ข้อได้เปรียบของศรีสะเกษเรื่องการท่องเที่ยวอยู่ที่มีประวัติศาสตร์ขอมโบราณ และชน 4 เผ่ารากเหง้าวัฒนธรรม
เอาตรงๆ เรารู้จัก “ศรีสะเกษ” ก็เพราะ "กระเทียม" และ “ปราสาทเขาพระวิหาร” แต่พอหลังจากมีปัญหาข้อพิพาทจนต้องปิดพรมแดนไทย-กัมพูชา บริเวณทางขึ้นปราสาทใกล้ๆ ผามออีแดงเป็นการถาวร พลอยทำให้ความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับจังหวัดชายแดนแห่งนี้ลดน้อยถอยลงไปด้วย...
การแสดงรากเหง้าวัฒนธรรมศรีสะเกษ
เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้สถาการณ์เป็นแบบนี้ ทั้งคนในจังหวัดศรีสะเกษเอง นักเดินทาง รวมถึงหน่วยงานที่ดูแลการท่องเที่ยวโดยตรงอย่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พยายามจัดกิจกรรมชูของดีของเด่นเมืองดอกลำดวนอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางหรือแวะเที่ยวใช่เพียงทางผ่านไปเมืองหลัก ของเด่นดังไม่ว่าจะเป็นหอม กระเทียม ผ้าไหม ธรรมชาติ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชนเผ่า ไล่ไปจนถึงทุเรียนปลูกดินภูเขาไฟ ถูกนำมาพูดถึงในวงกว้างจนคนที่เคยมองผ่านเมืองรองแห่งนี้อยากเดินทางไปสัมผัสสักครั้งในชีวิต
วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี
นกเหล็กของ “ไทยสมายล์” ดูจะเป็นการซื้อเวลาเดินทางได้อย่างคุ้มค่า เที่ยวบินเช้าตรู่ประมาณ 7 โมงเช้าใช้เวลาอยู่บนท้องฟ้าแค่ 50 กว่านาที ก็พา “คนชอบเที่ยว” มาถึงสนามบินนานาชาติอุบลราชธานี ก่อนจะเปลี่ยนโหมดพาหนะการเดินทางเป็นรถตู้แล้วมุ่งสู่จังหวัดศรีสะเกษด้วยความตื่นเต้นในฐานะแขกหน้าใหม่ ณ ดินแดนอารยธรรมขอมโบราณ “เมืองขุขันธ์” ชื่อเดิมก่อนจะเปลี่ยนเป็นชื่อปัจจุบัน ซึ่งในความเป็นศรีสะเกษคนที่เล่าได้ดีที่สุดเห็นจะเป็นท่านผู้นี้ วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี พ่อเมืองคนล่าสุดที่แม้จะเพิ่งมารับตำแหน่งได้ราว 4 เดือนเศษ แต่ถามอะไรตอบได้
ชาวบ้านร้อยดอกลำดวนขายหน้างานประจำปีภายในสวนสมเด็จย่า
วัฒนธรรมการแต่งกายสไตล์ชนเผ่ากุย หรือ "ส่วย"
ท่านผู้ว่าฯ คนขยัน เผยว่า ข้อได้เปรียบของศรีสะเกษเรื่องการท่องเที่ยวที่ต้องดึงออกมาให้ได้นั้น เป็นที่รู้กันดีว่ามีประวัติศาสตร์ขอมโบราณยุคกษัตริย์ "สุริยวรมัน” นอกจากนี้ยังมีชนเผ่า 4 เผ่า ได้แก่ กุย (ส่วย) เขมร ลาว และเยอ เป็นรากวัฒนธรรมของศรีสะเกษ มีตำแหน่ง “กมรเตง” หรืออำมาตย์ผู้ครองเมืองตามหัวเมืองย่อย เชื่อว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้รับการเผยแพร่เท่าที่ควร ไม่เหมือนทุเรียน ผามออีแดง ปราสาทพระวิหาร ฯลฯ จุดขายในด้านท่องเที่ยวดังกล่าวถ้าทำได้ก็จะสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ไม่ใช่เชิงยัดเยียด ชาวบ้านต้องมีใจด้วยถึงจะยั่งยืน นับจากนี้จะมีการแบ่งเส้นทางท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นวิถีชนเผ่าต่างๆ ในแต่ละชุมชน, เส้นทางสายไหม, เส้นทางผลไม้ดินภูเขาไฟ, เส้นทางธรรมชาติ, เส้นทางพระพุทธศาสนา วัดวาอาราม และเส้นทางวิถีเกษตร
การแสดงแสงสีเสียง “อารยธรรมแห่งศรัทธา มนตรา ศรีพฤทเธศวร”
เริ่มรื่นรมย์กับงานประจำปีที่จัดขึ้นช่วงฤดูร้อนราวเดือนมีนาคม “เทศกาลดอกลำดวนบาน สืบสานประเพณีสี่เผ่า” ภายในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ หรือที่เรียกติดปากว่า “สวนสมเด็จย่า” แน่นอนว่ามีดงดอกลำดวนธรรมชาติถึง 5 หมื่นต้น แข่งกันออกดอกส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ปีนี้เขาจัดแสดงแสง สี เสียง ในแนวคิดอารยธรรมแห่งศรัทธา มนตรา ศรีพฤทเธศวร เล่าเรื่องอารยธรรมขอมโบราณรากเหง้าของชาวศรีสะเกษผ่านสัญลักษณ์สำคัญของจังหวัดอย่าง “ปราสาทสระกำแพงใหญ่” ได้อย่างสวยงามน่าตื่นเต้น นอกจากนี้ภายในงานยังมีการจำลองวัฒนธรรม 4 เผ่าตามที่กล่าวมา รวมถึงนิทรรศการศิลปะของศิลปินดังให้ผู้มาเยือนได้บันเทิงเริงใจ
ปราสาทสระกำแพงใหญ่
จารึกปราสาทสระกำแพงใหญ่
พระครูสมุห์บุญเชิด รัตนเมธี
พูดถึงปราสาทสระกำแพงใหญ่ ถ้าอยากไปดูของจริงต้องไปที่วัดสระกำแพงใหญ่ อ.อุทุมพรพิสัย ที่นี่ พระครูสมุห์บุญเชิด รัตนเมธี ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสระกำแพงใหญ่ เล่าว่าปราสาทนี้เดิมชื่อ “ศรีพฤทเธศวร” สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16 สมัย “สุริยวรมันที่ 1” เป็นเทวาลััยตามศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกาย ศิลปะแบบบาปวน สันนิษฐานว่าสร้างหลังปราสาทเขาพระวิหารราว 400 ปี โดยนายช่างใหญ่ชื่อ “ศรีสุกรรมมากำเตงงิ” หนึ่งในหลายนายช่างใหญ่ที่คุมงานก่อสร้างปราสาทเขาพระวิหาร โดยศรีสุกรรมมาฯ ให้ช่างเข้ามาสำรวจที่บ้านมะขาม มาเจอเนินดินเลยเริ่มสร้างขึ้น โดยขนศิลาแลงและอิฐมาสร้างเป็นฐาน กรอบประตู เสา ผนัง จนมาถึงยุคกษัตริย์ “ชัยวรมันที่ 7” เปลี่ยนศาสนามานับถือพุทธเลยแปรปราสาทมาเป็นวัดแล้วเปลี่ยนรูปเคารพจากศิวลึงค์เป็นพระพุทธรูป โดยเอาศิวลึงค์ลงแล้วเชิญพระพุทธรูปปางนาคปรกศิลปะขอมประดิษฐานแทน
พระพุทธรูปศิลปะขอมปางนาคปรกอายุกว่า 1000 ปี
ต่อมากษัตริย์ยุคต่อมามีการเปลี่ยนศาสนากลับไปเป็นพราหมณ์อี ก จึงนำพระพุทธรูปไปฝังดินแล้วเอาศิวลึงค์ขึ้นตั้งแทน จากนั้นขอมเข้าสู่ยุคเสื่อมอำนาจราว พ.ศ 1750 จนถึง พ.ศ. 2368 สมัยรัชกาลที่ 3 มีพระธุดงค์มาสร้างวัดบริเวณนี้ ต่อมาปี 2490 หลวงปู่เครื่อง เจ้าอาวาสคนที่ 7 ฝันเห็นพระพุทธรูปฝังดิน จึงให้ชาวบ้านไปขุดขึ้นมาแล้วประดิษฐานพระพุทธรูปปางนาคปรกองค์นี้ไว้ในมณฑปที่สร้างขึ้นมาใหม่จนถึงปัจจุบัน ทุกวันขึ้น 2 ค่ำเดือน 5 ทางวัดจะมีการจัดงานไลท์ แอนด์ ซาวนด์ ที่ตัวปราสาทด้วย
ศาลตายาย หรือ "ศาลโดนตา"
บายศรีสู่ขวัญแบบเขมร
ตามเส้นทางประเพณีและวัฒนธรรมชาวไทยเชื้อสายเขมร นอกจากปราสาทหิน วัดวาอารามต่างๆ ยังมีที่น่าสนใจอย่าง “บ้านตะกวน” (บ้านผักบุ้ง) ต.พึงพวย อ.ศรีรัตนะ เป็นหมู่บ้านที่ยังคงวิถีชีวิตตามความเชื่อบรรบุรุษโดยมีศูนย์รวมจิตใจอยู่ที่ “ศาลตายาย” ข้างๆ มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าดื่มกินแล้วช่วยให้หายไข้ได้ป่วย หรือขอคู่ครอง ขอโชคลาภก็ได้ดังหวัง
ของกินบ้านตะกวน
เมื่อมีผู้มาเยือนชาวบ้านจะจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญแบบเขมรให้ ในพานบายศรีจะมีข้าวต้ม ผลไม้ ไข่ ขนม และมะพร้าว หลังเสร็จพิธีจะให้กินไข่และน้ำมะพร้าวบริสุทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคล ของฝากขึ้นชื่อก็อย่างผ้าไหมลูกแก้ว ขนมรัญจวนหรือขนมมีส่วนผสมของรากตดหมา การเลี้ยงจิ้งหรีด งานหัตถกรรม รวมถึงชิมอาหารพื้นบ้าน เช่น แกงกล้วยใส่ไก่, ต้มยำไก่บ้าน, ผัดผักบุ้ง และจิ้งหรีดทอด ของดีประจำหมู่บ้าน
สาธิตการย้อมผ้าไหมลูกแก้วเป็นสีดำจากมะเกลือ
เสื้อที่เพิ่มมูลค่าจากการ "แซว" หัตถกรรมพื้นบ้าน
เช่นเดียวกับวัฒนธรรมการทอผ้าที่หมู่บ้านเขมร “บ้านเมืองหลวง” อ.ห้วยทับทัน ที่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเพื่อทอผ้าไหมลายลูกแก้วหรือ “ผ้าไหมเก็บ” แล้วเพิ่มมูลค่าด้วยการย้อมสีดำสนิทจากมะเกลือถึง 60 แดด 300 จุ่ม ก่อนจะตัดเป็นเสื้อทรงต่างๆ แล้วเก็บตะเข็บให้สวยงามหรือ “การแซว” กลายเป็นหัตถกรรมท้องถิ่นเอกลักษณ์ขึ้นชื่อของชาวศรีสะเกษ มีตั้งแต่ลายตีนไก่ ตะขาบ ดอกมือเขือ เชิงเทียน ขัดตะแล๋ว หรือฟันปลา เป็นต้น ได้รางวัลโอท็อป 3 ดาว ด้วยนะ ราคามีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลายพันบาทสร้างรายได้เสริมให้ชาวบ้านเป็นกอบเป็นกำ
นี่แค่จุดเริ่มต้นความเริงใจในเมืองดอกลำดวน ฉบับหน้าจะพาไปเที่ยวแนวธรรมชาติและวิถีชีวิตที่เข้มข้นขึ้น...รับรองว่า “สุดจัด” ชนิดที่ปลัดไม่ต้องบอกแน่นอน !!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง