ศาลสั่งจำคุก"บักหำน้อย" 1 ปีปรับ 3 แสนบาท-หมิ่นประมาท ฯผู้ว่า ฯ เมืองคอนจากกรณีโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองคอน ตามแนวพระราชดำริ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งรัฐบาล คสช.อนุมัติงบดำเนินการก่อสร้างสูงถึง 9,850 ล้าน
จากกรณีเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2561 นายษฐา ขาวขำ จ่าจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับมอบอำนาจจากนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.สุริยน แกมทอง สว.สส.สภ.เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายวรา จันทร์มณี อายุ 47 ปีอยู่บ้านเลขที่ 30 หมู่ 8 ต.กำโลน อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช ในข้อหาหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา และนายวรา เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ทางตำรวจได้สรุปสำนวนส่งอัยการพิจารณาสั่งฟ้องต่อศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2562 ตามคดีหมายเลขดำที่ 150/2562 และหลังจากศาลพิจารณาไต่สวนมูลฟ้องพร้อมสืบพยานโจทก์และจำเลยครบถ้วนแล้วศาลได้นัดฟังคำพากษาเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2562 ที่ผ่านมา
(2 พ.ย.) นายษฐา ขาวขำ จ่าจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า คดีศาลได้พิพากษาจำคุกนายวรา จันทร์มณี จำเลย 1 ปีโดยไม่รอลงอาญาและปรับเป็นเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ซึ่งนายวรา จำเลย ได้ยื่นขอประตัวเพื่อต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ต่อไป โดยตนในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายให้ดำเนินคดีกับ นายวรา จันทร์มณี อยู่ระหว่างยื่นคำร้องขอคัดสำเนาคำพิพากษาในคดีนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 7 วัน สำหรับนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ได้รับคำสั่งโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา
สำหรับคดีดังกล่าวเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างกว้างขวาง เนื่องจากนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ทำการประชาสัมพันธ์ชี้แจงรายละเอียดและข้อมูลโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช (คลองผันน้ำเมืองนครฯ) ตามแนวพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งรัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณดำเนินการจำนวน 9,850 ล้านบาท ในขณะเดียวกันได้มีกลุ่มชาวบ้านจำนวนหนึ่ง โดยมีนายวรา จันทร์มณี จำเลย เป็น 1 ในแกนนำประท้วงได้นำชาวบ้านออกมาประท้วงคัดค้านโครงการดังกล่าวหลายครั้ง และได้นำภาพพร้อมข้อความโพสต์โจมตีนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ในเฟซบุ๊คอย่างต่อเนื่อง และต่อมานายวรา จำเลย ได้เดินทางมายื่นหนังสือแถลงการณ์ถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ผ่าน สภ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ขอให้ตรวจสอบนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช อ้างว่าได้บิดเบือนพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในหลวงรัชกาลที่ 9 และได้แจ้งลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานกับ ร.ต.อ.อภินันท์ พลศร รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ก่อนจะนำแถลงการณ์ดังกล่าวไปโพสต์ในเฟซบุ๊ค“บักหำน้อย” ทำให้มีชาวโลกโซเชี่ยลให้ความสนใจเข้ามาติดตามและวิพากวิจารณ์แสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง สร้างความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียงแก่นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา เป็นอย่างมาก จึงมอบอำนาจให้นายษฐา ขาวขำ จ่าจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งในขณะนั้นทำหน้าที่นิติกรผู้รับมอบอำนาจ เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายวรา จันทร์มณี ซึ่งหลังจากเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนนายวรา จันทร์มณี ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คว่า “นายจำเริญ ทิพญ์พงธาดา”มอบอำนาจให้นายษฐา ขาวขำ ไปแจ้งความดำเนินคดีกับตนเองเป็นการแก้เกี้ยว”
ในขณะที่อัยการได้บรรยายคำฟ้องต่อศาลความว่า นายวรา จันทร์มณีอายุ 47 ปีอาชีพรับจ้าง เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2561 เวลากลางวันจำเลยซึ่งเป็นสมาชิกบัญชี facebook ใช้ชื่อว่า “บักหำน้อย” ได้บังอาจใส่ความนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดาผู้เสียหายซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชตัวข้อความเป็นเท็จโดยการโฆษณาด้วยข้อความตัวอักษรอันเป็นเท็จด้วยการทำให้ปรากฏ สมาชิก facebook คนอื่นและบุคคลทั่วไปที่สามารถเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นบุคคลที่สามโดยจำเลยได้นำข้อความตัวอักษรจากจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเรียกร้องให้ทบทวนโครงการคลองผันน้ำทำลายคนนครของเครือข่ายประชาชนเรียกร้องให้ทบทวนโครงการคลองผันน้ำทำลายคนนคร ซึ่งมีข้อความส่วนหนึ่งว่า ขอถือโอกาสเรียนท่านถึงระบบการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใสของจังหวัดนครศรีธรรมราชโดยผู้ว่าราชการจังหวัดพยายามที่จะเร่งรัดโครงการไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงทำก็แต่เพียงจัดฉากประชุมหลอกหลอกอย่างที่รู้กัน นอกจากนั้นยังมีการข่มขู่ชาวบ้านโดยบิดเบือนพระราชดำริมาแอบอ้างสร้างความชอบธรรมให้ตนเองในการประชุมจังหวัดทุกวันอังคาร มิได้เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนร่วมสังเกตุการณ์มีแต่เพียงพวกข้าราชการที่เข้าไปรับสนองคำสั่งแถมยังปิดปากสั่งห้ามไม่ให้ใครจัดรายการวิทยุหรือให้จับตาการกระทำใด ๆก็ตามที่จะออกมาในลักษณะคล้าย ๆ หรือเห็นต่างจากโครงการ ขอให้ตรวจสอบกรณีผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชแอบอ้างเบื้องสูงในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาบิดเบือนข่มขู่รังแกประชาชนทำให้ชาวบ้านกลัว เพียงแค่เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์แห่งตนโดยปราศจากธรรมาภิบาลและขอเรียกร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว อันที่จริงแล้วท่านซึ่งเป็นข้าราชการต้องทำหน้าที่โดยสุจริตคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนเป็นหลักมิใช่ประโยชน์สุขของตัวท่านเองมาโพสต์เผยแพร่ลงใน facebook ของจำเลยรายละเอียดปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้อง ซึ่งข้อความตัวอักษรจำเลยได้โพสต์ลงใน facebook ดังกล่าวมีความหมายว่าผู้เสียหาย ซึ่งเป็นข้าราชการมีตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นคนไม่ดี ทำหน้าที่โดยไม่สุจริตปราศจากหลักธรรมาภิบาลไม่คำนึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนเป็นหลักได้แอบอ้างนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาบิดเบือนข่มขู่รังแกประชาชนทำให้ชาวบ้านหวาดกลัวเพื่อประโยชน์ของตัวผู้เสียหายเอง ซึ่งเป็นความเท็จทั้งสิ้น” ความจริงแล้วผู้เสียหายมิได้มีพฤติกรรมและการกระทำตามที่จำเลยใส่ความดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งนี้โดยประการที่จะทำให้ผู้เสียหายขาดความน่าเชื่อถือเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง
เหตุเกิดที่ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อมาในวันที่ 2 ตุลาคม 2561 จำเลยได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยและทำการสอบสวนแล้ว ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธระหว่างสอบสวนจำเลยได้ถูกควบคุมตัวได้ส่งตัวจำเลยมาสารพร้อมฟ้องนี้แล้วขอศาลได้รับตัวจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วยหากจำเลยยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นพิจารณาโจทก์ไม่คัดค้านคดีนี้ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับจำเลยภายในกำหนดอายุความตามกฎหมายแล้วนายษฐา ขาวขำ ผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายอยู่บ้านเลขที่ 24/11 หมู่ที่ 5 ตำบลปากนครอำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราชคำขอท้าย คำฟ้องสัญญาการที่จำเลยได้กระทำข้อความที่กล่าวในคำฟ้องนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นความผิดต่อกฎหมายและบทมาตราดังนี้คือ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2535 มาตรา 3,4
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคดีนี้มีประเด็นการต่อสู้ที่ศาลพิจารณาพิพากษาจำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา ปรับ 300,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 โดยโทษตำคุกไม่รอลงอาญาเนื่องจากมีข้อพิจารณาที่จำเลยจงใจที่จะกระทำการหมิ่นประมาทและไม่สำนึกโดยยืนกรานปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยการนำสืบพยานโจทก์ไม่น่าเชื่อถือและไม่สามารถหักล้างข้อมูลของผู้เสียหายได้เลย เป็นเพียงการใช้ความรู้สึกตัวมาต่อสู้ในชั้นศาล ในขณะที่ผู้เสียหายมีพยานทั้งบุคคลและเอกสารผลการศึกษาวิจัยกรมชลประทานอย่างละเอียดอย่างละเอียดครบถ้วนไม่ใช่เป็นการแอบอ้างเบื้องสูงและเป็นข้อมูลเท็จตามที่จำเลยระบุแม้แต่น้อย ทั้งนี้โดยประการที่จำเลยตั้งใจที่จะทำให้ผู้เสียหายขาดความน่าเชื่อถือ เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง.
ภาพ/ข่าว ยุทธนะ เตมะศิริ /นครศรีธรรมราช
ข่าวที่เกี่ยวข้อง