ข่าว

"แนนซี เพโลซี"นางสิงห์แห่งแคปปิตอลฮิลล์ คู่ปรับทรัมป์

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดย.....บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์


 

 

            บรรดามะกันชนถึงกับนิ่งอึ้งตะลึงงันเหมือนกับกำลังดูการถ่ายทอดสดรายการเรียลิตีโชว์ระหว่าง”2 คู่กัดรุ่นเก๋ากึ้ก” หรือชมศึกชิงบัลลังก์การเมืองระหว่าง”ผีเน่ากับโลงผุ” ไม่มีผิด

            "ปฏิกิริยาเชิงสัญลักษณ์"หรือเรียกสั้นๆแต่เข้าใจง่ายว่า”ภาษากาย” ที่สะท้อนถึงความเป็นปรปักษ์ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์วัย 73 ปีกับนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนหญิงวัย 79 ปี ซึ่งต่างมีศักดิ์ศรีเสมอกันตามที่ระบุในรัฐธรรมนูญ เห็นได้ชัดช่วงที่ทรัมป์ต้องขึ้นไปแถลงนโยบายประจำปีต่อที่ประชุมรัฐสภา โดยนางแนนซี่เป็นฝ่ายยั่วยุก่อนหมายจะข่มศักดิ์ศรีของประธานาธิบดีให้ด้อยกว่า ด้วยการแนะนำทรัมป์ต่อที่ประชุมรัฐสภาเพียงสั้นๆแค่ว่า"ท่านสมาชิกรัฐสภา ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา" แทนที่จะพูดในเชิงให้เกียรติตามประเพณีนิยมว่า”ท่านสมาชิกรัฐสภา ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งที่ได้แนะนำประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาต่อท่านผู้ทรงเกียรติ”

 


"แนนซี เพโลซี"นางสิงห์แห่งแคปปิตอลฮิลล์ คู่ปรับทรัมป์

 

 

            และทรัมป์ก็ตอบโต้ทันควันช่วงที่ยื่นสำเนาถ้อยแถลงประจำปีให้รองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์และนางแนนซี ที่ยืนคู่กันอยู่เบื้องหลังทรัมป์ โดยหลังจากรับสำเนาแล้วนางแนนซีได้ยื่นมือให้ก่อน แต่ทรัมป์กลับไม่ยอมจับมือด้วย และยังศอกกลับด้วยการพูดเหน็บแนมก่อนจะกล่าวคำปราศรัยอย่างเป็นทางการว่า”มีเพียงคนเดียวที่ยืนข้างหลังผมที่เป็นมิตร ส่วนอีกคนหนึ่งไม่ได้แสดงท่าทีเป็นมิตรด้วย”

            แต่เนื่องจากการเป็นการพูดลอยๆอย่างไม่เป็นทางการ ประโยคนี้จึงถูกตัดออกในภายหลัง

            อันที่จริง ก่อนหน้าที่ทรัมป์จะเดินทางมาถึงอาคารรัฐสภา นางแนนซี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแม่แห่งวงการแฟชั่นมาตั้งแต่ยังสาว โดยเฉพาะการชอบใช้สีของเครื่องแต่งกายบ่งบอกนัยทางการเมือง ได้แสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ให้เห็นตั้งแต่ต้นว่าพร้อมจะชนกับทรัมป์ ด้วยการสวมสูทสีขาวชุดเดียวกับที่สวมในวันเปิดพิจารณาว่าจะถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่งหรือไม่ และเป็นสูทสีเดียวกับที่สส.หญิงส่วนใหญ่สวมกัน เพราะสีขาวหมายถึงสีการประท้วง รวมทั้งเป็นสีเพื่อรำลึกวันครบรอบ 100 ปีที่ขบวนการเรียกร้องสิทธิสตรีได้ลุกขึ้นสู้เพื่อสิทธิในการออกเสียงของผู้หญิง เธอยังกลัดเข็มกลัดทองอันเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์บ่งบอกถึงอำนาจของสภาผู้แทน ที่ผ่านมา เธอมักจะกลัดเข็มกลัดนี้ในวาระสำคัญๆเท่านั้น

 

 

 

          ยิ่งกว่านั้น ตลอดช่วง 80 นาทีที่ทรัมป์ยืนแถลงโดยส่วนใหญ่อาศัยอ่านจากสำเนาที่เตรียมไว้ ไม่ค่อยนอกบทแบบที่ผ่านมา  นางแนนซี่ได้แสดงภาษากายให้เห็นถึงความเป็นปรปักษ์กับทรัมป์ชนิดแทบไม่เผาผี  เธอทำหน้าบึ้ง เม้มปากระหว่างนั่งฟังทรัมป์โอ้อวดความสำเร็จของตัวเอง  หรือส่ายหัวหลายครั้งตอนทรัมป์พูดถึงรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นฐานเสียงของเธอว่าเป็นพื้นที่พักพิงที่อันตรายยิ่งจากผู้อพยพยผิดกฎหมายที่ก่ออาชญากรรม  และห่อปากตอบโดยไม่ออกเสียงว่า”ไม่จริง” เ ธอยังฝืนยิ้มอย่างไม่จริงใจขณะทรัมป์พูดถึงโครงการโอบามาแคร์  จังหวะที่เธอต้องลุกขึ้นยืนปรบมือให้ทรัมป์ตามบรรดาสมาชิกรัฐสภาตอนทรัมป์พูดถึงงบประมาณด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่โครงการที่ 2 พรรคเห็นพ้องต้องกัน  เธอจะทำสีหน้าล้อเลียนเชนเดียวกับอากัปกริยาปรบมือเหมือนกับเย้ยหยัน

 

 

 

         ที่สร้างความตื่นตะลังให้กับผู้ชมการถ่ายทดสดหลายล้านคนก็คือหลังทรัมป์แถลงเสร็จ โดยสมาชิกพรรครีพับริกันพากันยืนปรบมือให้ นางแนนซีได้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับฉีกสำเนาคำปราศรัยนั้น และเมื่อก้าวลงจากเวทีแล้ว เธอก็นำเศษกระดาษร่างคำปราศรัยนั้นมาโปรยใส่คนที่ยังอยู่ในห้องประชุมรวมทั้งคนที่นั่งฟังตรงเฉลียงยาวเหนือห้องประชุม

 

            นางแนนซีเผยความรู้สึกหลังจากนั้นว่า”นี่เป็นการกระทำที่กล้าหาญและสุภาพมากที่สุดแล้ว เมื่อพิจารณาจากทางเลือกอื่นๆ ”  และเธอรู้สึกมีความสุขมากเหมือนได้รับการปลดปล่อยตอนฉีกร่างคำปราศรัยนั้น โดยไม่รู้สึกเสียใจที่ทำเช่นนั้นเพราะทุกๆหน้าในร่างคำปราศัยเต็มไปด้วยถ้อยคำที่โกหก เธอให้ความเห็นด้วยว่าทรัมป์ทำเหมือนกับกำลังจัดรายการเรียลิตีโชว์ ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับความเป็นจริง

 

"แนนซี เพโลซี"นางสิงห์แห่งแคปปิตอลฮิลล์ คู่ปรับทรัมป์

 

 

            อันที่จริงครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกและไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ทั้ง 2 คนทำสงครามเย็นใส่กัน อย่างไรก็ดี นับวันสงครามเย็นของทั้ง 2 คนยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นโดยไม่ต้องคำนึงถึง”มารยาทการเมือง”ใดๆทั้งสิ้นนับตั้งแต่นางแนนซี่อยู่เบื้องหลังการผลักดันกระบวนการถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่งตั้งแต่กลางเดือนตค.เป็นต้นมา และทรัมป์ได้ทวีตโจมตีนางแนนซี่หลายครั้งว่าคำร้องถอดถอนของเธอเป็น “การหลอกลวง” พร้อมกับตราหน้าเธอว่า “แนนซีคนประสาท” และ “แนนซีคนบ้า”


          ผู้ช่วยของทั้ง 2 ฝ่ายยืนยันว่าทรัมป์ และนางแนนซี ไม่ได้คุยกันอีกเลยตั้งแต่ประชุมร่วมกันครั้งสุดท้ายที่ทำเนียบขาวเมื่อกลางเดือนตค.ปีที่แล้ว ระหว่างนั้นทรัมป็ได้พูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามเธอถึงขนาด เรียกเธอว่า”นักการเมืองเกรด 3” ทำให้นางแนนซี่และแกนนำพรรคเดโมแครตวอล์คเอาต์ออกจากที่ประชุมร่วมก่อนจะตอบโต้ในภายหลังว่าทรัมป์เชื่อถือไม่ได้ การติดต่อของ 2 พรรคได้ขาดสะบั้นลงนับตั้งแต่กระบวนการอิมพิชเมนต์เริ่มขึ้น โดยทรัมป์ทวีตย้ำหลายครั้งว่าเป็นเรื่องของกระบวนการล่าแม่มดที่มีการปั้นน้ำเป็นตัวโดยไม่คำนึงถึงความจริงว่าเป็นเช่นไร เป็นเรื่องการโกหกล้วนๆ

 

ปูมหลังของเธอ 

 

          “แนนซี แพทริเซีย ดี อเลซานโดร” เกิดในครอบครัวชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลีที่มีชื่อลือเลื่องในเรื่องการช่วยเหลือสังคม เธอเกิดที่บัลติมอร์ ที่ซึ่งโทมัส ดีอาเลซานโดร จูเนียร์ ผู้เป็นพ่อเคยเป็นนายกเทศมนตรีถึง 12 ปีหลังจากเป็นสส.ของรัฐ 5 สมัย พี่ชายของเธอก็เป็นนายกเทศมนตรีแห่งบัลติมอร์เช่นกัน เธอสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยตรินิตีในกรุงวอชิงตัน สมรสกับพอล เพโลซี มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีทายาทด้วยกัน 5 คนและมีหลาน 9 คน ก่อนที่เธอจะตัดสินใจกระโจนสู่การเมืองครั้งแรกตอนมีอายุ 47 ปี

 

         นับตั้งแต่นั้นเธอก็ถูกกระแนะกระแหนว่าเป็น”ซ้ายห้องแอร์”หรือ‘พวกกินซูชิ-ดื่มคาปูชิโน’ แต่ด้วยความสามารถและการทุ่มสุดตัวในการทำงานเพื่อสังคม ประกอบกับมีจุดแข็งในการเป็นนักเจรจาต่อรองชั้นยอดจนสามารถระดมทุนสนับสนุนพรรคจำนวนมาก โดยเฉพาะในโครงการด้านสาธารณสุขและสุขอนามัยของเด็ก ทำให้เธอได้นั่งเก้าอี้สำคัญที่สุดมานานหลายสิบปี

       กระทั่งได้เป็นประธานสภาผู้แทนคนที่ 52 สร้างเกียรติประวัติเป็นประธานสภาผู้แทนหญิงคนแรกเมื่อปี 2550 ก่อนจะถอยกลับไปเป็นผู้นำเสียงข้างน้อยของเดโมแครตนาน 8 ปี แล้วกลับมาสวมหัวโขนนี้อีกเป็นสมัยที่ 2 และ 3 เธอยังสร้างเกียติประวัติอีกครั้งเมื่อเดือนมค.2562 เมื่อเธอรั้งตำแหน่งหมายเลข 2 รองจากรองประธานาธิบดีกรณีที่มีสิทธิขึ้นมาเป็นรักษาการประธานาธิบดี  หากประธานาธิบดีไม่สามารถบริหารประเทศได้ตามเงื่อนไขที่ระบุๆไว้ในรัฐธรมนูญ  ถือเป็นคนแรกที่ได้ทำในรอบกว่า 60 ปี

 

          จากผลงานตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ทำให้นางแนนซี เพโลซีได้รับยกย่องว่าเป็นนักการเมืองหญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ และเป็นประธานสภาผู้แทนฯที่ทรงอิทธิพลที่สุดนับตั้งแต่ยุคของแซม เรย์เบิร์นเมื่อกว่า 50 ปีมาแล้ว ประธานาธิบดีบารัก โอบามาได้อกปากยกย่องเธอว่าเป็นผู้นำที่แสนวิเศษยิ่งที่อุทิศตนเพื่อประชาขนชาวอเมริกันมาตลอด ขณะที่ประชุมสมัยที่ 111 ยกย่องเธอว่าเป็น”หนึ่งในสมาชิกรัฐสภาที่สร้างสรรค์มากที่สุดในประวัติศาสตร์” นอกจากนี้ เธอยังทำสถิติในการปราศรัยในสภายาวนานถึง 8 ชั่วโมงโดยไม่มีการหยุดพัก ทั้งๆยังสวมรองเท้าส้นสูง

 

         ประเด็นหนึ่งที่น่าสังเกตมากที่สุดก็คือ ช่วงที่เธอนั่งเก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ เธอไม่ได้พยายามรอมชอมกับใครเพียงเพื่อหวังจะรักษาเก้าอี้ให้นานที่สุด ตรงข้าม เธอแสดงให้เห็นชัดว่าประมุขฝ่ายนิติบัญญัติไม่ใช่ “ไก่รองบ่อน”ของประมุขฝ่ายบริหาร" หรือไม่ใช่ “คอหอยลูกกระเดือก” เหมือนในอดีต หากแต่มีฐานะเท่าเทียมกันและต่างมีอำนาจในการถ่วงดุลย์และตรวจสอบซึ่งกันและกันตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

 

         และโดยเนื้อแท้แล้วเธอเป็นคนชอบเสี่ยงชนิดทุ่มหมดหน้าตัก ตั้งแต่สนับสนุนขบวนการประท้วงที่จตุรัสเทียนอันเหมิน ไปจนถึงการผลักดันโครงการโอบามาแคร์โดยไม่ต้องให้มีการลงคะแนนเสียงซ้ำ เธอยังวางกลอุบายเพื่อเอาชนะทรัมป์ในนโยบายต่างๆตั้งแต่การสร้างกำแพงตรงชายแดน ทำให้ทรัมป์ไม่ได้งบประมาณอย่างที่หวังไว้ หรือการไม่ยอมผ่านงบประมาณให้จนต้องมีการชัตดาวน์สถานที่ราชการนานเป็นประวัติการณ์ หรือการกดดันให้ทรัมป์ต้องยอมยกเลิกการแถลงนโยบายประจำปี  อ้างว่าเนื่องจากไมมีงบประมาณจากผลของการชัตดาวน์ และท้ายสุดเป็นแกนนำคนสำคัญในการสอบสวนทรัมป์เรื่องยูเครนจนนำไปสู่กระบวนการจะถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่ง ซี่งเธอก็ทำด้วยความระมัดระวังมาก  โดยย้ำว่าไม่ใช่การเสี่ยงทางการเมือง แต่เพื่อจะคงไว้ซึ่งระบบประชาธิปไตยในประเทศ

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ