บันเทิง

'หมาก' รู้ซึ้งคุณค่าคำว่า 'นักแสดง' 

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

 "หมาก" ปริญ สุภารัตน์ บอกเล่าความรู้สึกถึงผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตอย่าง  "จอมขมังเวทย์ 2020" 

 

    ทีมบันเทิง คมชัดลึก  -    เป็นพระเอกหนุ่มที่มีชื่อเสียงอยู่ในวงการมากว่า 10 ปี สำหรับ “หมาก” ปริญ สุภารัตน์ ล่าสุดตกลงปลงใจแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต กับเรื่อง “จอมขมังเวทย์ 2020” ซึ่งเป็นการพลิกคาแรกเตอร์ของนักแสดงหนุ่มอย่างชัดเจน โดย “บันเทิง คมชัดลึก” ได้มีโอกาสพูดคุยกับพระเอกหนุ่มถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ รวมถึงชีวิตกว่า 10 ปีในวงการบันเทิงของเขา ได้มีการนัดหมายกันที่ The Bazaar Hotel Bangkok ถ.รัชดาภิเษก 

    @@ ภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต
    อะไรทำให้ตัดสินใจรับเล่นหนังเรื่องแรกในชีวิต

    “จริงๆ ใจอยากลองเล่นหนังมานานแล้ว คิดอยู่นานเหมือนกัน ยอมรับว่ากลัวเหนื่อย เพราะว่าเรื่องนี้บู๊หนักมากและอีกอย่างคือช่วงนั้นเราก็ถ่ายละครค่อนข้างหนัก แต่ก็เลือกความสบายใจในการทำงาน เพราะทำงานกับพี่นก (ฉัตรชัย) พี่นก (สินจัย เปล่งพานิช) และพี่ต้อม (ปิยะพันธุ์ ชูเพ็ชร์) ผมรู้สึกสบายใจ เพราะเราเคยทำงานกันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทีมงานฝ่ายไหนก็รู้จักกันหมด เลยตัดสินใจรับเล่น และอีกอย่างหนึ่งคือเราชอบภาคแรกด้วย และมันอัศจรรย์แค่ไหนที่ผ่านมา 15 ปีทำภาค 2 แล้วเราได้เล่น”

 


    ความแตกต่างของจอมขมังเวทย์ภาคนี้กับภาคแรก
    “เรื่องของไสยศาสตร์หรือการเล่นของ ภาคแรกได้เล่าไปหมดแล้ว ในภาคนี้จะเน้นแอ็กชั่น สงสัยว่าที่เขาเลือกเราเพราะต้องการเอามาแอ็กชั่นนี่แหละ (หัวเราะ) เรื่องนี้คือเล่นแอ็กชั่นเยอะที่สุดเท่าที่เคยแสดงมา ต้องมีการเรียนแอ็กชั่นเพิ่ม ต้องไปเรียนคิวบู๊ ก่อนจะถ่ายทุกๆ คิวต้องนัดนักแสดงมาก่อน 1 วันเพื่อที่จะไปซ้อมคิวบู๊และอีกวันหนึ่งค่อยถ่าย คือเราพยายามที่จะให้ภาพและลีลาท่วงท่าออกมาสวย และก็พยายามทำให้ไม่เหมือนคมแฝกที่เราเคยเล่นมา คือจริงๆ มันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้วเพราะด้วยมุมกล้องและด้วยอารมณ์ตัวละคร จะบอกว่าการบู๊ในเรื่องนี้หนักใจมาก เพราะช่วงนั้นผมถ่ายละคร 4 วัน เรื่องอกเกือบหักแอบรักคุณสามี ซึ่งคาแรกเตอร์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แล้วมาอัดหนังเรื่องนี้อีก 3 วัน โลเกชั่นแต่ละที่ก็ค่อนข้างที่จะไกลพอสมควร แต่จะบอกว่าเรื่องนี้สุดยอดมากมันทำให้ผมได้เห็นขีดจำกัดของคน ทำให้เรารู้ว่าเราอึดกว่าที่เราคิดไว้เยอะ คือเราคิดว่าเราไม่มีแรงหรอกพรุ่งนี้ตื่นมาจะตายแน่ๆ แต่ว่าเราก็ตื่นมาแล้วทำได้”

 

 

    ในส่วนตัวเราพอได้เข้าฉากได้เห็นตัวเองในบทของวิน เราเชื่อไหม
    “เชื่อนะ ผมไม่รู้ว่าคนอื่นเชื่อหรือเปล่า แต่เวลาผมมาอยู่หน้ากล้องแล้วไปเช็กมอนิเตอร์ ผมจะรู้สึกว่าว้าว !! ทุกครั้ง ผมชอบที่ผมดูไม่เหมือนเดิม ดูไม่เหมือนหมากที่สะอาดๆ หรือบทพระเอกเนี้ยบๆ ในหนังเรื่องนี้คนจะเห็นผมในแบบดาร์ก แอ็กชั่นบู๊ๆ คือเรื่องนี้จะเป็นการบู๊โดยใช้มือ ไม่ได้มีการใช้สลิงหรือตัวช่วยอะไร และไม่ได้ใช้สแตนด์อินด้วย คือจะบอกว่าสนุกมาก มันเป็นหนังผู้ชายผู้ชายมารวมกัน มันทำให้การแอ็กชั่นเยอะมาก บางทีก็มีการพลาดพลั้งโดนนั่นโดนนี่ ตอนที่เป็นตะวันเดือดผมก็บู๊ใช้ปืน พอมาเป็นคมแฝกก็เป็นการบู๊ใช้ไม้ แต่เรื่องนี้เป็นการบู๊ใช้มือ แต่เรื่องพลาดพลั้งไม่ได้เป็นการผิดคิวจากการบู๊ แผลที่ได้มาจากความซุ่มซ่ามของตัวเองล้วนๆ (หัวเราะ) คือพอเวลาเราเล่นจริงมันก็จะมีอารมณ์ของการที่เราไม่ยั้งก็จะไปกระแทกนู่นกระแทกนี่อยู่ตลอด”

 

 

 

'หมาก' รู้ซึ้งคุณค่าคำว่า 'นักแสดง' 

 

 

 

    กลับมาบู๊ปะทะกับก๊อตอีกเป็นอย่างไรบ้าง
    “พี่ก๊อต (จิรายุ ตันตระกูล) ช่วยเยอะมาก เป็นคนที่ทำการบ้านเยอะมาก อย่างเวลาที่เราต้องไปซ้อมคิวบู๊ พี่ก๊อตก็จะช่วยคิดท่าทาง ไม่ใช่แค่ตัวละครเขา แต่เขายังช่วยคิดท่าทางให้ตัวละครผมด้วย คือในเรื่องนี้พี่ก๊อตมีช่วยกำกับคิวบู๊นิดหน่อย ก็จะช่วยแชร์กันอะไรที่เราถนัดหรืออันไหนที่เราไม่ถนัด เราก็จะบอกกล่าวกัน”

 


    จะสร้างความเชื่อมั่นให้คนดูอย่างไรว่าเราคือจอมขมังเวทย์จริงๆ
    “อย่างแรกเลยคือเราเองต้องเชื่อก่อน ถ้าเราเล่นออกมาแล้วมันยังไม่ดีเราก็ต้องบอก ซึ่งพี่ต้อม ผู้กำกับก็จะเข้ามาช่วยแนะนำในทันที คือพี่ต้อมทำงานละเอียดมาก จะมาคอยจี้เลยว่าอันนี้ต้องมากกว่านี้ อันนี้ต้องดุกว่านี้ สิ่งหนึ่งที่ผมจะคิดในทุกครั้งคือผมต้องทิ้งความเป็นหมาก ปริญ ในระหว่างที่แต่งหน้าแต่งตัวก่อนเข้าฉาก เราก็จะพยายามทำสมาธิอยู่กับตัวเอง คือตั้งแต่ลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อไปเข้าฉาก เราจะต้องสำรวจตัวเองแล้วว่าเรามีรอยสัก เรามีท่าทางและคาแรกเตอร์ยังไงกับการเป็นวิน ไม่ใช่หมาก ผมจะวาดภาพคาแรกเตอร์ของวินไว้ในหัวเลยว่าจอมขมังเวทย์ในแบบที่เป็นวินจะเป็นยังไง”

 

 


    ตอนนี้คนยกให้หมากเป็นพระเอกนักบู๊ไปแล้ว
    “เออ...ยังไงเนอะ แต่สำหรับผมมันก็เป็นข้อดีนะ เพราะเราได้ทำอะไรหลายอย่าง บู๊ก็ได้ รักใสๆ ก็โอเคนะ ผมดีใจนะที่คนเชื่อว่าผมบู๊ได้ เวลามีคนชมว่าบู๊ดีมันรู้สึกภูมิใจหน่อยๆ (หัวเราะ) แต่รักกุ๊กกิ๊กโรแมนติกเราก็ได้นะ เราได้ทุกอย่าง (หัวเราะ)”

 


    การมารับหนังเรื่องนี้คนมองว่าหมากมีความเสี่ยงเยอะ เพราะไม่ใช่หนังตลาดตามสูตรสำเร็จ
    “สำหรับหมากไม่ได้มองอะไรมาก ทุกวันนี้มันก็วัดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว แค่เราทำงานของเราแล้วเรารู้สึกว่าเต็มที่แค่นั้นพอ ที่เหลือมันไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราอาจจะถูกวิจารณ์ ฉะนั้นเราก็มองไว้กลางๆ ดีกว่า ผลงานออกมาจากความเต็มที่และตั้งใจของเราและทีมงาน แต่ผลตอบรับจะออกมายังไงให้เป็นหน้าที่ของคนดูจะดีกว่า เอาจริงๆ นะ มันไม่มีสูตรสำเร็จหรอก แค่อยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่างกับความเชื่อที่ว่าคนเชื่อว่าเราบู๊ได้ นี่คือหนึ่งในการตัดสินใจหลักๆ ในการเล่นหนังเรื่องนี้ เราไม่เคยคิดเลยว่าหนังเรื่องนี้จะล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันมีความเสี่ยงอะไรเลยการที่ผมรับเล่นเรื่องนี้ ผลงานเรื่องนี้เราทำเต็มที่ รวมถึงเราเห็นความตั้งใจของทีมงานทุกคนสำหรับเราแค่นั้นมันพอ เพราะดีไม่ดีเราบอกเองไม่ได้ สิ่งที่เรารู้คือสิ่งที่เราตั้งใจทำออกมาเรารู้แค่ตัวเองว่าเราทำเต็มที่มากๆ”

 

 

 

'หมาก' รู้ซึ้งคุณค่าคำว่า 'นักแสดง' 

 

 

 

    สำหรับหมากหนังเรื่องนี้พอใจแค่ไหน
    “มี 10 หมากให้ 10 (หัวเราะ) เพราะตอนนั้นที่เราแสดง ที่เราอยู่ที่กอง อะไรที่เราไม่พอใจหรือยังไม่ดีเราเอาใหม่ ซึ่งมันบอกได้ว่าในทุกๆ ฉากทั้งเราและทีมงานตั้งใจมากๆ ให้มันออกมาดีที่สุด”
    หลายคนคาดหวังว่าจะเห็นมากเป็นพระเอกร้อยล้าน
    “ฮู้วววววว เอาจริงๆ เรื่องรายได้เราบอกเองไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ผมตอบไม่ได้ ผมพูดได้แค่ว่าผมทำหน้าที่ของผมเสร็จแล้ว และทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถและเต็มความตั้งใจที่มี นอกนั้นเป็นหน้าที่ของคนดูว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบ หลายคนบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังเฉพาะคน แต่ผมอยากให้ลองเปิดใจไปดู ผมอยากให้ทุกคนสนุกไปกับเรื่องนี้ สิ่งที่ผมอยากขอคืออยากให้คนดูดูหนังเรื่องนี้แล้วสนุก ไม่อยากให้ดูแล้วคิดว่าเป็นหนังเรื่องแรกของหมาก ปริญ หรือมาดูเพราะหมาก ปริญ แต่อยากให้ไปดูหนัง ติดตามหนัง ความคาดหวังอย่างเดียวของผม คือคนดูออกมาแล้วบอกว่ามันว่ะ สนุก แค่นั้นพอแล้ว”

 

 

 

 

'หมาก' รู้ซึ้งคุณค่าคำว่า 'นักแสดง' 

    @@ ชีวิตธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
    ชีวิตตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

    “สบายมาก (เที่ยวเก่งมาก) เที่ยวเก่งอะไรเล่า นานๆ ทีเถอะ (หัวเราะ) คือช่วงนี้เราแบ่งเวลางานกับเวลาพักได้ดีขึ้น เพราะว่าละครเพิ่งปิดกล้องไป ตอนนี้ก็เหลือละครเรื่องเดียว ซึ่งถ่ายจันทร์ อังคาร พุธ เราก็จะมีเวลาพฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ถ้ามีงานมีอีเวนท์ เราก็ทำ แต่ถ้าสัปดาห์ไหนไม่มีเราก็เที่ยวหาความสุขหาความสงบใส่ตัวเอง ความสุขก็คือความสงบ เอาจริงๆ นะเราอยู่ทุกวันนี้เราแทบจะไม่เห็นตัวเองเลยเพราะทุกอย่างมันเป็นระบบออโต้กับวัฏจักรของการทำงานวนไป เราแทบจะไม่ได้เห็นตัวเอง ไม่ได้สัมผัสกับตัวเองเลย คือหมากเป็นคนที่เวลาทำงานเราก็สุด ถ้าเวลาพักผ่อนก็เช่นกัน อาจจะรู้สึกว่าจะใช้ความเป็นมนุษย์เป็นคนธรรมดาให้มากที่สุด ตอนนี้เลยรู้สึกว่าชีวิตคุ้มมากเลย เวลาทำงานผมก็ไม่คิดถึงอย่างอื่น ผมก็ทำงานของผม พอถึงวันหยุดผมก็ได้ไปเที่ยว ได้เป็นตัวเอง ผมว่าชีวิตคนเราคนธรรมดาก็ต้องการแค่นี้”

 


    เหนื่อยไหมกับการที่ต้องเป็น “หมาก ปริญ” ในทุกวันนี้
    “หือ...ไม่นะ ตลอดเวลา 10 ปีกับการอยู่ตรงนี้ผมไม่เคยถามตัวเองเลยนะว่าทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ ไม่เคยคิดด้วย ผมคิดว่าการที่ผมมาทำตรงนี้มันคืออาชีพ ไม่ได้คิดว่าแค่ต้องทำ มีคนเคยถามผมว่าถ้าไม่เป็น หมาก ปริญ ในวันนี้จะทำอะไร เชื่อไหมผมคิดไม่ออก (หัวเราะ) ถ้าย้อนกลับไปแล้วถามว่าถ้าไม่มาทำตรงนี้ทำอะไรก็คงเป็นนักกีฬามั้ง เพราะว่าผมเป็นนักกีฬายูโดอยู่แล้ว นี่เลยเป็นความโชคดีของผมมากๆ ที่ผมได้มาทำงานแล้วเจออะไรดีๆ เจองานดีๆ คนดีๆ เจอเพื่อนดีๆ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจว่าผมต้องอยู่ตรงนี้แล้วทำให้ดี”

 

 

    รักและดูแลอาชีพนักแสดงของตัวเองขนาดไหน
    “ทุกวันนี้เราก็ทำการบ้านและตั้งใจดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย เพราะมันต้องใช้ร่างกาย พักผ่อนให้เพียงพอ นี่คือการตอบแทน อาชีพนี้ให้อะไรกับเราเยอะนะ แต่ที่ได้แน่ๆ คือประสบการณ์ ทุกวันนี้ที่เรามีทุกอย่างก็เพราะอาชีพนี้ แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือประสบการณ์ พยายามเก็บทุกอย่าง เก็บความทรงจำว่าผมเคยทำงานกับใคร ว่าผมทำอะไรไปบ้าง แล้วเก็บสิ่งเหล่านั้นไว้ใช้ในอนาคต”

 

 

'หมาก' รู้ซึ้งคุณค่าคำว่า 'นักแสดง' 

 

 

 

    การที่เราเป็นพระเอกมาตลอด 10 ปี เรายึดติดกับตรงนี้ไหม
    “ไม่นะ ผมไม่ได้ยึดติด ใครจะเรียกผมว่าอะไรก็ได้ แต่ผมรู้ตัวเองว่าผมอยากเป็นนักแสดง เพราะว่าคำว่านักแสดงเป็นคำที่เราเคารพ การที่มีคนบอกว่า “หมาก ปริญ” คือนักแสดง สำหรับผมมันเป็นสิ่งที่ผมเคารพมาก คำนี้มันมีค่ามากๆ คำว่านักแสดงแค่มีคนหนึ่งคนพูดกับเรามันก็เหมือนเป็นรางวัลสำหรับเราแล้ว เวลามีคนชมว่าหล่อเราก็ดีใจ แต่ถ้าได้ยินคนชมว่าแสดงเรื่องนี้ดีจังเลย แค่นั้นเรายิ้มไปได้ทั้งวัน และดีใจไปได้อีก 2 เดือน (หัวเราะ)”

 

    มองอนาคตกับการอยู่ตรงนี้ไว้อย่างไร
    “ก็อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงเวลาของมัน มีคนถามผมว่าการเป็นนักแสดงมีเวลาเกษียณอายุไหม ผมรู้สึกว่าถ้าเรารักษามันดีๆ ก็อยู่ไปได้ตลอด ของแบบนี้มันอยู่ที่ว่าอยากอยู่ไหม ช่วงเวลาที่ผ่านมาผมพยายามพิสูจน์ตัวเองกับการอยู่ตรงนี้ ผมเองไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ผมตอบไปมันถูกหรือผิด แต่สิ่งที่ทำให้ผมอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้คือการฝึกฝนความจริงใจและจริงจังกับการเป็นนักแสดง ผมเคารพกับการเป็นนักแสดงมาก”

 

 

'หมาก' รู้ซึ้งคุณค่าคำว่า 'นักแสดง' 

 

 

    @@ รักที่ใช่
    การงานจริงจังไปแล้วแล้วความรักล่ะจริงจังแค่ไหน
    “(หัวเราะ) จริงจังมาตลอดนะ (จะแต่งปีหน้าเลยไหม) ถามกันมาแบบนี้เยอะมากไม่รู้จะตอบยังไง เพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อไร เราเองยอมรับว่าเราคุยกันแล้วและก็คุยกับพ่อแม่แล้ว ทางฝั่งน้องเองเราก็คุย เขาก็โอเค แต่ว่าอยู่ที่ว่าแค่เมื่อไรเท่านั้นเอง คือทุกอย่างมันพร้อมไปหมดแล้ว มันอยู่ที่จังหวะแค่นั้นเอง ซึ่งเราเองก็ตอบไม่ได้ว่าเมื่อไร”

 

 


    เคยมองภาพชีวิตแต่งงานของเราไหม
    “เคยมอง มองบ่อย มองเกือบทุกวันเลย (หัวเราะ) จริงๆ นะ แต่อย่างที่บอกว่ารอแค่จังหวะ ผมเชื่อว่าคนเรามันจะมีจังหวะที่ทำให้เราตัดสินใจแล้วก็คุกเข่า มันแค่จังหวะนี้เท่านั้นเอง คือเราอยากที่จะให้มันพอเหมาะพอดีที่สุด มันอยู่ที่ความรู้สึกของคนสองคน คือถ้ามันคลิกลงตัวจังหวะพอดีก็โอเค คือหมากเชื่อในเรื่องของช่วงเวลา”

 

    มองอนาคตคู่เราอย่างไร

    “หมากคิดถึงอนาคตทุกวันเลยนะ คิดถึงงาน คิดถึงบ้านที่เราจะอยู่ในบั้นปลายชีวิต คิดถึงลูก คิดถึงโรงเรียนของลูก คือเราคิดไปหมด เริ่มวางแผนไว้คร่าวๆ แล้ว คือเราอยากวางทุกอย่างให้มั่นคงและพร้อมมากที่สุดเพื่อเป็นแนวทางในการเดิน”

 

    ตัดสินใจแล้วว่าใช้อนาคตกับคนนี้
    “ใช่ เรามองแล้วว่ากับคนนี้คือคนที่เราจะอยู่ด้วยกันไปตลอด ที่ผ่านมาเราเรียนรู้และปรับตัวด้วยกันมานานมาก เราก็เหมือนคู่อื่นๆ ที่เวลามีปัญหาทะเลาะกัน มีช่วงเวลาที่ดีกัน ช่วงเวลาหวานๆ โรแมนติกก็มี คือเราผ่านกันมาหมดแล้วแล้วเราก็ยังอยู่ด้วยกัน ช่วงเวลาที่ผ่านมาเราก็ปรับจูนเข้าหากันไม่ใช่แค่ว่าเราปรับแล้วเขาไม่ปรับเขาเองก็ปรับ นิสัยอะไรที่เราเป็นแล้วเขาไม่ชอบเราก็พยายามที่จะไม่ทำ คือเราจะไม่ทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบ”

 

    คู่เราใช้อะไรประคองการอยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้
    “ใช้การปรับตัวนี้แหละ เราก็ต้องยอมรับว่าเราต่างคนต่างมาจากคนละทาง ก็ต้องมีการสลับกันบ้าง พร้อมที่จะให้คำปรึกษากัน ถ้าคนหนึ่งเป็นไฟอีกคนก็ต้องเป็นน้ำ คือปรับให้มันสมดุล”
    “หมาก” ปริญ ผู้ชายธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาจริงๆ 

 


    เรื่อง : ณัฏฐิรา หลอดแก้ว
    ภาพ : กุลพันธ์ ศิริพิมพ์อัมพร

 

 

'หมาก' รู้ซึ้งคุณค่าคำว่า 'นักแสดง' 

 

 

 

'หมาก' รู้ซึ้งคุณค่าคำว่า 'นักแสดง' 

 

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ