ข่าว

สหรัฐ-จีน กลับโต๊ะถกการค้าธปท.เตือนรับมือ ค่าเงินป่วน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

.

 

 

 

          “ทรัมป์” เผย “สหรัฐ-จีน” เตรียมกลับสู่โต๊ะเจรจาการค้าอีกครั้ง จุดความหวังสงบศึกรอบใหม่ ขณะ “เงินหยวน” อ่อนค่าสุดรอบ 11 ปี นักเศรษฐศาสตร์เตือนสงครามการค้าส่อฉุดเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย ขณะ “พาณิชย์” เร่งดันส่งออกสินค้าเกษตร ยอมรับห่วงเงินบาทแข็ง ด้าน “แบงก์ชาติ” ลั่นพร้อมร่วมมือทุกฝ่ายหนุนผู้ประกอบการประกันความเสี่ยงค่าเงิน
     

 

 

          ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ เผยนอกรอบการประชุมสุดยอดกลุ่ม 7 ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ (จี7) ที่เมืองเบียร์ริตซ์ ประเทศฝรั่งเศส วานนี้ (26 ส.ค.) ว่า คณะเจรจาการค้าของสหรัฐและจีนจะกลับมาหารือกันอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ หลังจากฝ่ายจีนโทรศัพท์สายตรงถึงเขาเมื่อคืนวันอาทิตย์ (25 ส.ค.) ที่ผ่านมา


          “จีนโทรหาผมเมื่อคืนนี้ บอกว่ากลับมาสู่โต๊ะเจรจากันดีกว่า ดังนั้นเราก็จะกลับมาเปิดเจรจากันอีกครั้ง” ทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าว และบอกว่า เจ้าหน้าที่จีนได้โทรศัพท์หาเขา 2 ครั้งและสนทนากันด้วยดี และว่าพวกเขาต้องการทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ
 

          ถ้อยแถลงของทรัมป์ สอดคล้องกับนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีของจีน ที่ยืนยันวานนี้(26 ส.ค.) ว่า ปักกิ่งมีความตั้งใจที่จะยุติสงครามการค้ากับสหรัฐผ่านกระบวนการเจรจาอย่างสงบ ทั้งยังไม่เห็นด้วยกับการโหมกระพือข้อพิพาท ระหว่างกัน หลังจากผู้นำสหรัฐประกาศรีดภาษีแก้แค้นจีนเพิ่ม ทั้งยังขู่จะสั่งให้บริษัทอเมริกันถอนธุรกิจออกจากจีน


          สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนมีแนวโน้มว่าจะลุกลามบานปลายหนักขึ้น หลังจากทั้ง 2 ฝ่ายออกมาประกาศขึ้นภาษีสินค้าส่งออกตอบโต้กันเมื่อวันศุกร์ (23ส.ค.) โดยจีนจะเก็บภาษีเพิ่มเติมสูงสุด 10% จากสินค้านำเข้าจากสหรัฐมูลค่า 75,000 ล้านดอลลาร์ หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศว่าการเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 250,000 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบันจะถูกเพิ่มเป็น 30% นับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. เป็นต้นไป ส่วนแผนเก็บภาษี 10% จากสินค้าจีนมูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะมีผลบังคับในวันที่ 1 ก.ย. จะถูกเพิ่มเป็น 15%


          จีนยันไม่มีใครได้ประโยชน์
          นอกจากนี้ นายหลิว ยังกล่าวว่า ไม่มีฝ่ายใดที่จะได้ประโยชน์จากสงครามการค้า ไม่ว่าสหรัฐ จีน หรือประชาคมโลก และจีนยังยินดีต้อนรับบริษัทอเมริกัน ทั้งยังจะปฏิบัติต่อบริษัทอเมริกันอย่างเป็นธรรม
     


          “เรายินดีต้อนรับบริษัทจากทั่วโลก รวมถึงสหรัฐให้เข้ามาลงทุนและทำธุรกิจในจีน และเราจะสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุน ปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมอัจฉริยะด้วยการเปิดตลาด  ต่อต้านการปิดกั้นทางเทคโนโลยีและลัทธิกีดกันการค้า ทั้งยังจะปกป้องห่วงโซ่อุปทานให้มีความสมบูรณ์แบบ


          เงินหยวนอ่อนค่าสุดรอบ11ปี
          เงินหยวนซื้อขายในประเทศจีนวานนี้ (26ส.ค.)อ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี ขณะที่เงินหยวนซื้อขายในต่างประเทศแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากข้อพิพาทการค้าจีน-สหรัฐทวีความรุนแรงขึ้นระลอกใหม่ ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสั่นคลอนแนวโน้มเศรษฐกิจโลก


          ทั้งนี้ เงินหยวนซื้อขายในประเทศจีนปรับตัวลงไปทดสอบระดับ 7.1500 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. ปี2551 ส่วนเงินหยวนซื้อขายในตลาดต่างประเทศลดลงไปทดสอบระดับ 7.1850 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการซื้อขายเงินหยวนในตลาดต่างประเทศเมื่อปี 2553


          บีโอไอเตรียมแจงแผนดึงทุนนอก

          นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะเลขานุการในคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) กล่าวว่า งานสำคัญที่ต้องวางแผนขับเคลื่อนร่วมกันใน ครม.เศรษฐกิจ ได้แก่1.การส่งออก2.การวางแผนการชักจูงนักลงทุนต่างชาติ 3.การลงทุนโครงการขนาดใหญ่4.การขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยว


          ทั้งนี้ครม.เศรษฐกิจวันที่ 30 ส.ค.นี้จะมีวาระการประชุมที่สำคัญ 2 วาระ คือ1.การขับเคลื่อนการส่งออก และการส่งเสริมการลงทุน 2.การส่งเสริมการลงทุน ซึ่งทางบีโอไอจะรายงานแผนงานการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ต้องการเข้ามาลงทุนในอาเซียนเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า รวมไปถึงบริษัทในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อุตสาหกรรมไฮเทคโนโลยีซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในรอบ 20 ปีที่จะมีการย้ายฐานการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย


          “จุรินทร์”เร่งส่งออกเกษตร
          นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับคณะทำงานติดตามสถานการณ์ส่งออก (วอร์รูม) ภายใต้คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์)ว่าศักยภาพการส่งออกสินค้าไทยลดลงมาก จากค่าเงินบาทแข็งค่า ทำให้ราคาสินค้าเกษตรไทยสูงขึ้นส่งผลให้เสียตลาดบางส่วนให้กับคู่แข่ง


          ทั้งนี้ตลาดเป้าหมายที่จะเร่งส่งออกข้าวในระยะเร่งด่วน ได้แก่ อิรัก เดิมเคยนำเข้าข้าวจากไทยปริมาณมาก แต่หลายปีที่ผ่านมา ไทยเสียตลาดนี้ เพราะผู้ส่งออกไทยส่งออกข้าวไม่มีคุณภาพ ทำให้อิรักเสียความมั่นใจ และเลิกนำเข้าจนถึงปัจจุบัน แต่ได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศ จัดทำแผนเร่งรัดการส่งออกแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)


          นอกจากนี้ ยังมีจีน ที่ไทยจะเร่งเจรจาซื้อขายข้าวอีก 300,000 แสนตันสุดท้าย จากสัญญาจีทูจี 1 ล้านตัน และก่อนหน้านี้ได้ส่งมอบแล้ว 700,000 ตัน โดยใน 300,000 ตันที่เหลือนี้ จะขอให้จีนนำเข้าข้าวหอมมะลิไทยเพิ่มขึ้น จากปกติที่นำเข้าข้าวขาวเป็นส่วนใหญ่


          บาทแข็งกดดันแข่งขันการค้า
          นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การที่จีนปรับแผนการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ 5–10% รวม 5,078 รายการ มูลค่า 75,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งมีแผนขึ้นภาษีรถยนต์ 25% และชิ้นส่วนยานยนต์ 5% เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2562 กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่ามาตรการของจีนค่อนข้างเฉพาะเจาะจงและมุ่งเป้าสินค้าที่เป็นฐานเสียงสำคัญของประธานาธิบดีโดนัลป์ ทรัมป์ เป็นหลัก เช่น ในแถบ Midwest และตอนใต้ ที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรผู้ส่งออกถั่วเหลือง 


          นอกจากนั้น ประเด็นค่าเงินก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยในตลาดที่สาม ค่าเงินหยวนมีแนวโน้มลดลงต่อเรื่องในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยวานนี้ (26 ส.ค.) ค่าเงินหยวนในประเทศซื้อขายในตลาดเอเชียร่วงลงมาอยู่ที่ 7.1487 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ อ่อนค่าสุดในรอบกว่า 11 ปี นับตั้งแต่ต้นปี 2551


          ธปท.เตือนรับมือค่าเงินผันผวน
          นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หลังสหรัฐฯ ประกาศตอบโต้รัฐบาลจีนที่ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ รวมมูลค่ากว่า 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในจำนวนนี้ครอบคลุมสินค้าทางการเกษตร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เคมีภัณฑ์ สิ่งทอ และรถยนต์ ทำให้สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศมีความเปราะบางมากขึ้น 


          ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กที่มีเศรษฐกิจเปิด คงหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อการส่งออกได้ยาก ทั้งนี้ ภาครัฐได้ช่วยประคองเศรษฐกิจในด้านการใช้จ่ายในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หากเทียบกับประเทศในภูมิภาค การส่งออกของไทยนับว่ายังกระจายตัว ทั้งในด้านประเทศคู่ค้าและด้านสินค้าที่ส่งออก ทำให้การลดลงของการส่งออกไทยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาน้อยกว่าหลายๆ ประเทศ เช่น กลุ่มที่ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์


          ในด้านตลาดการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน มีแนวโน้มผันผวนสูงและอ่อนไหวต่อข่าวสารที่เกิดขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดย ธปท. พร้อมร่วมมือกับกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมไทย และธนาคารพาณิชย์ ในการให้ความรู้เรื่องเครื่องมือต่างๆ แก่สมาชิกในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ