Lifestyle

เพื่อนก็คือเพื่อน“สุรนันทน์ เวชชาชีวะ”คนที่โชคดีกว่า“บุญทรง"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ทำไม "สุรนันทน์" ออกมาเขียนถึงเพื่อนชือ “บุญทรง” อย่างมีนัยสำคัญ เหมือนรู้แล้วว่า เส้นทางสุดท้ายของเรื่องจำนำข้าวนี้ เพื่อนจะลงเอยแบบไหน?

               อย่างที่รู้กันว่า หลังจบวันตัดสินคดีจำนำข้าวทั้งหมด ทุกคนเทความสนใจไปที่การไม่มาตามนัดของ อดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และข่าวการหนีออกนอกประเทศ

               หลังจากนั้น ในส่วนการตัดสินคดีของ บุญทรง เตริยาภิรมย์ และพวก ที่สรุปว่าโดนกันไปคนละหลายสิบปี โดยเฉพาะบุญทรงที่โดนไปถึง 42 ปี จากนั้นทุกคนก็มิได้มีใครให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อีก

               นอกจาก “สุรนันทน์ เวชชาชีวะ” ที่ออกมาเขียนถึงเพื่อน ที่ชื่อ “บุญทรง” หรือ "ฮุก" คนนี้ อย่างมีนัยสำคัญในท่วงทำนองเหมือนรู้แล้วว่า เส้นทางสุดท้ายของเรื่องจำนำข้าวนี้ เพื่อนจะหนีไม่พ้นอะไรเช่นนี้ !

               “เป็นห่วงเพื่อนตั้งแต่ไปเป็นเลขาฯ สามีเจ๊แดง ตอนเป็น รมว.พาณิชย์ แอบพลิกแฟ้มเพื่อนดูพบแต่ละเรื่องน่ากลัว และสังเกตเห็นแววตาเพื่อนกังวล-ไม่สบายใจ เคยเตือนมีอะไรรีบจัดการ เราเป็นเพียง “เสมียน” ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางทั้งหมด หลังรัฐประหารล่าสุด เคยนั่งจิบไวน์คุยกัน ถามเรื่องราวเป็นยังไง แต่เพื่อนตอบว่า “กูพูดไม่ได้”

               และยังเล่าความหลังว่า ตนและบุญทรงเป็นเพื่อนกัน เข้ามาร่วมทำงานพรรคไทยรักไทย (ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค) ด้วยกันตั้งแต่ปี 2542-2543 แต่ได้แยกย้ายกันไปหลังเกิดรัฐประหารปี 2549

               ถามว่า สุรนันทน์ ออกมาเขียนเช่นนี้ในเฟซบุ๊ก Suranand Vejjajiva จะมีผลอะไรต่อตัวเขาหรือไม่ คงไม่ต้องสงสัย เพราะสถานการณ์แบบนี้ ต่างฝ่ายต่างกำลังซุ่มเงียบเก็บอาการ

               แต่ถ้าอ่านเนื้อความทั้งหมดแล้ว ต้องบอกว่า “ไม่ธรรมดา” เช่นเดียวกับความเป็นสุรนันทน์ ที่ต้องบอกว่า ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน

               อย่างที่รู้กันว่า สุรนันทน์ หรือ “ปุ้ม” นั้น อยู่พรรคไทยรักไทยมาตั้งแต่เริ่มต้น ปี 2544 หรือตั้งแต่ยุคพี่ชายหญิงปู หรือในรัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร

               โดยเคยเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, เป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคไทยรักไทย และเป็นหนึ่งในกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี หรือเป็นหนึ่งในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 นั่นเอง

               อย่างไรก็ดี หลังทักษิณ ส่งน้องสาวมาทำงานต่อ ปุ้มก็ “คัมแบ๊ก” มาตั้งแต่ช่วงมีนาคม 2555 เข้ารับตำแหน่งโฆษกประจำตัวนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร และต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน

               ถ้าจำได้ สถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มคุกรุ่นมากขึ้น จึงเป็นที่มาของการเข้ามารับหน้าที่คนที่จะจ้อแทนยิ่งลักษณ์ได้อย่างลื่นไหลมากกว่าเจ้าตัว มีลีลาวาทะในการสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ เพราะตอนที่ว่างเว้นจากงานการเมือง ปุ้มยังเคยไปเป็นพิธีกรทางโทรทัศน์ เช่น รายการ The Commentator รายการ Brain Wake ทางสถานีโทรทัศน์ Voice TV, รายการ “คุยกันวันเสาร์” (TNN 24) ฯลฯ

               นอกจากนี้ ถ้าถามเรื่องความชำนาญทางการเมือง มองเกมได้อย่างเข้าใจ ทั้งหมดนี้จึงเป็นคุณสมบัติของ ปุ้ม สุรนันทน์ อย่างไม่มีใครเถียง

               เวลานั้น “ปุ้ม” ยังออกมาระบุอย่างหล่อ ว่างานนี้ไม่มีเงินเดือน แต่ส่วนตัวยินดีที่จะเข้ามาช่วยทำงาน เพราะถือว่ามาทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศ

               ผลประโยชน์หนึ่งของบ้านเมือง เช่นช่วงปี 2556 ปุ้ม สุรนันทน์ ขณะเป็นเลขาธิการนายกฯ ต้องคอยออกมาแจงเรื่อง ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า หลังจากที่มีกระแสคัดค้านต่อต้าน ทั้งจากฝ่ายค้าน และกลุ่มมวลชน

               ตามมาด้วยกระแสการคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เขายังให้สัมภาษณ์วิเคราะห์เกมการเมืองว่า “ช่วงรอยต่อนี้ หากฝั่งตรงข้ามจะล้มรัฐบาล ในช่วงปีนี้เป็นไทมิ่งที่เหมาะสมที่สุด”

               แต่แล้วเมื่อการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 จบลง โดยตอนนั้น “ปุ้ม” ได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย แต่ด้วยเหตุที่มีการขัดขวางจากกลุ่มมวลชน ส่งผลให้ไม่สามารถแล้วเสร็จทั่วประเทศภายในวันดังกล่าวได้ การเลือกตั้งนี้จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

               ผ่านไม่นาน รัฐประหารก็เกิดขึ้น สุรนันทน์ หายเงียบไปจนปี 2558 มามีข่าวว่า ไปเปิดร้านอาหารชื่อเดียวกับรายการที่เขาเคยทำ คือ เบรนด์เวคคาเฟ่ (Brainwake Cafe) เป็นร้านกาแฟและร้านอาหาร ตั้งอยู่ภายในซอยสุขุมวิท 33

               เขาบอกว่าที่มาของชื่อร้านคือ อยากให้ร้านแห่งนี้ เป็นตัวแทนของการมอบสิ่งดีๆ ให้แก่ลูกค้า สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ของร้านที่ว่า สมองตื่นเพราะได้ดื่มกาแฟดีๆ กินอาหารดีๆ กับที่ดีๆ

               ดูเส้นทางแล้ว คนชื่อปุ้มคนนี้ “อยู่เป็น” ในทุกช่วงเวลาทั้ง “วิกฤติ” และ “โอกาส”

               จนถึงในห้วงปัจจุบัน หากใครเข้าไปดูในเฟซบุ๊กของเขา ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวของอาหาร มากกว่าเรื่องการเมืองที่นานๆ จะเห็นสักครั้ง

               กระทั่งมาเจอเรื่องคำตัดสินคดีจำนำข้าวของเพื่อนเก่าชื่อบุญทรง เลยทำให้เขาต้องแตะแป้นพิมพ์เปิดหัวในหมวด "การเมือง” ที่ไม่แรงจนน่าเป็นห่วง และไม่แอ๊บแบ๊วจนน่ารำคาญ

               “ทางการเมือง บางเรื่อง “ต้องตายไปกับเรา” พูดไม่ได้ ผมเข้าใจดี และผม “เห็นใจ” เพื่อน ที่ต้องเข้าไปติดกับ “เงื่อนไข” นั้น ผมอาจจะ “โชคดี” กว่า ที่ยังรักษาความเป็นตัวของตัวเองได้ และ “เพื่อน” ไม่ “โชคดี” เท่า”

               ถึงตรงนี้ก็ต้องบอกว่า เห็นด้วยว่าโชคดีจริงๆ ที่ปุ้มเป็น “ปุ้ม” อย่างที่เป็นมา

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ