ชาวบ้านลุย ร้องศูนย์ดำรงธรรม จี้ผู้ว่าเอาผิดอดีตผู้ใหญ่บ้านฉ้อฉลร่วมกับเจ้าหน้าที่นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน นำที่ดินสาธารณะของหมู่บ้าน เพื่อสร้างวัดไปออกโฉนดที่ดินให้กับเครือญาติ
ชาวบ้านลุยแจ้งความ-ร้องศูนย์ดำรงธรรม จี้ผู้ว่าเอาผิดอดีตผู้ใหญ่บ้านฉ้อฉลร่วมกับเจ้าหน้าที่นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน นำที่ดินสาธารณะของหมู่บ้าน เพื่อสร้างวัดไปออกโฉนดที่ดินให้กับเครือญาติ ท่ามกลางความเดือดร้อนชาวบ้านไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง หลังเคยร้องเรียนและร้องคัดค้านผ่านเทศบาลตำบลไปถึงผู้ปกครองแล้วแต่ไม่เป็นผล
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 63 บริเวณศาลาที่พัก หน้าสถานีตำรวจภูธรเมืองอุตรดิตถ์ พระธนาเดช ชนาสะโต ผู้ดูแลที่พักสงฆ์มงคลเทพนิมิต (ป่าแดงหลง) และ นายชะลอ เสนานารถ อายุ 65 ปี อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) เขตเมืองอุตรดิตถ์ พร้อมด้วยตัวแทนคณะกรรมการหมู่บ้านป่าแดงหลง หมู่ 12 ต.ผาจุก อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ รวมตัวกันเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองอุตรดิตถ์ กรณีที่อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 12 นำที่ดินสาธารณะประโยชน์ของหมู่บ้าน อยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อใช้ในการสำนักสงฆ์และดำเนินการสร้างวัด จำนวนเนื้อที่ดิน 58 ไร่ แต่ถูกนำไปออกเป็นโฉนดที่ดินให้กับพี่สาวของอดีตผู้ใหญ่บ้าน จำนวน 7 ไร่
โดยชาวบ้าน จำนวน 25 คน ทราบเรื่องถึงพฤติกรรมของอดีตผู้ใหญ่บ้าน ได้ร่วมลงชื่อร้องเรียนและคัดค้านแจ้งต่อ นายสมชัย มั่นเข็มทอง นายกเทศมนตรีตำบลผาจุก เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2557 ช่วงระยะที่อดีตผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าว ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 12 ขอออกเอกสารสิทธิ์ น.ค.3 (หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตนิคมสร้างตนเอง) โดยกรมประชาสงเคราะห์ ปัจจุบันคือ กรมพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เจตนาของชาวบ้านต้องการมอบที่ดิน อยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน มอบให้สำนักสงฆ์เพื่อสร้างวัดต่อไป
หลังจากชาวบ้านได้ทำหนังสือร้องเรียนและคัดค้านการออกเอกสารสิทธิ์ น.ค.3 ต่อนายกเทศมนตรีตำบลผาจุกแล้วนั้น ทางสำนักงานเทศบาลตำบลผาจุก โดยนายสมชัย มั่นเข็มทอง ได้มีหนังสือที่ อต.53701/64 ลงวันที่ 20 มกราคม 2557 ถึงผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านจังหวัดอุตรดิตถ์ พร้อมใบคำร้องทั่วไป 1 ฉบับ และรายชื่อผู้คัดค้าน จำนวน 1 ชุด อ้างถึง เทศบาลตำบลผาจุก รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน หมู่ที่ 12 บ้านป่าแดงหลงว่า ชาวบ้านได้อุทิศที่ดินซึ่งอยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน เพื่อสร้างสำนักสงฆ์และดำเนินการสร้างวัด 58 ไร่ ต่อมาทราบว่าผู้ใหญ่บ้าน ได้ดำเนินการขอออก น.ค.3 และจะมอบให้สำนักสงฆ์ป่าแดงหลง เพื่อสร้างวัด จำนวน 7 ไร่ ทางเทศบาลตำบลผาจุกขอให้นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านจังหวัดอุตรดิตถ์ ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคัดค้านการออกเอกสารสิทธิ์ น.ค.3 ตามที่ชาวบ้านร้องขอ ผลเป็นประการใด รายงานให้เทศบาลตำบลผาจุกทราบด้วย
แต่ปรากฏว่าสิ่งที่ชาวบ้านได้ทำหนังสือร้องเรียนและคัดค้านการออกเอกสารสิทธิ์ถึงนายกเทศมนตรีตำบลผาจุกและทางสำนักงานเทศบาลตำบลผาจุกมีหนังสือถึงผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านจังหวัดอุตรดิตถ์ไปแล้วกลับไม่เป็นผล ตรงกันข้ามกลับมีการออกเอกสารสิทธิ์ น.ค.3 และถูกปรับเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินในเวลาต่อมา ให้กับพี่สาวของอดีตผู้ใหญ่บ้านในภายหลังด้วยวิธีฉ้อฉล
ทางคณะกรรมการหมู่บ้านจึงได้มอบหมายให้นายเมือง โตนุ้ย อายุ 68 ปี ซึ่งมีตำแหน่งเป็นคณะกรรมการหมู่บ้านอยู่แล้ว นำสำเนาเอกสารที่ชาวบ้านเคยร้องทุกข์ต่อนายกเทศมนตรีตำบลผาจุก และนายกเทศมนตรีตำบลผาจุกมีหนังสือถึงผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านจังหวัดอุตรดิตถ์ มอบให้กับพนักงานสอบสวน โดยเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ ร.ต.ท.ปวริศร หฤรักษ์ รองสารวัตรเวรสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองอุตรดิตถ์ กรณีอดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 12 บ้านป่าแดงหลง นำที่ดินสาธารณะของหมู่บ้าน มาออกโฉนดที่ดินแก่ญาติของตนเอง เพื่อประโยชน์ส่วนตัว ทางพนักงานสอบสวนได้บันทึกคำร้องทุกข์ไว้เป็นหลักฐาน พร้อมรับรองสำเนาเอกสารไปยื่นต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ ตามความประสงค์ของผู้ร้องต่อไป
ต่อมา นายเมือง พร้อมด้วยนายชลอ อดีต (ส.อบจ.) เขตเมืองอุตรดิตถ์ และชาวบ้านได้เดินทางมายังศูนย์ดำรงธรรม ชั้น1 ของศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ เข้าพบนายเกรียงไกร กรมทะนา เจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ นำเอกสารใบแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน พร้อมสำเนาเอกสารที่ชาวบ้านเคยร้องทุกข์ต่อนายกเทศมนตรีตำบลผาจุก และทางนายกเทศมนตรีตำบลผาจุกมีหนังสือถึงผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้รับเรื่องราวร้องทุกข์เอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเตรียมออกหนังสือแจ้งให้ทางผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านจังหวัดอุตรดิตถ์ ชี้แจงเรื่องดังกล่าวให้ทางจังหวัดทราบเหตุผลถึงการออกเอกสารสิทธิ์ น.ค.3 และถูกปรับเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินให้กับพี่สาวของอดีตผู้ใหญ่บ้านในเวลาต่อมา
ด้าน นายชลอ เสนานารถ อดีต ส.อบจ.เขตเมืองอุตรดิตถ์ กล่าวว่า ที่ดินแปลงนี้อยู่ในเขตความรับผิดชอบของนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านจังหวัดอุตรดิตถ์ สภาพดินเดิมเป็นเนินเขาป่ารกอุดมไปด้วยแร่ดินขาว บริษัทเอกชนขออนุญาตอุตสาหกรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ และนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านจังหวัดอุตรดิตถ์ ขอสัมปทานเหมืองแร่เป็นเวลาประมาณ 15-25 ปี จำนวน 58 ไร่ หลังหมดสัมปทานแล้วคืนที่ดินให้กับนิคมฯ เพื่อนำกลับไปใช้ประโยชน์ต่อไป
ชาวบ้านได้ร้องขอกับทางนิคมฯให้ที่ดินดังกล่าวทั้งหมดนี้ เป็นที่ดินสาธารณะประโยชน์ เพื่อชาวบ้านได้ใช้สอยร่วมกันโดยมอบให้เป็นของสำนักสงฆ์เพื่อจัดสร้างวัด เนื่องจากภายในหมู่บ้านไม่มีวัดตั้งอยู่เลย หวังเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้าน แต่ถูกอดีตผู้ใหญ่บ้านฉ้อฉลร่วมกับเจ้าหน้าที่นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน ตัดแบ่งที่ดินจำนวน 7 ไร่ ออกเป็นโฉนดที่ดินให้กับพี่สาวอดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 12 ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนเองระหว่างดำรงตำแหน่งประสานงานกับเจ้าหน้าที่นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อเอาที่ดินซึ่งยังไม่ได้เป็นนค.3 ซึ่งเป็นที่ดินว่างเปล่าไม่มีเอกสารใดเลย และเป็นที่ดินแปลงใหญ่ให้นิคมฯมารังวัดเพื่อออกโฉนด เมื่อออกโฉนดแล้วก็นำมาให้กับญาติพี่น้องของตนเอง แทนที่จะทำให้ชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อนอยู่หลายคนเนื่องจากไม่มีที่ดินทำกิน ได้มีการพูดคุยกับทางคณะกรรมการของสำนักสงฆ์และชาวบ้าน ต้องการให้
ทางจังหวัดอุตรดิตถ์เร่งรัดในการตรวจสอบแปลงที่มีการออกโฉนดว่า ออกมาโดยชอบด้วยกฏหมายหรือไม่ เพราะยังมีชาวบ้านอีกหลายครอบครัวที่เดือดร้อนอยู่ทำไมไม่ออกให้ชาวบ้านเท่าที่ทราบมาพบว่าอดีตผู้ใหญ่บ้านคนนี้มีการซิกแซกกับเจ้าหน้าที่นิคมลำน้ำน่านฯและเจ้าหน้าที่ที่ดิน โดยต้นเรื่องมาจากนิคมลำน้ำน่านฯ เรื่องนี้อยากให้ นายธนากร อึ้งจิตรไพศาล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ เร่งรัดในการตรวจสอบเรื่องนี้ให้กับชาวบ้านโดยด่วน เพื่อให้การช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนอยู่ อดีต ส.อบจ.เขตเมืองอุตรดิตถ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับที่ดินซึ่งถูกแปรสภาพจากที่ดินสาธารณประโยชน์ตามที่ชาวบ้านเคยร้องขอกับนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านฯ จากจำนวน 58 ไร่ ถูกนำไปออกโฉนด จำนวน 7 ไร่ แล้วนั้นตรวจพบว่าเป็นที่ดินอยู่ติดกับถนนทางหลวงท้องถิ่น สายบ้านป่าแดงหลง-ขุนฝาง ต.ผาจุก ด้านหน้าทางเข้าสำนักสงฆ์ พบมีการปลูกสร้างบ้าน จำนวน 2 หลัง หลังแรกเป็นแบบชั้นเดียว ส่วนอีกหนึ่งหลังเป็นชั่นเดียวยกพื้นสูงประมาณ 1 เมตร และยังพบหลักหมุดเสาแดงอีกจำนวนหลายต้น คาดว่าจะเป็นหลักเขตแบ่งแปลงที่ดินจาก 7 ไร่ ออกเป็นแปลงละ 1 งาน รวมกว่า 20 แปลง ตั้งอยู่ด้าน หน้ากุฏิของสำนักสงฆ์
ภาพ/ข่าว สมภพ สินพิพัฒนฤดี ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จังหวัดอุตรดิตถ์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง