Lifestyle

แนะแนวทางป้องกันฝุ่นละอองพีเอ็ม2.5

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

แนะแนวทางป้องกันฝุ่นละอองพีเอ็ม2.5 คอลัมน์... ดูแลสุขภาพ

 

 


          ที่จริงกรุงเทพมหานครของเรามีฝุ่นชนิดพีเอ็ม 2.5 ที่เป็นแหล่งหลักมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงธรรมชาติมากเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ถ้าวันร้ายคืนร้ายที่อุณหภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเร็ว ความชื้นในอากาศสูงขึ้น ลมอับ แสงแดดยังไม่ได้เวลามาเยือน

 

 

          ประกอบกับกรุงเทพฯ มีอาคารสูงจำนวนมาก ก็จะทำให้การถ่ายเทของอากาศยามลมอับไม่ดี ไม่ต่างกับจังหวัดเชียงใหม่ที่เป็นเมืองแอ่งกระทะตามธรรมชาติก็จะเกิดปรากฏการณ์ “impaction” หมายถึงฝุ่นขนาดเล็ก คือ พีเอ็ม 2.5 ฟุ้งกระจายออกไปได้ยาก เจ้าตัวร้ายนี้จะมีผลเสียต่อสุขภาพมนุษย์ที่สำคัญทันทีทันใด คือ 1.ทำให้ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรังทุกชนิดมีอาการกำเริบ และ 2.ทำให้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจมีอาการกำเริบ ทั้งนี้ไม่นับผลระยะยาวที่มีอีกมากเหลือพรรณนา ดังนั้นคำแนะนำการปฏิบัติตัวในสถานการณ์เช่นวันนี้และคงอีกหลายวันจนถึงปีหน้า มีดังนี้

          1.ติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศจากแหล่งของกรมควบคุมมลพิษ ที่มีครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศไม่ใช่แต่กรุงเทพฯ อย่างเดียว
          2.ถ้าเห็นค่าปริมาณพีเอ็ม 2.5 เป็นสีแดง แสดงว่าสูงเกินค่ากำหนดขององค์การอนามัยโลกที่ค่าเฉลี่ยตลอด 24 ชั่วโมงไม่ควรเกิน 25 µg/m3
          3.เมื่อเห็นแล้วคนทั่วไปควรหลีกเลี่ยงเดินทางออกจากที่พักอาศัยจนกว่าระดับจะลดลงมาเป็นสีส้ม ที่ยังพอจะยอมรับได้
          4.แต่ถ้าจำเป็นจะต้องเดินทางสำหรับคนที่ไม่มีโรคเรื้อรังที่รุนแรงดังกล่าวมาแล้ว แนะนำให้ใช้หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่นอกอาคาร โดยต้องสวมให้ถูกวิธีและกระชับกับใบหน้าส่วนปากและจมูกให้มากที่สุด
          5.แต่ถ้าเป็นคนที่มีโรคเรื้อรังที่รุนแรงดังกล่าวมาแล้วไม่ควรออกจากบ้าน แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ เช่น ต้องไปโรงพยาบาลพบแพทย์ตามนัด (ที่จริงโรงพยาบาลต่างๆ ควรอำนวยความสะดวกเลื่อนนัดให้ผู้ป่วยเช่นนี้ได้โดยสะดวกในทุกช่องทาง) ให้ใช้หน้ากากชนิด N95 ซึ่งพอจะช่วยกรองเจ้าตัวฝุ่นร้ายขนาดเล็กนี้ได้ในปริมาณที่มากกว่าหน้ากากอนามัยธรรมดา แต่ต้องมีการตรวจสอบหลังการใส่ว่าหน้ากากนั้นกระชับรูปหน้าจริงตามคำแนะนำที่ปรากฏบนซองของหน้ากากนั้นๆ

 


          พีเอ็ม 2.5 คืออนุภาคขนาดเล็กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ยน้อยกว่า 2.5 ไมโครเมตร แขวนลอยอยู่ในอากาศรวมกับไอน้ำ ควัน และก๊าซ สามารถนำพาสารต่างๆ ล่องลอยอยู่รอบตัวเราได้ในปริมาณสูง ทำให้เกิดเป็นหมอกควันที่ถือเป็นมลพิษต่อสุขภาพของมนุษย์ คนทั่วไปที่สูดเอาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 เข้าไป จะมีอาการระคายเคืองจมูก น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ แต่สำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับระบบการหายใจรวมถึงผู้ที่ป่วยเป็นโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด จะทำให้โรคที่เป็นอยู่กำเริบขึ้นมาได้ ส่วนในระยะยาวอาจก่อมะเร็งปอดและทำให้สมรรถภาพปอดของเยาวชนถดถอย


          ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย มีความเป็นห่วงสุขภาพของประชาชน ซึ่งในระยะนี้ทุกคนต้องหมั่นตรวจสอบคุณภาพอากาศเมื่อไหร่ก็ตามที่ดัชนีคุณภาพอากาศเป็นสีส้ม ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง คือผู้มีโรคเรื้อรังข้างต้น เด็ก ผู้สูงอายุ และสตรีมีครรภ์ ควรงดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง แต่ถ้าเป็นสีแดง ขอให้ทุกคนทั้งหมดหลีกเลี่ยง กรณีคนที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงแล้วหลีกเลี่ยงไม่ได้ จำเป็นต้องใช้หน้ากาก N95 หรืออย่างน้อยเป็นหน้ากากอนามัยซ้อนกัน 2 ชั้น โดยไม่ว่าจะใช้หน้ากากชนิดใดต้องสวมใส่ให้กระชับใบหน้า และจำกัดระยะเวลาการสัมผัสฝุ่นให้น้อยที่สุด


รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย
และนายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย 
ในพระบรมราชูปถัมภ์

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-ทำไมฝุ่นพิษ..ทำให้มองเห็น เมืองอินโดฯท้องฟ้าสีแดง
-ฝุ่นพิษข้ามพรมแดน
-วิกฤติอีกรอบฝุ่น 2.5 ปกคลุมกรุงเทพ-ปริมณฑล
-กทม.เฝ้าระวังตรวจวัดฝุ่นละออง PM2.5 

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ