ชาวสวนลุ้นระทึก...ช่วงวิกฤตโควิด ล้งลำไย จันทบุรี จะอยู่หรือไป ถ้าแรงงานเขมรเกือบ 4 หมื่นคน ไม่ผ่านการพิจารณา
ช่วงเชื้อไวรัสโควิด-19 กำลังแพร่ระบาด รัฐบาลมีการจัดการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อได้เป็นอย่างดี อันดับต้นๆของโลก ซึ่งมาตรการที่เข้มข้นคือการคัดกรอง บุคคลเข้าประเทศ แต่ผลกระทบของผู้ประกอบการหลายภาคส่วนที่มีความต้องการใช้แรงงานต่างด้าว ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม ก่อสร้าง หรือการเกษตร ถ้ารัฐไม่มีมาตรการที่ชัดเจน การอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานได้ ส่งผลกระทบหนักถึงภาคการเกษตรแน่ อย่างเช่น ที่จ.จันทบุรีมีผู้ปลูกลำไยเป็นจำนวนมาก ทุกปี จะมีแรงงานเขมรกว่า หมื่นคน ที่มารับจ้างเก็บผลลำไย แต่ช่วงนี้ ผลลำไยออกแล้ว แต่ไม่มีแรงงาน คาดว่าปีนี้น่าจะส่งขายต่างประเทศได้ประมาณ 15,000 ล้านบาท
ดร.รัฐวิทย์ ตั้งเกียรติพชร หรือ อิสิวุฒิ นายกสมาคมการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนไทย-กัมพูชา จันทบุรีได้เสนอประเด็นการแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานต่างด้าว ชาวกัมพูชา อันเนื่องจากสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัส โควิด19 ส่งผลการขาดแคลนแรงงานภาคการเกษตร และส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยภาพรวมของจังหวัดจันทบุรี โดยเฉพาะช่วงเดือน สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป ให้กับ นาย อลงกรณ์ แอคะรัจน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี รักษาราชการแทนผู้ว่าฯ
ดร.รัฐวิทย์ ให้เหตุผลว่า อำเภอโป่งน้ำร้อน และอำเภอสอยดาว เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตของลำไย จำเป็นต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางสมาคมฯ ได้นำปัญหานี้เสนอให้ผู้บริหารระดับสูงรับทราบมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องหาแนวทางร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน ฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี เพื่อหาแนวทางที่จะนำแรงงานเข้ามา ภายใต้มาตรการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข
นาย อลงกรณ์ แอคะรัจน์ รองผวจ.จันทบุรี รักษาราชการแทน ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เป็นประธานการประชุมเพื่อแก้ปัญหาการนำแรงงานชาวกัมพูชาเข้ามาเพื่อแก้ปัญหา สรุปได้ว่าความต้องการแรงงานชาวกัมพูชามี 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ทำงานประจำในล้ง 4,000 คน กลุ่มแรงงานเก็บลำไย 20,000 คน กลุ่มที่ทำงานในสวน 10,000 คน รวม 34,000 คน นี่คือตัวเลขที่เสนอความต้องการในช่วงผ่าวิกฤติโควิด-19 และต้องผ่านมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด
การนำแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรไทย ไม่ใช่เรื่องยากหรือง่าย จะต้องผ่านการกลั่นกรองของกระทรวงสาธารณสุข ในการใช้มาตรการต่าง ๆ ที่ถูกกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ทางจังหวัดจันทบุรี จะต้อง จัดทำ โมเดลการตรวจหาโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 19 สาธารณสุข กำหนดมาตรการป้องกัน ตรวจสอบ คัดกรอง ตรวจหาเชื้อโควิด และความพร้อมสถานที่กักตัว 14 วัน
ต้องวัดใจ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ถ้าปล่อยให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ไม่ผ่านกระบวนการคัดกรอง ก็อาจเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด รอบ 2 หรือถ้าให้เข้ามาตามช่องทางที่ถูกกฎหมาย จะไว้ใจได้หรือไม่ว่า เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบครอบ ไม่ปล่อยปละละเลย สุดท้ายถ้าเกิดการแพร่ระบาด จะแก้ไขกันอย่างไร หน่วยงานไหนจะรับผิดชอบ
แล้ว ศบค. โดยส่วนงาน ด้านการสาธารณสุข จะตัดสินใจอย่างไรกับปัญหาการป้องปราม และป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ในครั้งนี้ ถ้าทุกฝ่ายมีความเห็นเดียวกัน ในการเยียวยา แก้ไข แรงงานขาดแคลน ให้ล้งสวนลำไย จ.จันทบุรี ตามข้อเสนอให้อยู่ใน ความเหมาะสมและปลอดภัยอย่างที่สุด โดยจังหวัดจันทบุรีจะทำหนังสือขอเปิดจุดที่ “ด่านถาวรบ้านแหลม” ไปที่ส่วนกลางพิจารณา
ปัญหาที่อาจหาข้อยุติไม่ได้ ต่อเมื่อ ผู้ประกอบการ ล้งลำไย ต้องรับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่าย ในการตรวจเชื้อไวรัสโควิด คนละ 13,000 -19,000 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก หรืออาจจะต้องผลักภาระไปยังแรงงาน ถ้าใครจะเข้ามาทำงานก็ต้องเสียค่าตรวจเชื้อเอง โดยเจ้าของล้งลำไย เป็นผู้ออกทุนให้ก่อน แล้ว หักเงินรายได้ ช่วงระยะเวลาอันสั้นในการเก็บลำไย คงไม่คุ้มทุนด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ต้องจับตามองกันต่อไปว่า ปัญหานี้จะจบด้วยวิธีใด ภาครัฐ และหน่วยงานความมั่นคง ต้องเข้มงวดกวดขันให้ในเรื่องความเคลื่อนไหวการนำเข้าแรงงาน และแรงงานต่างด้าวหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยผ่านช่องทางพิเศษตามแนวชายแดน ความเสี่ยงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด รอบ 2 คงเกิดขึ้นแน่นอน ลุ้นกันต่อไปว่าผลจะออกมาประการใด ถึงอย่างไรก็ขอเป็นกำลังใจให้ ชาวจังหวัดจันทบุรี ให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปให้ได้ ด้วยฝีมือของ ดร.รัฐวิทย์ ตั้งเกียรติพชร หรือ อิสิวุฒิ และรองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี
"มังกร บูรพา" ทีมเฉพาะกิจ คมชัดลึก ภาคตะวันออก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง