อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศคนสำคัญ ในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์สหรัฐ-จีน ชี้งัดข้อกันทางการค้า อาจลามเป็นสงครามจริง ถ้าหาทางออกไม่ได้
เฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ผู้มีบทบาทสำคัญในการปรับสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่งสู่ระดับปกติ กล่าวในที่ประชุม บลูมเบิร์ก นิว อีโคโนมี ฟอรัม ในกรุงปักกิ่ง เมื่อวาน ( 21 พ.ย.) ว่า หากสหรัฐและจีน ปล่อยให้ความขัดแย้งทางการค้าดำเนินต่อไปแบบไม่มีขีดจำกัด ผลลัพธ์อาจเลวร้ายยิ่งกว่าที่เคยเกิดในยุโรป
อดีตนักการทูตเบอร์หนึ่งสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปะทุ จากวิกฤติเล็กน้อย และอาวุธในปัจจุบันนี้ ทรงพลังยิ่งกว่าเดิมมาก”
จีนและสหรัฐอยู่ในวังวนพิพาทการค้า 18 เดือน แม้เจรจากันมาแล้วหลายรอบ แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ ขณะความตึงเครียดในด้านอื่นยังคาราคาซัง ปักกิ่งโจมตีวอชิงตันเป็นระยะกรณีส่งเรือรบวนเวียนในน่านน้ำทะเลจีนใต้ ที่จีนถือว่าเป็นดินแดนของตน สหรัฐวิจารณ์ศูนย์กักกันชาวอุยกูร์ของจีน และล่าสุด สภาคองเกรสแสดงท่าทีสนับสนุนการประท้วงยืดเยื้อในฮ่องกง ด้วยการผ่านร่างกฎหมายปกป้อง
“จีนเป็นยักษ์เศรษฐกิจ เราก็เป็น และเราจะต้องแข่งขันกันไปทุกที่ในโลก”
อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ วัย 96 ปี กล่าวว่า ในช่วงสงครามเย็นระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียต แผนลดกำลังอาวุธนิวเคลียร์ของสองประเทศ คือความสำคัญเร่งด่วน แต่ความขัดแย้งกับจีน วอชิงตันไม่มีความตกลงใดมาใช้เป็นกรอบทำงานกับปักกิ่งในฐานะมหาอำนาจทางทหารเลย หากสองฝ่ายต่างมองทุกเรื่องในโลกในเชิงขัดแย้ง อาจเป็นเรื่องอันตรายสำหรับมนุษยชาติ
คิสซิงเจอร์ กล่าวด้วยว่า การเจรจาการค้าเป็นแค่ประเด็นปลีกย่อย ของการเจรจาเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ รวมถึงความตึงเครียดเรื่องฮ่องกง
ต่อข้อถามว่าสถานการณ์ความไม่สงบในเขตกึ่งปกครองตนเองของจีน อาจเป็น จุดเดือด ( flashpoint ) ของสงครามเย็นรอบใหม่หรือไม่ คิสซิงเจอร์ ตอบว่า เขาหวังว่า ประเด็นเร้าอารมณ์สูงเช่นนี้ จะหาทางออกได้ด้วยการเจรจา
คิสซิงเจอร์ เป็นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ สมับประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ที่เคยเดินทางไปปักกิ่งเมื่อปี 2514 เพื่อเจรจาปรับความสัมพันธ์ฉันท์ปกติระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนคอมมิวนิสต์ เขายังเป็นบุคคลที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนให้ความสำคัญ และได้รับการปูพรมแดงต้อนรับเมื่อไปเยือนปักกิ่ง
บนเวทีเดียวกัน เฮนรี พอลสัน อดีตรัฐมนตรีคลัง สมัยโรนัลด์ เรแกน แสดงความเห็นว่า สหรัฐกับจีนกำลังไปผิดทาง และเตือนว่าการเพิ่มกำแพงเรื่องวีซ่า การเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างผู้คน การคุมเข้มทางการค้าและเทคโนโลยี ตลอดจนความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ อาจทำให้สองประเทศและทั้งโลกทรุดลง หากโลกเผชิญวิกฤติการเงินครั้งหน้า เราจะต้องเสียใจเพราะสองยักษ์ใหญ่เศรษฐกิจโลก ไม่มีกลไกที่จะใช้ร่วมมือกันได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง