บันเทิง

เปิดใจกับคำว่า "พระเอก" ในแบบ 'พอร์ช' 

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

 "พอร์ช" ศรัณย์ ศิริลักษณ์ เปิดความรู้สึกกับการเป็นพระเอกในวันนี้ พร้อมเคลียร์ความรักในใจกับ "ดาว"พิมพ์ทอง 

    ทีมบันเทิง คมชัดลึก -   กำลังเข้มข้นอยู่ในขณะนี้ สำหรับละคร “สุภาพบุรุษชาวดิน” ที่นำแสดงโดย “พอร์ช” ศรัณย์ ศิริลักษณ์ และ “แซมมี่ เคาวเวลล์” ซึ่งเป็นการกลับมาเจอกันของคู่พระนางสุดซี้คู่นี้ ในจอดราม่าหนัก แต่นอกจอคู่นี้สนุกสนานกันมาก โดย “บันเทิง คมชัดลึก” มีโอกาสเปิดใจพระเอกหนุ่มทั้งในเรื่องของละครที่กำลังโกยเรตติ้งและชีวิตส่วนตัวที่ดูจะมีการเปลี่ยนหนักมากในช่วงที่ผ่านมา

 

    @@ ผลงานล่าสุด
    กระแสเป็นไงบ้างสำหรับละคร “สุภาพบุรุษชาวดิน” 
    “ฟีดแบ็กดีมากนะเพราะตอนละครออน เราตื่นเช้าไปกินข้าวตอนเช้าๆ ไปกินกาแฟ ปาท่องโก๋ ปกติไปก็มีคนจำได้บ้าง แต่ตอนนี้ไปถึงก็มีคนจำได้เยอะมาก เรียกพี่วศิน (ชื่อในละคร) เขาก็แซวว่าพี่วศินมานั่งกินปาท่องโก๋ได้ยังไง รวยแล้วไม่ใช่เหรอ เราก็เจอตลอด เราเลยรู้สึกว่าฟีดแบ็กดี ผลการตอบรับโอเคมากนะผมว่า”

 

    ถูกใจเรื่องนี้ตรงไหน
    “ผมว่าบทมันดูหลากหลายดี บทมันดูได้ทำอะไรหลายอย่าง มันเลยน่าเล่น ด้วยความที่ผมชอบบทที่เป็นอะไรแบบนี้ด้วย บทที่พระเอกไม่ได้เป็นคนที่รวยมาก สู้ชีวิต ชอบ เป็นคนที่ชอบพล็อตหนังแบบนี้อยู่แล้ว อ่านหนังสือหรือดูหนังก็ชอบแบบนี้ เพราะเรารู้สึกว่าหนังชีวิตมันจะได้ข้อคิดอะไรเยอะ แล้วก็เรื่องนี้มันคล้ายกับสิ่งที่เราชอบ มันเป็นพล็อตหนังไทยมากๆ เลยนะ สุภาพบุรุษชาวดิน เวอร์ชั่นก่อนเป็นพี่ออย (ธนา สุทธิกมล) พี่ชายผมเล่น ผมว่าบทมันโอเค แล้วดูเป็นคนสู้ชีวิต  บทมันดูมีอะไรเล่น คือจริงๆ ผมเป็นคนที่เล่นมาแล้วหลายบทบาท บทบาทแบบนี้ก็เคยมีที่เล่นมาแล้ว แต่เรื่องนี้มันได้เยอะ ได้ทำอะไรหลายอย่างมาก ทั้งขายอาหารตามสั่ง ขายสาคู เข็นผัก ขายผัก เป็นนักศึกษาแพทย์ เป็นพนักงานโรงแรม คือเยอะมาก อาชีพที่พระเอกทำ ตอนที่อ่านบทมีคิดนะคนอะไรชีวิตรันทด ทำอะไรเยอะขนาดนี้ (หัวเราะ) แต่มันได้เห็นถึงมุมมองหนึ่งของคนไทยที่มีแบบนี้เยอะ สำหรับคนที่สู้ชีวิต แล้วก็ไม่ท้อ เพราะว่าท้อเป็นแค่ผลไม้ชนิดหนึ่ง (หัวเราะ) แต่มันไม่มีสำหรับตัววศิน เพราะตัวละครตัวนี้คือทำทุกอย่างที่ให้ชีวิตอยู่ได้ เพื่อเลี้ยงคนที่เรารักและดูแลคนที่เรารัก ซึ่งก็เหมือนชีวิตเราอย่างหนึ่ง คือเราก็ทำทุกอย่างเพื่อเลี้ยงครอบครัว"

 

 

    ถ้ามองแล้วรู้สึกว่าตัว“วศิน”อะไรที่เหมือนเรา
    “ผมว่าที่เหมือนพอร์ชเหรอ พอร์ชรู้สึกว่าถ้าถึงจุดหนึ่งที่มันต้องทำ ก็ทำได้ อย่างตัววศินคือบางอย่างเขาไม่เก่งในเรื่องนี้เลย อย่างการเป็นพนักงาน แต่เขาก็ทำเพราะว่าสามารถเลี้ยงชีพได้ ผมว่าก็เหมือนตัวผมที่อยากจะทำอะไรที่มันทำให้เราเลี้ยงตัวเองและครอบครัวและเป็นประสบการณ์ชีวิตเรา ผมก็ทำ เป็นคนที่ชอบทำอะไรใหม่ๆ หรือหาอะไรใหม่ๆ ทำ แต่ไม่ได้เป็นคนเบื่อง่ายนะ อย่างช่วงนี้บ้าเล่นสเกตบอร์ด ทั้งที่เมื่อตอนเด็กๆ ก็เล่นนะ แล้วก็เลิกไป ตอนนี้กลับมาเล่นทุกเช้า นอน 4 ทุ่ม ตื่นมาเล่นสเกตบอร์ดตอน 6 โมงเช้า ดูดีป่ะ (หัวเราะ) นี่เรื่องจริงนะ เป็นสเกตบอร์ดไฟฟ้า เชื่อไหมว่าตอนนี้เล่นไป 120 กิโลเมตรแล้ว ระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ คือผมเป็นคนชอบทำอะไรใหม่ๆ ตอนนี้ว่างๆ ก็นัดเพื่อนไปเขาใหญ่ นัดเพื่อนไปต่างจังหวัดก็ไปเลย ไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ ก็ตอบโจทย์กับในละครที่ได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง”

 

 

    ตัวละคร“วศิน”สอนอะไรบ้าง
    “ผมว่าตัวละครตัวนี้ทำให้เห็นถึงคนสู้ชีวิต ซึ่งเราก็อยากให้คนไทยดูแล้วเก็บไปคิดนะ เรื่องนี้เป็นแง่คิดดีๆ ที่ว่าไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไร เราก็สามารถผ่านมันไปได้ เพราะเราสู้ เราไม่ท้อ อย่างตัวพระเอกในเรื่องคือโดนกลั่นแกล้ง แต่ก็ทำทุกอาชีพที่ทำแล้วได้เงิน สามารถทำได้ทุกอย่าง ถึงจะโดนแกล้งแต่ก็สู้ต่อไป คือทำงานได้เงินและเป็นอาชีพสุจริต”

 

 

    เรื่องนี้วศินสู้ชีวิตและอดทนมากแล้วถ้าพอร์ชเจอจะอดทนเท่าไหม
    “แล้วแต่สถานการณ์ ถ้าทำไปแล้วเกิดปัญหากับอาชีพเราก็ไม่ทำ เวลามีปัญหาอะไร โดนคนแกล้งอะไร ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือยกมือไหว้ไว้ก่อน อันนี้คือผมนะ ไหว้ไว้ก่อน แต่ถ้าอะไรมากเกินก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยเราก็ได้นับหนึ่งสองสามในใจ อย่างที่พ่อสอนคือให้นับหนึ่งสองสามในใจก่อน ถ้านับแล้วยังไม่โอเคก็คงต้องมีการคุยกันเคลียร์กัน แต่ไม่ถึงกับเป็นปัญหา ก็คุยกันด้วยเหตุผล คือส่วนตัวเป็นคนใจอ่อน พ่อก็เลยสอนให้นับหนึ่งสองสาม (ยิ้ม)”

 

 

 

 

เปิดใจกับคำว่า "พระเอก" ในแบบ 'พอร์ช' 

 

 

เปิดใจกับคำว่า "พระเอก" ในแบบ 'พอร์ช' 

 

 

    @@ พระเอกชื่อ "พอร์ช" 

    "พอร์ช”มองชีวิตความเป็นพระเอกของตัวเองยังไง
    “เอามุมมองของพอร์ชนะ ถ้าสมัยก่อนพระเอกต้องเป็นทั้งในจอและนอกจอ ซึ่งตัวผมเองผมคิดว่าละครมันก็เป็นบทบาทหนึ่ง เราต้องแสดงบทบาทออกมา แต่ชีวิตจริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็ยังต้องเป็นคนดีอยู่ ผมว่าผมไม่เอาชีวิตจริงไปปนกับละคร ว่าคุณต้องเป็นพระเอกตลอดเวลา เพราะผมเป็นคนสบายๆ มาก แต่เราก็ยังยึดมั่นในการทำความดีอยู่นะ ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น บทบาทก็คือบทบาท ตัวตนของเราก็คือตัวตนของเรา ถ้าแฟนๆ จะรักเราก็ต้องรักเราที่เป็นตัวเรา เพราะส่วนใหญ่ผมเจอคนไม่ได้มานั่งเหมือนในละคร คนเวลาเจอจะชอบบอกว่าทำไมตัวจริงตลกจัง ตัวจริงฮามาก ตัวจริงดูไนซ์ เพราะผมเป็นคนที่ไม่ชอบทำตัวเป็นดารา”

 

 

    จนถึงวันนี้ก็ยังยึดตัวตนไม่ได้เป็นพระเอกตลอดเวลา
    “ใช่ ก็ไปเจอ เอาจริงเรื่องเดียวที่ผมอาจจะต้องเปลี่ยนในฐานะของการเป็นพระเอกคือการแต่งตัว เพื่อนชอบบอกว่าพอร์ชเมิงแต่งตัวดีๆ (หัวเราะ) เพราะว่าเราแต่งตัวแย่มาก แต่จริงๆ ขึ้นอยู่กับว่าผมไปที่ไหน อย่างเวลาผมออกมาห้างสรรพสินค้าก็แต่งดีหน่อย จริงๆ ผมเป็นคนชอบแต่งตัวนะ แต่บางทีไปแค่หน้าปากซอยบ้านจะแต่งให้มันดีอะไรนักหนา ขี้เกียจ คือผมไม่ได้เป็นคนแต่งตัวซกมก แต่ก็ไม่ได้เป็นคนแต่งตัวเนี้ยบตลอดเวลา เป็นคนชอบใส่รองเท้าแตะแค่นั้นเอง เวลาคนเห็นก็จะรู้สึกว่าในทีวีหล่อจังว่ะ แต่ทำไมตัวจริงแต่งตัวแย่จัง (หัวเราะ) อันนั้นทุกคนนะครับ ผมจะบอกไว้เลยว่าดาราก็เป็นคนคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็มีคนที่ทำตัวเองหล่อตลอดเวลา แต่ไม่ใช่ผม (หัวเราะ)”

 

 

    ดูชีวิตเปลี่ยนไปตื่นเช้าไม่เป็นเพลย์บอยแล้ว
    “นอนเร็ว ดูดีป่ะ แต่ก็มีบ้างแฮงก์เอาท์ สัปดาห์หนึ่งออกสักรอบหนึ่ง เดี๋ยวนี้ออกแค่วันเดียว คือเบื่อๆ ปกติถ้าไม่ทำงานเราจะตื่นบ่าย ใช้ชีวิตแป็บนึงเย็นแหละ ออกไปข้างนอก แต่เดี๋ยวนี้ตื่นเช้ากินข้าว เที่ยงกินข้าว ตกเย็นเริ่มง่วงแล้ว (หัวเราะ) หาข้าวกิน สักสามสี่ทุ่มเปิดซีรีส์ดูเคลิ้มหลับ (หัวเราะ) อย่างเมื่อก่อนออกไปแฮงก์เอาท์กับเพื่อน 3 ทุ่มเจอกันที่ร้าน เดี๋ยวนี้ไปทุ่มหนึ่ง ไปเกือบคนแรกเลย เพื่อนมาอยู่ประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง ดึกแล้วก็กลับเพราะง่วง ตื่นเช้า (หัวเราะ) คืออาจจะเพราะว่าเบื่อ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตคุ้มไปแล้วเราเลยอยากใช้ชีวิตกลางวันบ้าง (หัวเราะ) ได้ทำอะไรหลายอย่าง คือช่วงชีวิตมาเปลี่ยนเมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว ที่อยู่คนเดียวไปพักหนึ่งแล้วติดเลย (หัวเราะ)” 

 

 

    การอยู่คนเดียวบอกอะไรกับตัวเราบ้าง
    “รู้สึกว่าชีวิตเรามีอะไรให้ทำเยอะกว่าเดิม ตื่นเช้ามารู้สึกว่าได้ทำอะไรหลายอย่างดี ปกติเวลาไม่ทัน แต่เดี๋ยวนี้เวลาเหลือมากเลย เลยมีอะไรทำเยอะ”

    แต่เมื่อก่อนเราเป็นคนขี้เหงามากนะ
    “ตอนนี้ไม่เหงาแล้ว เพราะอยู่คนเดียวสบายใจ (หัวเราะ) จริงๆ ก็เหงาอยู่เหมือนเดิม แค่ว่าช่วงนี้เรามาใช้ชีวิตด้วยตัวเองดู การตื่นเช้าสำคัญมากเลย เพราะได้ทำนั่นทำนี่ ด้วยตัวเองดู อย่างวันก่อนขับรถไปพัทยา จองห้องไว้คืนหนึ่ง แล้วไปอยู่คนเดียวคืนหนึ่ง แล้วอีกวันขับรถกลับ โอเคนะ คือเมื่อก่อนเราเป็นคนติดเพื่อน ไม่ชอบทำอะไรคนเดียว ทำอะไรคนเดียวไม่ได้ เพราะรู้สึกเกร็ง รู้สึกอึดอัดตัวเอง แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว เพราะเริ่มปรับตัว เข้าใจที่เวลาไปไหนแล้วมีคนมอง และด้วยสมัยนี้ด้วย อย่างเป็นพระเอกสมัยก่อนมันไม่ได้ ไปเที่ยวยังไปไม่ได้เลย แต่เดี๋ยวนี้คนยอมรับมากขึ้น เข้าใจมากขึ้น เดี๋ยวนี้คนเห็นดาราเขาก็เฉยๆ ทำให้เราสบายขึ้นด้วย”

 

 

 

 

เปิดใจกับคำว่า "พระเอก" ในแบบ 'พอร์ช' 

 

 

 

    @@ ปลูกต้นรักอีกครั้ง
     ตอนนี้สถานะเราโสดสนิทไหม

    “โสดแต่ยังไม่สนิทมาก อย่างที่ทุกคนรู้ว่ากลับไปคุยกันกับดาว (ดาว พิมพ์ทอง) แต่ยังไม่มีสถานะ”

 

    เคลียร์ความในใจกันแล้ว
    “ก็คุยกันแล้ว จริงๆ ก่อนหน้านี้ผมไปงานวันเกิดพี่ชายเขา ก็เจอครอบครัวเขา ผมเข้าใจนะว่าก่อนหน้านี้เขาเองก็มีปมในใจ ก็คุยกันแล้ว เขาก็โอเค แต่อย่างที่บอกว่าตอนนี้เรายังไม่มีสถานะ แต่ก็ยังคุยกัน เจอกันบ้าง ก็ค่อยเป็นค่อยไป”

 

 

    ดูเหมือนพอร์ชอยากกลับมาเหมือนเดิม
    “ก็อยากนะ เพราะเขาเป็นคนดี ซึ่งผมเองที่เป็นคนไม่ดี ตอนนั้นผิดที่เราเอง เพราะฉะนั้นถ้าจะแก้ก็ต้องแก้ที่เรา เขาก็ทำตัวปกติ ตอนนี้เราก็พร้อมที่จะแก้ อย่างที่บอกว่าช่วงนี้เราอยู่กับตัวเองมากขึ้น ก็ทำให้เราได้คิด”

 

    อะไรที่เราต้องแก้เพื่อรักครั้งนี้
    “เริ่มจากการปรับตัวเองให้อยู่กับคนสองคน บางทีเราอาจจะติดกับการใช้ชีวิตคนเดียว หรือมองตัวเองก่อน ทำให้ชีวิตคู่แย่ คือเราต้องมองว่าการที่เราจะใช้ชีวิตโดยมีคนอีกคนด้วยเราต้องทำปรับตัว ที่ผ่านมาเราได้กลับมาทบทวนตัวเอง ตอนที่เราอยู่คนเดียว เราได้มองตัวเองว่าการใช้ชีวิตคนเดียวกับสองคนมันไม่เหมือนกัน การที่เราจะใช้ชีวิตสองคนบางเรื่องเราก็ต้องคิดถึงเขาด้วย และคิดถึงเขาก่อน แต่ส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้เราจะใช้ตัวเองเป็นหลัก ก็เลยเกิดเรื่อง เพราะเราเอาตัวเองก่อน เราเป็นคนแบบนี้ไง ถ้าเราจะมีเขา เราก็ต้องปรับ”

 

    ตอนใช้ชีวิตคนเดียวมีคิดถึงเขามั้ย
    “เป็นปกติ เพราะบางทีมีไปเจอ ไปเห็นอะไร ก็แอบคิดว่าถ้าเขาอยู่ตรงนี้ด้วยก็คงจะดี”

    เรียกว่าเร่งทำคะแนน
    “ผมไม่ได้เร่งนะ ไม่รีบด้วย ถามว่ากลัวจะมีใครเข้ามาหาเขาตอนนี้ไหม ไม่หรอก เพราะเราสองคนรู้อยู่แล้วว่ารู้สึกกันยังไง ไม่รีบถึงเรื่องความชัดเจน เหมือนเรากลับไปที่จุดเริ่มต้น เพราะตอนนั้นเราเริ่มต้นเร็วไป กลับมาคราวนี้เราเลยไม่อยากรีบ ค่อยๆ ไป ได้เรียนรู้กันและกันมากขึ้น”

    ความเปลี่ยนแปลงของผู้ชายชื่อ “พอร์ช” ศรัณย์ 

 

 

เปิดใจกับคำว่า "พระเอก" ในแบบ 'พอร์ช' 

 

 

เปิดใจกับคำว่า "พระเอก" ในแบบ 'พอร์ช' 

 

    

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ