อีกหนึ่งที่มาของชื่อ ภูเขาทอง ฤาที่นี่จะเป็นที่เก็บทองคำของกองทัพญี่ปุ่นจริง แต่ที่แน่ๆ ที่นี่เก็บอิฐบรรพบุรุษผม
คอลัมน์... ตามรอย...ตำนานแผ่นดิน โดย... เอก อัคคี (facebook.com/Akeakkee Ake)
ตระกูลของบรรพบุรุษฝ่ายคุณตาผมคือ ตาผุด แก้วทอง ครอบครัวของท่านมีกิจการค้าขายอยู่ที่หลังสถานีรถไฟบ้านปากคลอง ซึ่งในสมัยโบราณเป็นชุมทางการค้าขนาดใหญ่ ทวดชายคือ ทวดทุ่ม ส่วนทวดหญิงคือ ทวดลั่น แก้วทอง
ทวดลั่น เป็นแม่ค้าใหญ่มีกิจการค้าขายส่งในตลาดปากคลองและมีเรือนแถวบ้านเช่าหลายสิบหลังให้คนเช่าอยู่อาศัยที่ท้ายตลาด แม่ผมเล่าว่า ตอนออกจากโรงเรียนแล้ว จบ ป.4 ก็นั่งรถไฟมาจากเขาชัยสน บ้านตายาย(ของผม) มาลงที่บ้านย่า(ของแม่) คนเดียว
วัดภูเขาทอง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
บ้านปากคลองอยู่ไม่ไกลจากเขาอ้อและเขาทอง แม่เล่าว่าสมัยก่อนทวดปลูกบ้านสร้างครอบครัวอยู่ที่บ้านปากคลองหลังสถานีรถไฟเมื่อมีทางรถไฟตัดผ่านในปี 2453 ทวดลั่นเล่าให้แม่ผมฟังว่าสมัยก่อนแถบนั้นเป็นป่าทึบ สลับทุ่งนา และทางเกวียนเล็กๆ ป่ากว้างสุดลูกหูลูกตา ถนนเอเชียยังไม่มี
และเมื่อก่อนนั้นเขาทองก็ไม่ได้ชื่อเขาทองอย่างในปัจจุบันแต่จะชื่อเขาอะไรจำไม่ได้!?!
แต่สมัยนั้นวัดเขาอ้อมีสำนักที่โด่งดังมาตลอดเป็นเอกด้านไสยศาสตร์ จนทั้งไอ้เสือ และข้าราชการมาฝากตัวเป็นศิษย์กันมาก เขาเรียกกันว่าเขาอ้อวัดพ่อท่านขลัง
เขาอ้อ มีศิษย์มากมายทั้งตำรวจกับโจรซึ่งย่อมจะไม่ถูกกันอยู่ ตำรวจและสุจริตชน เมื่อเดินทางมาวัดเขาอ้อ ก็นอนอาศัยที่วัดเขาอ้อได้เลย เพราะไม่ต้องเกรงกลัวอะไร แต่พวกไอ้เสือสางจะไม่กล้านอนที่นั่นเพราะกลัวเจอตำรวจ พวกเสือจะเลี่ยงไปอาศัยถ้ำใหญ่ที่ตีนเขาทองเป็นที่พัก เพราะห่างจากเขาอ้อชั่วเคี้ยวหมากแหลก พอปลอดคนก็จะลอบเข้ามาฝากตัวขอของดีที่วัดเขาอ้อกลับไป
กองทัพญี่ปุ่นขณะยกพลขึ้นบกทางภาคใต้ของไทย
ว่ากันว่าชาวบ้านปากคลอง ชาวบ้านสวนในยุคสมัยนั้นต่างรู้ดีว่าที่ถ้ำใหญ่ตีนเขาลูกนั้นมีพวกโจรไปอาศัยใช้เป็นที่หลับนอนอยู่ แต่ก็ไม่มีใครจะไปแจ้งตำรวจเพราะไม่อยากมีภัยมาถึงตัว ได้แต่บอกกล่าวบรรดาลูกหลานที่เป็นหญิงสาวไม่ให้เข้าไปใกล้เขาลูกนั้นเพราะอาจจะถูกพวกเสือฉุดเอาไปได้ง่ายๆ
ในปี 2453 การเข้ามาของทางรถไฟที่ตัดผ่านพัทลุง โดยขุนนิพัทธ์ ตัดทางเฉียดเข้ามาใกล้เขาลูกนั้น นำความเจริญมาให้ พวกโจรที่เคยอาศัยถ้ำใหญ่ตีนเขาทองก็ไม่กล้ามาอยู่เพราะกลัวถูกจับกุม พร้อมๆ กับการเข้ามาตั้งสำนักสงฆ์ของพระธุดงรูปหนึ่งที่ยึดเอาถ้ำใหญ่ตีนเขาเป็นที่ฝึกสมาธิปฏิบัติธรรม
จนเมื่อกองทัพญี่ปุ่นยกพลเข้าประเทศไทยเช้าตรู่ของวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 เพื่อจะเดินทัพผ่านทางโดยยกพลขึ้นบกพร้อมกัน 7 จุด มี จ.สมุทรปราการ (บางปู) เท่านั้นที่ไม่มีการปะทะ นอกนั้นปะทะกับคนไทยทุกจุดคือประจวบฯ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และปัตตานี
เมื่อรัฐบาลไทยยอมให้ญี่ปุ่นผ่านแดนได้ กองทหารญี่ปุ่นก็ใช้ทางรถไฟลำเลียงข้าวของ อาวุธ และสมบัติที่ยึดได้จากมลายาของอังกฤษ ขึ้นเหนือ เพื่อไปสมทบกองกำลังที่จะบุกพม่า
ลือกันมันปากว่าญี่ปุ่นนั้นมีทองและเงินเป็นหลายโบกี้รถไฟที่ยึดจากหัวเมืองมลายูอันมั่งคั่งของอังกฤษก็ส่งขึ้นรถไฟผ่านพัทลุงจนถึงปี 2488 ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม พวกทหารที่อยู่นอกดินแดนต่างก็ทำการฮาราคีรีคว้านท้องไปเสียมาก
บริเวณปากถ้ำที่ถูกปิดตายบนภูเขาทอง
มีเรื่องเล่ากันว่าหนึ่งในจำนวนนั้นมีทหารญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งที่เป็นกลุ่มลำเลียงทองคำและกำลังอยู่ในเขตพัทลุง เมื่อรู้เช่นนั้นจึงรีบเสาะหาสถานที่ที่จะเอาทองคำและสมบัติทั้งหมดไปซ่อนเอาไว้ก่อนจนมาพบว่าที่ภูเขาใกล้สถานีปากคลองมีถ้ำใหญ่อยู่ตีนเขา เข้าออกไม่ลำบาก จึงจัดการลำเลียงทองคำทั้งหมดเข้าไปไว้ในถ้ำ ก่อนจะระเบิดปิดปากถ้ำพร้อมขังตัวเองแล้วคว้านท้องให้กลายเป็นผีเฝ้าทรัพย์อยู่ในถ้ำนั้น
ว่ากันว่าเรื่องราวสุดสยองนี้คือที่มาของชื่อ “ภูเขาทอง” ชาวบ้านที่รู้เห็นเหตุการณ์นี้ก็เอาไปบอกกล่าวต่อๆ กันไปจนมีคนอยากรวยพยายามจะไปขุดหินที่ระเบิดปิดปากถ้ำอยู่แต่ก็ทำไม่ได้เพราะหินหนักเป็นตันและตอนนั้นสำนักสงฆ์เริ่มเจริญกลายเป็นเขตวัดแล้ว คนที่คิดจะเข้าไปขุดจึงทำได้ยาก
ผมเองไม่เคยขึ้นเขาทองไปหาสมบัติหรือทองคำทหารญี่ปุ่น แต่เคยไปกราบอัฐิคุณทวดและญาติผู้ใหญ่ตรงทางขึ้นด้านเขตวัด
ผมเคยได้ยินเรื่องเล่านี้เหมือนกันว่าในอดีตเคยมีคนพยายามอย่างมาก ที่จะขุดและหาทางเข้าไปในถ้ำให้ได้ หากเข้าไปได้หมายถึงความร่ำรวยที่รออยู่แน่นอน แต่แม้จะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จเพราะหินหนักเกินไป แล้วสมัยนั้นชาวบ้านทั่วไปก็ไม่มีเครื่องมือที่ดีพอจะยกหินออกได้
บ้างก็ว่าเคยมีการเอาร่างทรงและอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมในสมัยนั้นมานั่งทางในเพื่อหาทางเข้า แต่อาจารย์เหล่านั้นบอกว่าเข้าไปไม่ได้เจ้าของเขาหวงมาก เพ่งกระแสจิตเข้าไปก็เจอผีทหารญี่ปุ่นยืนถือซามูไรจังก้าอยู่ในถ้ำเพราะพวกนั้นสังเวยตัวเองด้วยการคว้านท้องตายกลายเป็นผีตายโหงวิญญาณอาฆาตแรงมาก ทางเข้ามีแต่ใครที่เข้าไปจะไม่ได้กลับออกมาอีกตลอดกาล
สถานีรถไฟบ้านปากคลอง
ครับ ใครอยากรวย อยากลองก็เชิญ แต่ผมคนหนึ่งละไม่กล้าครับ เพราะแค่เดินขึ้นไปเชิงเขาทองกราบอัฐิบรรพบุรุษตระกูลแก้วทองของผม
แค่นั้นผมก็หอบจับแล้วล่ะคร้าบบบบ (ปล.ผมมีนามปากกาในการเขียนหนังสืออีกนามหนึ่งคือ สุริยฉัตร แก้วทอง ครับ)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง