Lifestyle

2ทศวรรษ “ต้มยำกุ้ง” “บิ๊กจิ๋ว” ไม่มีวันลืม?

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"วิกฤติต้มยำกุ้ง” ถึงวันนี้ก็ครบ 20 ปีเต็ม บางคนอาจลืมในรายละเอียด แต่กับอีกหลายคนจะไม่มีวันลืม โดยเฉพาะ "พ่อใหญ่จิ๋ว" คนนี้นั่นเอง ว่าแต่ทำไมล่ะ?

          วิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2540 ของประเทศไทย ที่เรียกกันว่า “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ถึงวันนี้ก็ครบ 20 ปีเต็ม ด้านหนึ่งนับว่านานพอที่บางคนอาจลืมในรายละเอียด หรือบางรุ่น รู้จักแต่ชื่อหากไม่รู้ความหมาย แต่กับอีกหลายคนจะไม่มีวันลืม

          โดยเฉพาะหนึ่งในนั้น คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กับฐานะ “นายกรัฐมนตรี” ในเวลานั้น ผู้ที่เป็นคนจรดปากกาเซ็นลอยตัวค่าเงินบาท! ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 จนสร้างความเสียหายกลายเป็นวิกฤติการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ.2540

          ผลคือไทยต้องสูญเสียเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปมากกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จนเหลือเพียงแค่ 2,850 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และต้องแบกหน้าไปขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จำนวน 1.72 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

          หากย้อนไปก่อนหน้านั้น ราวปี 2536 ที่รัฐบาลไทยประกาศนโยบาย BIBF (Bangkok International Banking Facilities) มีเป้าหมายเพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาค

          สิ่งที่เกิดขึ้น พูดง่ายๆ คือ จากที่เคยควบคุมเงินที่ไหลเข้าออกประเทศอย่างเข้มงวด กลายเป็นเสรีที่ใครจะย้ายจะโอนเงินเข้าหรือออกจากประเทศไทยได้เต็มที่ ซึ่ง ณ ขณะนั้น ดอกเบี้ยเงินกู้ในสถาบันการเงิน หรือธนาคารพาณิชย์ในไทย อยู่ในอัตราที่สูง ประมาณ 14-17% ต่อปี แต่อีกฟากหนึ่ง ดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินของต่างชาติ เวลานั้นถูกมากแค่ 5%

          ผลคือคนไทยแห่กันไปกู้เงินจากสถาบันการเงินในต่างประเทศแทน โดยเฉพาะกลุ่มนายทุนเงินหนา เล็งผลไกล ที่กู้เงินมาก็เพื่อนำมาปล่อยกู้ต่ออีกทอดในประเทศไทย ด้วยดอกเบี้ยสูงกว่าราว 8-10% ซึ่งแค่นี้กำไรก็ล้นหน้าตักแล้ว

          ขณะที่ยังมีส่วนอื่นที่กู้มาเพื่อเก็งกำไรในตลาดหุ้น หรือลงทุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ พูดง่ายๆ ว่าช่วงนั้น คนมีเงินยิ่งรวยเอาๆ หาเงินได้มาง่ายดายเป็นอันมาก รวยกันไม่รู้เรื่อง! เหมือนฟองสบู่! ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างดำเนินอยู่ภายใต้การคงตัวค่าเงินบาทไว้ที่ 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ

          แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า สิ่งนี้ได้ทำให้พ่อมดการเงิน จอร์จ โซรอส ซึ่งกำลังเปิดเรดาร์หาทางรวย มาเจอะกับประเทศไทยพอดิบพอดี! พบว่าคนไทยกำลังกู้เงินต่างชาติมาชนิดกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์ และด้วยความเก๋าเกมที่รู้ว่า ในเมื่อการปล่อยกู้ครั้งนั้น เป็นการให้กู้ระยะสั้นแค่ 5 ปี หลังจากนั้น ลูกหนี้ไทยจะต้องใช้คืนทั้งต้นและดอก

         ถึงตอนนี้เอง คนไทยก็จะต้องวิ่งหาที่แลกเงินดอลลาร์มาใช้หนี้กันให้ฝุ่นตลบ เนื่องจากกู้มาเป็นดอลลาร์ก็ต้องใช้คืนเป็นดอลลาร์

          กองทุนของเขา ซึ่งหมายถึง กองทุนส่วนบุคคล หรือ “เฮดจ์ฟันด์” (Hedge Fund) จึงเลือกเข้ามาเก็งกำไรที่ประเทศไทย ให้แมลงเม่าคนไทยแห่มาแลกเงินกับเขานั่นเอง

          นั่นจึงเกิดเป็น “การโจมตีค่าเงินบาทของไทย” ในที่สุด โดยพ่อมดการเงินคนนี้ก็กำหนดราคาขายดอลลาร์ให้ไทยในราคา 1 ดอลลาร์เท่ากับ 50 บาท!!! ในขณะที่คนไทยเคยไปกู้เขามาตอน 1 ดอลาร์เท่ากับ 25 บาท

          ยิ่งเมื่อบวกกับตัวเลขการส่งออกของไทยที่ทยอยหยุดโต และการขาดดุลการค้ามหาศาล ยิ่งชัดเลยว่า โลงศพมาตั้งตรงหน้าประเทศไทยแล้ว!

          ผลคือไทยต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในที่สุด!! และกว่าคนไทยจะรู้ตัวว่า การเปิดเสรีทางการเงินที่เกิดจากความไม่พร้อม ก็ได้นำมาซึ่งวิกฤติการณ์การเงิน ระเบิดตูมเอาตอนยุคของนายกรัฐมนตรีไทยที่ชื่อว่า ชวลิต ยงใจยุทธ พอดี

          แน่นอนสิ่งนี้ส่งผลกระทบทางการเมือง จนต้องลาออกจากนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2540 แถมยังส่งผลให้ ชวน หลีกภัย กลับขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 2 ในวันถัดไป พร้อมหนีบเอา ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ คนที่เป็นเจ้ากระทรวงคลัง เซ็นเปิด BIBF กลับมานั่งเก้าอี้เดิมเป็นแม่ทัพแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่อ

          อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ขอไฮไลท์ ที่ “บิ๊กจิ๋ว” ค่าที่เพิ่งเปิดตัวขอคัมแบ็กเป็นทางเลือกที่สาม ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคอธิปไตยปวงชนชาวไทย (อปท.) ไม่นานมานี้ โดยเขาเพิ่งกล่าวว่า “ขอให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”

          โดยหากย้อนกลับไปอย่างที่เล่ามาข้างต้น พูดอย่างสุภาพว่า เป็น “คราวโชคไม่ดี” ที่บิ๊กจิ๋วขึ้นนั่งนายกฯ ในช่วงเวลานั้น หลังจากหันหลังให้แก่อาชีพทหาร อันรุ่งโรจน์ เป็นถึง “ขงเบ้งแห่งกองทัพบก" เพื่อมาชิมงานการเมือง

          จริงอยู่ที่ด้านหนึ่ง บิ๊กจิ๋วเองก็นับว่ารุ่งสุดๆ เพราะเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น สมาชิกวุฒิสภา ตั้งแต่ขณะดำรงตำแหน่งทางทหาร และยังเป็นผู้ก่อตั้งและหัวหน้าพรรคความหวังใหม่คนแรก และเป็นอดีต ส.ส.หลายสมัย มีคะแนนเสียงหนาแน่นใน จ.นครพนม

          ขณะที่สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป เรียกกันว่า “บิ๊กจิ๋ว” และในพื้นที่ภาคอีสานเรียกว่า “พ่อใหญ่จิ๋ว” นอกจากนี้ยังมีอีกฉายาหนึ่งว่า “จิ๋ว หวานเจี๊ยบ” จากที่มีบุคลิกพูดจาอ่อนนิ่ม นุ่มนวล

          พอมาปลายปี 2539 พล.อ.ชวลิต เกิดนำพาพรรคความหวังใหม่ชนะเลือกตั้ง และขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้สมใจ โดยมีพรรคชาติไทย กับพรรคประชาธิปัตย์ รวมตัวกันในซีกฝ่ายค้าน

          วันนั้นบิ๊กจิ๋วบอกว่าจะมาแก้วิกฤติ กับคำขวัญ “ถึงเวลาอยู่ดีกินดี” โดยมี อำนวย วีรวรรณ เป็นหัวหน้าดรีมทีมเศรษฐกิจ และ ดร.ทนง พิทยะ

          แต่...ดรีมทีมทีมนี้ต้องมาเจอ "ฝันร้าย" พร้อมกับคนไทยทั้งประเทศ เมื่อ ดร.ทนง พิทนะ รัฐมนตรีคลังขณะนั้น ยื่นเอกสารลอยตัวค่าเงินบาทให้บิ๊กจิ๋วเซ็นแกร๊ก! ดังที่เล่าไว้ยืดยาวข้างต้นนั่นเอง

          อย่างไรก็ดี ชีวิตเหมือนละคร ที่สุดบิ๊กจิ๋วกลับมาสังกัดพรรคไทยรักไทย ในปี 2544 และมานั่งรองนายกฯ ให้แก่นายกรัฐมนตรีคนที่เคยนั่งรองนายกฯ ให้เขามาแล้วก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง ชื่อของเขาคือ ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง

          ที่เหลือหลังจากนั้น คนไทยรู้ดีว่าอะไรเกิดขึ้นมาจนถึงวันนี้

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ