มาตรการคว่ำบาตรเต็มรูปแบบต่ออิหร่านที่สหรัฐเคยยกเลิกไปหลังตะวันตกบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ ในปี 2558 ถูกรัฐบาลทรัมป์งัดมาใช้ใหม่
ทำความรู้จักกับมาตรการแซงชันที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นำกลับมาใช้สกัดกั้นอิทธิพลและศักยภาพทางทหารของอิหร่านอีกครั้งหนึ่ง หลังตัดสินใจพาสหรัฐถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน เมื่อ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา มาตรการแซงชันรอบใหม่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ โดยไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ โวว่า นี่คือชุดแซงชันต่ออิหร่านแบบหนักหน่วงที่สุดแล้วตั้งแต่เคยมีมา
1 พลังงาน การเดินเรือและการเงิน
เป้าหมายมาตรการกดดันอยู่ที่การส่งออกพลังงาน ท่าเรือ การขนส่งทางเรือและบริษัทต่อเรือ ตลอดจนภาคการเงิน โดยเฉพาะการประกัน ธุรกรรมธนาคารกลางและธนาคารต่างๆในอิหร่าน
ผู้ใดค้าขายน้ำมันอิหร่าน หรือทำธุรกรรมกับระบบธนาคารอิหร่าน จะถูกลงโทษ บริษัทต่างชาติที่ละเมิดมาตรการเหล่านี้ อาจถูกปรับหรือถูกอัปเปหิจากระบบการเงินสหรัฐ ซึ่งเป็นการป้องปรามที่ส่งผลมาก เพราะบริษัทส่วนใหญ่ทั่วโลกยังต้องการค้าขายเป็นเงินดอลลาร์
2.โจมตีหัวใจเศรษฐกิจอิหร่าน
รายได้จากน้ำมัน คือรายรับของรัฐอิหร่านราว 80% งบประมาณรายจ่ายของอิหร่านราว 60% ที่กระจายให้สถาบันและธุรกิจของสหรัฐนั้น ต้องพึ่งพารายได้จากน้ำมันเป็นหลัก การไม่สามารถเข้าถึงระบบการเงินระหว่างประเทศ ทำให้การรับชำระเงินเป็นเรื่องยากมาก
จริงๆแล้วในวันนี้ เป็นวันเริ่มใช้มาตรการแซงชั่นครั้งใหม่รอบสอง หลังจากรอบแรกมีผลเมื่อ 7 สิงหาคม สหรัฐห้ามการซื้อขายกับรัฐบาลอิหร่านเป็นสกุลดอลลาร์ หรือห้ามซื้อขายเงินสกุลเรียลกับอิหร่าน ห้ามซื้อพันธบัตรอิหร่าน ห้ามซื้อขายทองคำ โลหะมีค่า อลูมิเนียม เหล็กกล้า คาร์บอน หรือกราไฟต์ อะไหล่ยานยนต์ การบินพาณิชย์ ห้ามนำเข้าพรมหรืออาหาร
แผนแซงชันอิหร่านมีผลกระทบแล้ว นับตั้งแต่ทรัมป์ประกาศถอนตัวจากแผนปฏิบัติการร่วมเบ็ดเสร็จ (เจซีพีโอเอ) ที่เรียกสั้นๆว่าข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน เมื่อ 8 พฤษภาคม หลายประเทศเริ่มลดการซื้อน้ำมันมาตั้งแต่นั้น อิหร่านลดการผลิตน้ำมันจาก 3.8 ล้านบาร์เรลในเดือนพฤษภาคม เหลือวันละ 3.3 ล้านบาร์เรลในเดือนตุลาคม รายได้หายไปราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน
3.สหรัฐต้องการข้อตกลงที่ดีกว่า
มาตรการกดดันสูงสุดต่ออิหร่าน คือเครื่องมือต้อนผู้นำอิหร่านจนมุม บังคับให้มานั่งเจรจาใหม่เพื่อทำข้อตกลงที่ดีกว่าสำหรับการควบคุมพัฒนานิวเคลียร์ ยุติโครงการขีปนาวุธ และยุติการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายทุกกลุ่มในตะวันออกกลาง รวมถึง ฮิซบุลเลาะฮ์ ฮามาส และอิสลามิก ญีฮัด ปาเลสไตน์ ตลอดจนถอนทหารทั้งหมดจากสายบัญชาการในซีเรีย และสลายกองกำลังชีอะฮ์ในอิรัก
เงื่อนไขที่สหรัฐต้องการเห็นก่อนยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร ล้วนเป็นผลประโยชน์เกี่ยวพันกับอิสราอล ที่มองอิหร่านเป็นศัตรูอันตราย
4.ผลกระทบต่อราคาน้ำมัน
อิหร่านเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ในตลาดโลก ตัวเลขส่งออกในปี 2561 อยู่ที่ราว 2.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มเกือบ 2 เท่านับจากปี 2558 ปีที่บรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์และได้รับการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นหลังทรัมป์ประกาศท่าทีใหม่ แต่ซาอุดีอาระเบียออกมารับประกันว่าจะเติมเต็มปริมาณน้ำมันที่หายไป กับมีหลายประเทศเพิ่มการผลิต
การเพิ่มการผลิต ประกอบกับความต้องการจากตลาดเกิดใหม่ลดลง ฉุดราคาน้ำมันตกลงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา กระนั้น ตลาดน้ำมันโลกอาจจะยังผันผวนได้ในอนาคตอันใกล้ จากการที่น้ำมันอิหร่านหายไปจากตลาด 6.-70% ซึ่งอาจไม่ดันราคาพุ่งทะยาน แต่มีผลต่อดุลยภาพอุปสงค์กับอุปทาน
5.ผลกระทบจากมาตรการแซงชันต่ออิหร่าน
ค่าเงินเรียลอิหร่านเสื่อมค่าแล้ว 70% ในปีนี้ ขณะที่เงินเฟ้อพุ่งทะยาน การส่งออกพลังงานอิหร่านลดลงเกือบ 1 ใน 3 นับจากเดือนมิถุนายน การนำเข้าสินค้าก็เผชิญอุปสรรค ยาหลายชนิดที่จำเป็นสำหรับช่วยชีวิตคน หายากและแพงขึ้นมาก
แต่มาตรการแซงชันอิหร่านจะได้ผลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถบังคับใช้ได้เข้มข้นแค่ไหน และอิหร่านที่มีประสบการณ์กับการรับมือมาตรการคว่ำบาตรสหรัฐมาหลายปี จะปรับตัวและสามารถหลบหลีกอย่างไร
บาร์บารา สลาวิน ผู้เชี่ยวอิหร่านสภาแอตแลนติกในสหรัฐ แสดงความเห็นว่า นี่ไม่ใช่โลกในปี 2555 ที่โลกผนึกกำลังแซงชันอิหร่าน แต่เป็นรัฐบาลทรัมป์กำลังพยายามบังคับให้ทั้งโลก เดินไปตามนโยบายที่ส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ
นักวิชาการเชื่อว่า สหรัฐประสบความสำเร็จในแง่สกัดบริษัทใหญ่ แต่อิหร่านจะยังขายน้ำมันได้ต่อไป โดยเฉพาะขายให้กับจีน ยังไม่รวมกับการละเว้นให้กับพันธมิตร 8 ประเทศ อย่างอินเดีย เกาหลีใต้ และอาจจะญี่ปุ่น ที่ยังนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านได้
ในมุมการเมือง การประกาศมาตรการกดดัน มีแต่จะเข้าทางฝ่ายอนุรักษ์นิยมสุดขั้วในอิหร่าน ที่มักวิจารณ์นโยบายญาติดีกับตะวันตกเสมอมา ยิ่งไปกว่านั้น การถอนตัวฝ่ายเดียวของสหรัฐ จุดความแตกแยกร้าวลึกข้ามแอตแลนติก และขณะนี้ ยุโรปอยู่ข้างเดียวกับจีนและมอสโกแล้ว
ส่วนก้าวต่อไปของอิหร่าน ดูจากอดีต รัฐบาลเตหะรานอาจกระชับสัมพันธ์กับประเทศยุโรป ที่ร่วมลงนามข้อตกลงนิวเคลียร์กันมา และต้องการรักษาไว้ หรืออาจตอบโต้กลับด้วยการโจมตีผลประโยชน์อมริกันในตะวันออกกลาง เพิ่มการคุกคามเรือสหรัฐในช่องแคบฮอร์มุตซ์ หรือโจมตีไซเบอร์ แต่ไม่มีวี่แววว่าจะเลือกหนทางที่สาม นั่นคือการเจรจาใหม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง