรใช้เวทีดังกล่าวมาเป็นเครื่องมือทำลายล้างทางการเมือง เพราะประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินการทำหน้าที่ของผู้แทนที่ตนเลือก

 

          “ผมไม่กังวลจะเกิดเหตุสภาป่วน เนื่องจากนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา มีความเป็นกลาง ใส่ใจ ให้เกียรติทุกคนทุกฝ่าย และควบคุมการประชุมโดยยึดมั่นในกฎระเบียบข้อบังคับอย่างเสมอภาคซึ่งเรื่องนี้เป็นที่ประจักษ์ถึงการทำหน้าที่ของนายชวน หากสมาชิกทุกคนปฏิบัติตนโดยการยึดระเบียบข้อบังคับการประชุม ไม่อภิปรายนอกประเด็น ให้ความเคารพในการบริหารเวลาของประธานแล้ว ก็ไม่น่ากังวลเหตุป่วนใดๆ”นายอิสระกล่าว


 

          ร่างคำแถลงนโยบายรัฐบาลถึงสภา
          วันเดียวกัน นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา พร้อมด้วย นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ เลขานุการประธานรัฐสภา เดินทางมายังสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อตรวจสอบเอกสารร่างคำแถลงนโยบายของรัฐบาล ที่จะใช้แถลงต่อรัฐสภา ในวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้ ซึ่งเอกสารเพิ่งเดินทางมาถึงสภาผู้แทนราษฎร ในวันนี้เวลา 12.35 น. โดยนายชวนมีข้อสั่งการไปยังเจ้าหน้าที่รัฐสภาเพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดส่งไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงได้ดำเนินการบรรจุหีบห่อและจัดส่งให้สมาชิกรัฐสภาโดยทันที ภายในเวลา 14.00 น.ของวันเดียวกัน ซึ่งนายชวนได้ให้ความสำคัญอย่างมาก โดยกำกับดูแลในการดำเนินการบรรจุหีบห่อและส่งเอกสารดังกล่าวด้วยตนเอง อีกทั้งมีการแสดงข้อมูลไว้บนเว็บไซต์ของสภาเพื่อให้สมาชิกสามารถดาวน์โหลดได้


          เปิดแถลงนโยบายรัฐบาล66หน้า
          จากนั้นสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้ส่งคำแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาฉบับเสร็จสมบูรณ์ให้แก่รัฐมนตรีและ ส.ส. โดยมีเนื้อหาทั้งหมด 66 หน้า แบ่งเป็นนโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน โดยนโยบายหลักประกอบด้วย 1.การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.การสร้างความมั่นคงและปลอดภัยของประเทศและความสงบสุขของประเทศ 3.ทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม 4.การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก 5.การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย 6.การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค 7.การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากฐากราก 8.การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของไทยทุกช่วงวัย 9.การพัฒนาระบบสาธารณสุข และหลักประกันทางสังคม 10.การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติมโตอย่างยั่งยืน 11.การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ และ 12.การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และกระบวนการยุติธรรม


          วางแก้รัฐธรรมนูญเรื่องเร่งด่วน
          ส่วนนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน ประกอบด้วย 1.แก้ไขปัญหาการดำรงชีวิตของประชาชน 2.ปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน 3.มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับการผันผวนของเศรษฐกิจโลก 4.การให้ความช่วยเหลือเกษตรกร และพัฒนานวัตกรรม 5.การยกระดับศักยภาพของแรงงาน 6.การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต 7.การเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 8.การแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการประจำ 9.การแก้ไขปัญหายาเสพติดและความสงบสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 10.พัฒนาระบบการให้บริการประชาชน 11.การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย และ 12.การสนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะในส่วนที่ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ


          ทั้งนี้ร่างนโยบายรัฐบาลฉบับสมบูรณ์ได้มีการสลับในส่วนของนโยบายเร่งด่วนจากเดิม ข้อ 11 คือ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรนูญไปไว้ในข้อ 12 และนำเรื่องภัยแล้ง ซึ่งขณะนี้หลายพื้นที่ในประเทศกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก มาไว้ข้อ 11 แทน โดยเนื้อหาระบุว่าตั้งแต่การป้องกันก่อนเกิดภัย การให้ความช่วยเหลือระหว่างเกิดภัย และการแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยจัดระบบติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องและกำหนดมาตราที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้มากที่สุดและทันท่วงที รวมทั้งพัฒนาการปฏิบัติการฝนหลวงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันในตอนท้ายคำแถลงนโยบายเร่งด่วนของนายกรัฐมนตรี ระบุตอนหนึ่งว่า รัฐบาจะมุ่งมั่นดำเนินงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว มีความถูกต้อง สอดคล้องกับกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ในส่วนประเด็นนโยบายเร่งด่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนา รัฐบาลจะพิจารณากำหนดมาตรการที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดการทำงาน หรือลงทุนร่วมกันระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ


          7พรรคฝ่ายค้านปลุกรื้อรธน.
          ที่โรงแรมแลงคาสเตอร์ กรุงเทพฯ มีการจัดเสวนา “ทางออกในการแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติ” โดย 7 พรรคฝ่ายค้านเพื่อประชาชน ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) พรรคเพื่อชาติ (พช.) พรรคประชาชาติ (ปช.) พรรคเศรษฐกิจใหม่ (ศก.) พรรคเสรีรวมไทย และพรรคพลังปวงชนไทย โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เมื่อมีการเลือกตั้งรัฐบาลปัจจุบันมีทั้งหมด 19 พรรค กว่าจะคุยแล้วตกลงให้ทุกอย่างเป็นไปในแนวเดียวกันก็ใช้เวลามาก มีความพยายามรวมรวมเสียงเพื่อขอตำแหน่ง พรรคที่มี 2-3 คนก็ต่อรองขอให้ตัวเองได้เป็นรับมนตรี ใช้เวลา 4 เดือนกว่าจะตั้งรัฐบาลได้ ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้มีพรรคการเมืองมาก ฝ่ายค้านของเรามี 246 เสียงที่ยึดมั่นอุดมการณ์ร่วมกันมาตลอด แม้จะไม่รู้วิธีคิดคำนวณส.ส.ก่อนประกาศผลเลย เหมือนเป็นความพยายามปิดบังสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ให้ประชาชนรู้ ขณะนี้เราอยู่ในภาวะจำยอมที่ให้เขากระทำมาตลอด ทั้ง 7 พรรคมีความตั้งใจที่จะทำประโยชน์ให้พี่น้องประชาชน แต่รัฐธรรมนูญเป็นปัญหา และเป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวงที่ทำให้ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมีปัญหา


          นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า หากเจอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ จะบอกว่าให้ท่านทราบว่าสิ่งที่ทำให้ท่านมาอยู่ตรงนี้ไม่ถูกครรลองคลองธรรมและไม่ถูกกฎหมาย ในสภาอาจไม่มีการพูดเรื่องพวกนี้ แต่สิ่งที่ท่านทำการตั้งรัฐมนตรีท่านก็รู้อยู่แล้วว่าเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ท่านต้องรับผิดชอบ


          ฝ่ายค้าถกแบ่งงานอภิปราย 23 ก.ค.
          นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการแบ่งเวลาของฝ่ายค้านในการอภิปรายในการแถลงนโยบายของรัฐบาล ว่าฝ่ายค้านเราได้เวลามาทั้งหมด 13 ชั่วโมงครึ่ง เราก็มีสูตรแบ่งกันอยู่ว่าให้เอาจำนวน ส.ส.ของแต่ละพรรคเทียบกับสัดส่วนเวลาที่ได้มา คร่าวๆ พท.จะอยู่ที่ประมาณ 7 ชั่วโมง อนาคตใหม่ (อนค.) 5-6 ชั่วโมง ซึ่งเราจะประชุมกันอีกครั้งหนึ่งในวันอังคารที่ 23 กรกฎาคมนี้ เพื่อแบ่งเวลา


          เมื่อถามถึงกรณีฝ่ายรัฐบาลออกมาติงว่าไม่ควรอภิปรายเรื่องคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีเพราะอยู่ในกระบวนการของศาล ตรงนี้จะมีการปรับแผนอย่างไรบ้าง นายสุทิน กล่าวว่า ยังเป็นความเข้าใจที่ไม่ตรงกันอยู่ ทั้งนี้มีการพูดคุยกับฝ่ายกฎหมายหลายท่านก็บอกว่าสามารถอภิปรายได้เพียงแต่อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ หรือชี้นำศาลพูดไปในบทบาทหน้าที่ของสภาไป ซึ่งเราก็ต้องระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องมาเตรียมการอภิปรายกันใหม่ เพราะยิ่งใกล้วันเข้ามาก็จะพบว่ามีข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เราก็ไม่กังวล


          “ธนาธร”อัดรัฐบาลไทยไม่เคยคิดถึงปชช.
          ที่โรงแรมแลงคาสเตอร์ กรุงเทพฯ มีการจัดเสวนา “ทางออกในการแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติ” โดย 7 พรรคฝ่ายค้านเพื่อประชาชน ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) พรรคเพื่อชาติ (พช.) พรรคประชาชาติ (ปช.) พรรคเศรษฐกิจใหม่ (ศก.) พรรคเสรีรวมไทย และพรรคพลังปวงชนไทย โดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวตอนหนึ่งว่า วิกฤติที่หนักมากและน่าเศร้าที่สุดคือเรากำลังส่งสังคมที่แย่กว่านี้ให้ลูกหลานเราถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างลูกหลานเราจะได้รับมรดกของสังคมที่แย่กว่าปัจจุบัน ความเหลื่อมล้ำสูงมากขึ้นตลอด 5 ปีที่ผ่านมา จีดีพีโต 15 เปอร์เซ็นต์ แต่รายได้ภาคแรงงานลดลง 5 เปอร์เซ็นต์ รายได้ภาคการเกษตรติดลบ 3 เปอร์เซ็นต์ หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้น 28 เปอร์เซ็นต์ แต่ 50 อันดับคนที่รวยที่สุดมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 64 เปอร์เซ็นต์ ทุนผูกขาดกับความเหลื่อมล้ำคือเหรียญเดียวกันที่อยู่คนละด้าน ถามว่าการใช้มาตรา 44 ขยายเวลาลดดอกเบี้ย ขยายเวลาชำระเงินธุรกิจโทรคมนาคมแล้วจะลดความเหลื่อมล้ำได้หรือไม่


          นายธนาธร กล่าวอีกว่า คิดกลับกันชาวนาไม่มีเงินจ่ายหนี้ธ.ก.ส. เขาจะมีโอกาสรีไฟแนนซ์แบบนี้หรือไม่ ไม่มีดอกเบี้ยจะยิ่งลงโทษชาวนาการปฏิบัติต่อกลุ่มุทนกับชาวบ้านไม่เคยเหมือนกัน ที่เป็นแบบนี้เพราะรัฐบาลไทยไม่เคยคิดถึงประชาชนเพราะประชาธิปไตยไม่เคยลงหลักปักฐานได้ในชาติ เมื่อไม่มีประชาธิปไตยก็ไม่มีประชาชน ปัญหานี้ทำให้เมืองกับชนบทมันเหลื่อมล้ำกันมหาศาล พรรคที่อยู่กับประยุทธ์จะพูดตลอดว่าไม่ต้องสนใจประชาธิปไตยต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจ นี่คือเรื่องโกหกเพราะระบอบการเมืองที่ดีนั้นถึงจะสร้างความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจได้

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ