ตม.มาเลเซียคุมตัวสตรีสองคนมานาน 13 ปี หลังเข้าประเทศโดยไม่มีหนังสือเดินทางถูกต้อง อ้างเป็นสมาชิกราชวงศ์อาณาจักรซุนดา ไม่ยอมรับความเป็นพลเมืองอินโดนีเซีย
เซาท์ไชนามอร์นิงโพสต์ และ จาการ์ตา โพสต์ รายงานเรื่องราวชีวิตพิสดารของสตรีสองคน ที่เดินทางจากอินโดนีเซียเข้าไปในมาเลเซียในปี 2550 จากนั้น ก็ไม่ได้ออกจากศูนย์กักกันคนต่างด้าวอีกเลย เพราะมาเลเซียถือว่าเป็นบุคคลไร้รัฐ แต่ทั้งสองยืนกรานว่าเป็นสมาชิกราชวงศ์อาณาจักรซุนดา
13 ปีก่อน ฟาทีดา เรซา วัย 23 ปี ลามีรา โรโร วัย 21 ปีในขณะนั้น เดินทางเข้าไปยังเมืองคูชิง เมืองเอกรัฐซาราวัค ประเทศมาเลเซีย และถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองควบคุมตัว ฐานเข้าเมืองผิดกฎหมาย เพราะทั้งสองถือหนังสือเดินทางอาณาจักรซุนดา ที่รัฐบาลมาเลเซียไม่รับรอง ผลก็คือทั้งสองกลายเป็นคนไร้รัฐ และใช้ชีวิตอยู่ในศูนย์กักกันคนต่างด้าวที่เมืองมะละกา มานับแต่นั้น
อากุง กาฮายา สุมีรัต ผู้ประสานงานด้านวัฒนธรรม สังคมและสารสนเทศ สถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำกัวลาลัมเปอร์ บอกสำนักข่าว tribunnews.com. เมื่อ 19 มิ.ย. ว่า สถานทูตและฝ่ายกงสุลไม่ได้นิ่งนอนใจ เคยไปสัมภาษณ์ทั้งสองอย่างน้อย 3 ครั้งแล้ว แต่ทั้งสองซึ่งพูดและสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี ปฏิเสธยอมรับว่าเป็นพลเมืองอินโดนีเซีย ยืนกรานว่าเป็นพลเมืองอาณาจักรซุนดา ขณะที่สำนักตรวจคนเข้าเมืองมาเลเซียระบุว่า สถานภาพของสตรีสองคนนี้ ซึ่งปัจจุบัน อายุ 36 กับ 34 ปีคือ บุคคลไร้รัฐ “ความเข้าใจของเราคือความเชื่อที่ว่าพวกเธอเป็นคนของอาณาจักรซุนดา มีความสำคัญมาก” เจ้าหน้าที่บอก เวบไซต์ข่าว คอมปาส ของอินโดนีเซีย เมื่อ 24 มิ.ย.
ด้าน นายเออร์วิน ที่เป็นตัวแทนของกลุ่มผู้นำซุนดา ระบุว่าฟาทีดา และรามีรา เป็นบุตรีของ นาสรี แบงคส์ นายกรัฐมนตรีอาณาจักรซุนดา กับ ราเดน รัตนา นิงรุม สตรีที่มีฐานันดรศักดิ์ชั้นสูง แต่เมื่อเดือนมกราคม นาสรี แบงคส์ กับภรรยา ถูกตำรวจอินโดนีเซียจับกุมในข้อหาฉ้อฉล ซึ่งมีโทษจำคุกระหว่าง 2-10 ปี
สื่ออินโดนีเซียรายงานว่า อาณาจักรแปลกๆที่ประกาศกันขึ้นมาเองอยู่ในดินแดนอินโดนีเซียกลายเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจ หลังจากคลิปกิจกรรมของกลุ่มเหล่านี้สะพัดบนอินเทอร์เน็ต หนึ่งในนั้นก็คือ อาณาจักรซุนดา ที่อ้างว่าตั้งอยู่ในเมืองบันดุง ชวาตะวันตก ดำรงอยู่มาตั้งแต่ 323 ปีก่อนคริสตกาล พวกเขาประกาศผ่านคลิปเฟซบุ๊กว่าจะทำภารกิจโละหนี้กับธนาคารโลกให้สำเร็จภายในปี 2020 นักประวัติศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญวัฒนธรรมหลายคน ยืนยันว่าเรื่องเล่าพวกนี้กุขึ้นมาทั้งเพ และแสดงความเป็นห่วงว่า เรื่องเล่าอาณาจักรโบราณทั้งหลายอาจถูกนำมาใช้ต้มตุ๋นและแสวงหาอำนาจได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง