บันเทิง

เปิดความเพอร์เฟกนิสต์ของ  'เจษ-เจษฎ์พิพัฒ'

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

สัมภาษณ์พิเศษเปิดใจกับพระเอกหนุ่มที่น่าจับตามองอีกคนของวงการบันเทิงในตอนนี้  อย่าง "เจษ" เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ 


    ทีมบันเทิง คมชัดลึก -   เป็นพระเอกสายเลือดใหม่ที่กำลังผลิดอกออกผลทาง “ช่องวัน 31” อย่างงอกงาม สำหรับพระเอกหนุ่ม “เจษ” เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ ที่ล่าสุดกำลังมีผลงานแสดงท้าทายความสามารถเรื่อง "สงครามนักปั้น ซีซั่น 2” สบโอกาส “บันเทิง คมชัดลึก” เลยขอจับเข่าคุยกับนักแสดงหนุ่มถึงบทบาท ชีวิตและหัวใจของเขาในตอนนี้
 

    *** ผลงานที่รัก ***
    ผลงานตอนนี้ “สงครามนักปั้น ซีซั่น 2” เป็นอย่างไรบ้าง
    "สงครามนักปั้น ซีซั่น 2 กำลังเข้มข้นมากขึ้น ซีซั่นนี้ก็จะเอาสิ่งต่างๆ ที่ผิดพลาดจากซีซั่น 1 มาปรับปรุงแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นวิธีการเล่าเรื่องหรือคาแรกเตอร์ของตัวละคร เรื่องนี้ผมก็ยังรับบทเป็นทรงโปรดเหมือนเดิม จากซีซั่น 1 ถามว่าบทโตขึ้นไหม เขาก็เข้าใจความรักมากขึ้น จากตอนแรกที่เขาคิดว่าเขารู้ทุกอย่างแต่ในความเป็นจริงเขาไม่รู้อะไรเลย พอรู้แล้วว่าเขาผิดพลาดอะไร เขาก็พยายามที่จะแก้ไข และทุกอย่างในซีซั่น 2 ทำด้วยความรักทั้งหมด ถามว่าร้ายไหม ผมว่าเขาไม่ร้ายเท่าซีซั่นแรกนะ ตอนเปิดตัวอาจจะดูร้ายมากแต่เดี๋ยวคนก็จะเข้าใจมากขึ้น"

 


    กระแสตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง 
    "ดีนะ กระแสจริงๆ ก็ตรงตามที่เราตั้งใจไว้ ทั้งทีมงานและนักแสดงเอง ในส่วนของผม โจทย์ก็คือทำอย่างไรให้คนที่ดูเป็นคนไม่ดี ดูเป็นคนร้าย ให้คนรัก-เชียร์ แม้จะทำอะไรร้ายๆ ซึ่งคนดูก็เห็นในสิ่งที่เราต้องการเสนอ อย่างซีซั่นนี้ เข้มข้นมากขึ้น การกระทำรุนแรงมากขึ้น เลิฟซีนก็ดุดันขึ้น"

 

    เป็นพระเอกที่เล่นเลิฟซีนมาเยอะเหมือนกัน
    "จริงเหรอ (ยิ้ม) ส่วนตัวผมไม่ซีเรียสเรื่องฉากเลิฟซีน แต่จะเป็นห่วงฝ่ายผู้หญิงมากกว่า คือเราเป็นผู้ชายไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว แต่ก่อนจะเล่นเราต้องคุยกับผู้กำกับ คุยกับนักแสดงที่เราเล่นด้วยก่อนว่าอะไรได้แค่ไหน ถ้าเราทำแบบนี้โอเคไหม คือต้องเคารพในสิทธิของแต่ละคน อย่างเรื่องนี้คือถ่ายไปออนไปด้วย ผมก็เลยรู้สึกว่ามันก็มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี สิ่งที่ไม่ดีคือเราต้องเร่งถ่ายให้ทันออนแอร์ สิ่งที่ดีคือเราสามารถปรับแก้กระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ จากคนดูได้ คนดูชอบอะไรเราก็จะใส่สิ่งนั้นเพิ่มให้ ถ้าไม่ชอบอะไรเราก็ปรับปรุงให้ดีขึ้น ยอมรับว่าบทก็เปลี่ยนบ่อยเพราะมันค่อนข้างเรียลไทม์ ถามว่าเริ่มชินไหมก็เริ่มชินละ (ยิ้ม) เพราะช่องวันก็เป็นแบบนี้แทบทุกเรื่อง คือบางเรื่องที่เขาต้องการกระแสคนดูเขาก็ตั้งใจถ่ายไปออนไป " 

 

 

เปิดความเพอร์เฟกนิสต์ของ  'เจษ-เจษฎ์พิพัฒ'

 

 

 

    หลังจากละครเรื่องนี้แล้ว มีงานอะไรอีกบ้าง
    "ปีหน้าก็จะมีละครอีกเรื่องหนึ่งกับช่องวัน ก็ต้องรอดูว่าเป็นเรื่องไหน เล่นกับใคร น่าจะเป็นช่วงต้นปี ซึ่งเรื่องนี้เป็นบทที่ผมไม่เคยเล่นมาก่อน เป็นบทที่ค่อนข้างยาก และเรื่องนี้ผมได้ประกบคู่กับนักแสดงอีกคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเล่นกับช่องวัน เป็นระดับบิ๊กเหมือนกัน ตอนนี้ผมก็พูดอะไรมากไม่ได้"

 

    สัญญากับ “ช่องวัน” เหลืออีกเยอะไหม 
    "เหลืออีกประมาณ 2 ปี ที่ผ่านมาทางช่องก็ป้อนงานให้เรื่อยๆ ส่วนใหญ่เราก็ดูตามบทและความเหมาะสม คือไม่จำเป็นว่าทุกคนต้องมีละครต่อๆ กันเสมอไป การมีละครต่อๆ กันไม่ได้แปลว่ามันดีเสมอไป ต้องดูว่าบทบาทมันดีกับเราไหม พัฒนาจากเรื่องที่แล้วหรือเปล่า"

 

 

เปิดความเพอร์เฟกนิสต์ของ  'เจษ-เจษฎ์พิพัฒ'

 

    ***แผนอนาคต***
    ขอแสดงความยินดีกับมหาบัณฑิตปริญญาโท 
    "ผมจบด้านการเงินประยุกต์ จากเกษตรศาสตร์ ตอนเรียนปริญญาตรีผมก็จบด้านการเงินมาเหมือนกัน พอเรียนปริญญาโทเป็นการเงินประยุกต์ มันก็จะลึกกว่าเดิม คือผมเป็นคนที่ชอบตัวเลข ไม่ชอบท่องจำ ก็เลยรู้สึกว่าเรียนแบบนี้มันเหมาะกับเรา และเวลาที่ได้ทำสิ่งที่ชอบเราก็จะไม่รู้สึกว่ามันหนัก เพราะในช่วงนั้นผมก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย พอได้เรียนแบบมีความสุขมันก็เลยไม่เป็นไร ที่เรียนสาขานี้ ไม่ได้มองเพื่อนำไปประกอบธุรกิจส่วนตัวเลย เรียนไว้เพื่อเป็นความรู้เฉย คือการเรียนด้านการเงินมันไม่ได้เอาไว้ทำธุรกิจนะ แต่มันคือการที่เราจะได้รู้ว่าเราจะเอาเงินที่ได้มาไปทำอะไร ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมเรียนมันเป็นจุดมุ่งหมายของทุกคน คือทุกคนอยากเกษียณก่อนเวลาและมีเงินใช้ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรก็เลยทำงานไปเรื่อยๆ จนตัวเองเกษียณ ซึ่งการเรียนการเงินคือการใช้เงินหาเงิน เพื่อที่วันหนึ่งเราจะได้ไม่ต้องเอาแรงหาเงิน"

 

 

    แพลนอนาคตไว้อย่างไร เพราะที่เรียนมากับงานที่ทำสวนทางกัน
    "ผมก็จะทำงานในวงการต่อไปเรื่อยๆ นี่แหละ ที่เรียนมาคือความรู้ติดตัว เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าเราจะใช้เงินที่หามาได้อย่างไร นั่นคือจุดประสงค์หลัก ผมไม่ได้เรียนการเงินมาเพื่อจะไปทำงานเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้ใคร หรือบริษัทไหน ผมตั้งใจที่จะทำงานตรงนี้ อยากที่จะให้ดีขึ้นเรื่อยๆ อยากพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องการแสดง ผมมองว่า ทุกอย่างในวงการมันนำด้วยการแสดง ฝีมือ และผลงาน คือถ้ามันดี ทุกอย่างก็จะมาดีเอง แต่เราควบคุมไม่ได้ว่าเราจะได้มันมาเมื่อไร เราไม่อยากกำหนดในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ ผมกำหนดสิ่งที่ผมควบคุมได้แค่ประสิทธิภาพและคุณภาพที่ผมจะทำ แล้วถ้าผมทำได้ดีอย่างที่ใจผมต้องการ ถ้าวันไหนผมดูละครที่ตัวเองแสดงแล้วรู้สึกว่าเราเล่นดีจัง นั่นคือเป้าหมายของผม ผมค่อนข้างจะเป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์ และเป็นคนที่ดูหนัง ดูละครทั้งไทยและฝรั่งค่อนข้างเยอะ ดูคนเก่งๆ เยอะ ซึ่งเรารู้สึกว่าเราเล่นไม่ได้เท่าเขา เพราะฉะนั้นเราก็จะทำงานไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจในงานของเรา"

 

    มีการฝึกฝนอย่างไรเพื่อให้เป็นอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ 
    "ต้องศึกษาให้เยอะ ทำการบ้านให้หนักเพื่อให้รู้ว่าตัวเองขาดอะไร และก็ตั้งใจในเรื่องสมาธิ สำหรับผมการเล่นละครเก่ง การเล่นละครดี ไม่ใช่การนั่งเรียนการแสดงเยอะๆ แต่การเล่นละครดีมันคือการเซตว่าวันหนึ่งๆ เราต้องทำอะไรบ้าง ก่อนทำการแสดงต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ แต่ทุกคนลืม ถ้าเราเซตอัพมาดี มันจะเห็นผลทันทีเลยว่างานมันออกมาดีจริงๆ"     

 

 

เปิดความเพอร์เฟกนิสต์ของ  'เจษ-เจษฎ์พิพัฒ'

 

 

    ดูเป็นคนค่อนข้างเครียดกับการทำงาน แล้ววันที่ท้อเราทำอย่างไร
    "ใช่ๆๆๆ ถามว่าทุกอย่างต้องเพอร์เฟกต์ไหม คือเราอยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ว่าเราไม่เก่งเท่าคนที่เราเห็นว่าเขาเก่ง แต่เราต้องรู้ว่าเราขาดอะไร เราจะได้ไปเติมสิ่งที่ขาดได้ ถ้าวันไหนมีเรื่องให้นอยด์ก็คิดแค่อย่างเดียวว่านอยด์ไปก็มีแต่ทำให้งานแย่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ถ้าเราเอาเรื่องนอยด์ของวันนี้ไปแก้ไขในวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้ก็จะแย่อีก และวันต่อๆ ไปก็จะแย่แบบคูณ 2 เวลารู้สึกแย่ผมมีที่ปรึกษาเยอะ แต่อยู่ที่ว่าเป็นเรื่องอะไร ถามใครได้ แต่ส่วนมากผมจะจัดการปัญหาด้วยตัวเองก่อน เพราะพ่อแม่ผมสอนมาแบบนั้น และเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราเครียดจะคูณ 2 สำหรับเขา บางอย่างไม่จำเป็นต้องบอก เราก็ไม่ควรบอกให้เขามาเครียดแทนเรา มันจะดีถ้าเขาช่วยเราแก้ปัญหาได้ แต่ถ้าเขาช่วยเราไม่ได้ เขาก็จะยิ่งเครียด มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแบ่งความเครียดของเราให้ใคร"

 

 

    หลายคนมองดารา-นักแสดงเป็นบุคคลสาธารณะ ต้องรับกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้ได้
    "ผมก็กึ่งๆ เข้าใจว่า เราเป็นบุคคลสาธารณะ แต่เราก็อยากให้ใครๆ เข้าใจด้วยว่าเราก็เป็นคน ถามว่าพื้นที่ส่วนตัวต้องมีไหม ก็นิดหนึ่ง เพราะเรารู้ว่าเราหาเงินก็จากสิ่งนี้แหละ เราทำงานด้วยการขายสาธารณะขายพื้นที่ส่วนตัวของเรา แต่ในช่วงเวลาบางช่วงเราก็อยากให้หลายๆ คนเข้าใจ ว่าเราเครียด เราอยากอยู่กับครอบครัวหรืออยู่กับคนรักของเราจริงๆ ผมว่ามันต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน คือเราต้องเข้าใจตัวเองและคนอื่นก็ต้องเข้าใจเรา กับแฟนคลับผมไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้ โชคดีที่กลุ่มแฟนคลับผมเข้าใจ ส่วนบางคนที่ไม่เข้าใจมันก็เป็นทางที่เขาเลือก มันอาจจะดีกว่า อาจจะแฮปปี้กว่าถ้าเขาจะไปเจอคนในแบบที่เขาชอบ ซึ่งผมมองว่ามันแฟร์ เราไม่สามารถเอาทุกอย่างไว้กับเราได้"

 

เปิดความเพอร์เฟกนิสต์ของ  'เจษ-เจษฎ์พิพัฒ'

 

 

    *** รักสีชมพู ***
    ความรักตอนนี้กับ “วิว” วรรณรท ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแฮปปี้มาก
    "ใช่ฮะ (หัวเราะ) ความรักตอนนี้ก็มีความสุขดี คู่ของเราก็จะชิลๆ ง่ายๆ ไม่ค่อยหวือหวาอะไร ซึ่งผมมองว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว ปกติเวลาไปไหนด้วยกันผมก็จะมีถ่ายรูปให้เขาบ้าง ถามว่ามีคนแซวไหม ก็มีบ้าง แต่ผมเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปอยู่แล้ว เราก็อยากให้เขามีรูปสวยๆ เพราะเขาเองก็ไม่ค่อยมีรูปอะไร นอกจากรูปในละคร เราก็ถ่ายให้เขาบ้าง ถามว่าเจอกันบ่อยไหม ก็เจอกันบ่อย อย่างอาทิตย์หนึ่งเราต้องเจอกันสักครั้ง จริงๆ แต่ละคนก็ยุ่ง แต่เขาจะมีเวลาให้เราน้อยกว่าเพราะเขาต้องถ่ายละครเยอะในช่วงนี้ แต่วันอาทิตย์เขาว่างเราก็พยายามไปเจอเขา จริงๆ เราสองคนเข้าใจว่าเวลาแบบนี้มันไม่ค่อยแน่นอนและจะไม่รู้ก่อนล่วงหน้า เราก็เอาเท่าที่ว่าง ถ้าวันไหนว่างและไม่เหนื่อยเกินไปก็ไปเจอกัน"

 

    อายุอานามเราก็แต่งงานได้แล้วนะ เพื่อนๆ ก็แต่งไปเยอะแล้ว 
    "ใช่ๆๆ ถามว่าผมคิดที่จะสละโสดไหม คือผมว่าในด้านอาชีพของเรา ไทม์ไลน์มันจะไม่เหมือนเพื่อนๆ ที่เราโตมาด้วยกัน คือบางคนสามารถลงเอยได้เลยเพราะอยู่ตัวแล้ว แต่เรายังคาดหวังเรื่องงานว่าน่าจะมีอะไรทำเพิ่มเติมหรือว่าดีขึ้นมันก็เลยทำให้เราอยากใช้เวลากับตรงนี้ให้มากก็เลยไม่ได้คิดว่าเราจะต้องไปตามใคร เอาตามที่เราคิดว่าเหมาะสมดีกว่า"

 

    มีมองอนาคตร่วมกันกับวิวไว้ยังไง
    "ไม่เลย เพราะแต่ละคนก็จะโฟกัสเรื่องงานกันมากๆ คือผมไม่อยากกดดันตัวเอง เราคาดเดาไม่ได้ว่าโอกาสจะเข้ามาเมื่อไรเพราะว่าปัจจัยที่อยู่นอกเหนือจากตัวเรามันมีเยอะ เราก็เลยไม่อยากฟิกตัวเองว่าจะต้องอีกกี่ปี ต้องอายุเท่าไร เราไม่ได้ทำงานเหมือนคนอื่น ที่เป็นพนักงานบริษัท หรือทำธุรกิจส่วนตัว เพราะเขาสามารถเดินหน้าธุรกิจของเขาได้ แต่เราไม่ได้เป็นคนเดินหน้าธุรกิจของเราเอง"

    นี่แหละ...มุมมองของผู้ชายชื่อ  “เจษ” เจษฎ์พิพัฒ

 

 

เปิดความเพอร์เฟกนิสต์ของ  'เจษ-เจษฎ์พิพัฒ'

 

เปิดความเพอร์เฟกนิสต์ของ  'เจษ-เจษฎ์พิพัฒ'

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ