สงครามการค้า บดบังการประชุมอาเซียน

ในวันเสาร์นี้แล้วที่เหล่าผู้นำจาก 10 ชาติสมาชิกอาเซียนจะมารวมตัวกันที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 34 นี้ มีหลายประเด็นร้อนที่น่าจะถูกหยิบยกขึ้นมาหารือ แต่ก็คงจะไม่มีเรื่องไหนที่ร้อนไปกว่าประเด็นสงครามการค้า ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าจะมาบดบังวาระอื่นๆ ของการประชุม

ข้อพิพาททะเลจีนใต้, ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา, การจัดการขยะทางทะเล ขยะพลาสติก และขยะอิเล็กโทรนิกส์, และการพัฒนาอย่างยั่งยืน นี่คือส่วนหนึ่งของประเด็นหลักที่บรรดาผู้นำชาติอาเซียนน่าจะหารือกันในช่วงสุดสัปดาห์นี้ แต่ประเด็นเหล่านี้คงจะถูกบดบังด้วยเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วโลก และภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย ถูกมองว่าเป็นฝ่ายที่ได้ประโยชน์จากสงครามการค้า จากการที่นักลงทุนพากันย้ายฐานจากจีนมายังอาเซียน อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเกรงว่า ผลประโยชน์เหล่านี้ อาจเทียบไม่ได้กับผลเสียที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตลดลงขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนกำลังพยายามอย่างหนักให้ทุกประเทศที่เกี่ยวข้องบรรลุความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ "อาร์เซ็ป" ภายในการประชุมช่วงปลายปีนี้ให้ได้ โดยการเจรจานัดล่าสุดจะเกิดขึ้นในวันเสาร์นี้ข้อตกลงการค้าเสรี "อาร์เซ็ป" ประกอบไปด้วย 10 ประเทศอาเซียนและอีก 6 ประเทศคู่เจรจา ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ แต่ไม่รวมสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการค้าทั่วโลก และราวครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งโลก มีการพูดคุยกันมาอย่างน้อย 7 ปีแล้ว โดยปัจจุบัน มีหลายประเทศที่ยังคงอยากให้มีการแก้ไขเนื้อหาในข้อตกลง อาทิ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่ผลักดันให้มีการคุ้มครองแรงงานและรักษาสิ่งแวดล้อม และอินเดียที่ต้องการการการันตีว่า ข้อตกลงจะไม่ใช่การบังคับให้อินเดียต้องเปิดตลาดเพื่อให้สินค้าปลอดภาษีจากจีนหลั่งไหลเข้ามาในประเทศผ่านชาติอาเซียน