บันเทิง

กว่าจะมาถึงวันนี้ของ 'มาร์ช-จุฑาวุฒิ' 

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เปิดใจ  "มาร์ช" จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล กับการก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงมา 9 ปี 


    ทีมบันเทิง คมชัดลึก  -   จากเด็กหนุ่มหน้าใสในซีรีส์ “hormones วัยว้าวุ่น” มาวันนี้ “มาร์ช” จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงมา 9 ปีแล้ว ผ่านงานหลากหลาย ทั้งซีรีส์ ภาพยนตร์ พิธีกร และตอนนี้เขาได้รับบทเด่นอีกครั้งในซีรีส์เรื่อง “สู้ตายนายกระจับ” ครั้งนี้ “บันเทิง คมชัดลึก” มีโอกาสได้พูดคุยกับนักแสดงหนุ่ม เพื่อให้แฟนๆ ได้รู้จักเขามากขึ้น 

 

    ***ผลงานตอนนี้ ***
    @@ ซีรีส์เรื่องล่าสุด “สู้ตายนายกระจับ”

    “เป็นซีรีส์คอมเมดี้แนวใหม่ที่เราไม่เคยดู ไม่เคยเล่นมาก่อน มันเป็นเรื่องราวของเด็กคนหนึ่งชื่อโน้ต ที่มีเซฟโซน ไม่ชอบความรุนแรง เชื่อว่าความรุนแรงไม่ใช่ทางแก้ปัญหา จนกระทั่งวันหนึ่งมีเหตุนำพาให้เขาต้องไปชกมวยด้วยความจำเป็น การชกครั้งนั้นทำให้เขาต้องไปใส่กระจับอันหนึ่งซึ่งเป็นกระจับผีสิง และถอดไม่ได้ ทำให้ควบคุมช่วงล่างของร่างกายไม่ได้ คุมได้แต่ช่วงบน ดังนั้นเวลาชกมวย ขามันก็จะไปด้วยตัวของมันเอง ซึ่งเราก็ต้องหาว่าผีกระจับตัวนี้คืออะไร และต้องการอะไร เป้าหมายเขาคืออะไร เพื่อที่เขาจะได้ไม่มาสิงเราอีก ความยากของเรื่องนี้ อาจจะด้วยจังหวะ รูปแบบการแสดง และความยากของมันคือเราต้องเป็นเหมือน 2 คนในร่างเดียวคือ ตัวบนเป็นตัวเรา แต่ช่วงล่างเป็นผีสิง เราก็ต้องเคลื่อนตัว ขยับขาให้เหมือนต้นแบบ ซึ่งผมยังบอกตอนนี้ไม่ได้ว่าเป็นใคร เวลามีซีนแอ็กชั่นก็จะงงว่า เราต้องเล่นขาไปด้วย เล่นตัวไปด้วย บางทีเราต้องคุยกับขาตัวเอง รู้สึกว่าเป็นอะไรที่ยากเลย ต้องแยกสมาธิ ปกติเวลาแสดงเล่นกับตัวเองก็ใช้สมาธิสูงแล้ว พอมาเล่นกับผู้แสดงคนอื่นก็ต้องใช้สมาธิเพิ่มขึ้นไปอีก ยิ่งเรื่องนี้ต้องมาเล่นรับส่งในตัวของเราเอง” 


    @@ ต้องไปฝึกอะไรเพิ่มบ้าง
    “มวย นี่ต้องเรียนแน่ๆ นอกจากนี้ก็ต้องไปเรียนเวิร์กช็อปแอ็กติ้ง มีพาร์ทที่แบ่งครึ่งบนครึ่งล่าง อันนี้ยากสุด เพราะมันต้องแยกประสาท คอนโทรลกล้ามเนื้อในส่วนที่เราไม่เคยทำมาก่อน มันก็ต้องใช้เวลาเหมือนกันเพราะผมเป็นคนที่ตัวค่อนข้างแข็ง ก็ฝึกนานเหมือนกันกว่าจะแยกประสาทได้ เตรียมตัวเป็นเดือนเหมือนกันนะ มีเวลาว่างก็ไปเรียน คือตอนเวิร์กช็อปผมก็ถ่ายละครเรื่องอื่นอยู่ด้วย พอมีเวลาว่างก็ต้องมาเวิร์กช็อปเรื่องนี้”

 


    @@ปกติเป็นคนที่ต่อยมวยไหม
    "มีต่อยบ้าง แต่ว่าไม่ได้ต่อยจริงจังจนเป็นนักมวยอาชีพ ในเรื่องนี้เลยต้องไปฝึกเพิ่ม จริงจังคือต้องใกล้เคียงนักมวยจริง แต่ด้วยความที่ผมเป็นมวยถนัดซ้าย แต่ต้นแบบเราถนัดขวา เลยกลายเป็นว่าเราต้องไปเริ่มใหม่หมด เพราะมันต้องไปต่อยในข้างที่ไม่ถนัด และด้วยความที่เป็นนักมวยจำเป็น ก็ต้องมีเวลาและความฟิตของตัวละครขึ้นมา ซึี่งบางทีมันก็ถ่ายกระโดด ก็อาจจะมีแค่ซีนท้ายๆ ที่ ครั้งนี้นัดชิงแล้วเราต้องจริงจังนิดหนึ่ง เรื่องโชว์ร่างกายมันก็ต้องมีเปลือยท่อนบนนิดหนึ่ง ถามว่าฟิตแค่ไหน คือมีเวลาไม่มาก เพราะก่อนหน้านี้เขาอยากให้ผมผอมๆ เพราะว่าเราเป็นเด็กไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน แต่พอเป็นฉากสุดท้ายที่เป็นนัดชิง เรามีเวลาฟิตแค่อาทิตย์กว่าเท่านั้นเอง เราก็เล่น ก็ฟิตหุ่นเท่าที่ทำได้"     

 


    @@ มีปัญหาอะไรในกองบ้างไหม 
     "คือจังหวะในการแสดงมันเยอะ แอคชั่น คิว มันต้องมีซีนที่ต้องขยี้ด้วย สื่อสารเรื่องการชกมวย การซ้อมกับคู่แสดง คือถ้าเราต้องจำท่าให้ได้หมด มันเหมือนคิวบู๊เลย และมันเยอะกว่าเพราะมันต่อยกัน 5 ยก มันต้องจำทุกคิวให้ได้ คือถ้าเราพลาดขึ้นมาคู่ของเราก็เจ็บ ถ้าเรารับไม่ตรงจุดเราก็จะเจ็บเอง"

 

    @@ เรื่องได้ร่วมงานกับ "อาย" กมลเนตร เรืองศรี ครั้งแรกเป็นอย่างไรบ้าง 
    "เขาก็เป็นผุ้หญิงที่มีความสดใส มีพลัง สนุกสนาน เขาตั้งใจเล่นและบางทีก็เจอปัญหาในกองถ่ายเขาก็พยายามทำบรรยากาศให้สนุกด้วยความที่ซีรีส์เรื่องนี้เป็นคอมเมดี้ บางครั้งมันเกิดปัญหาถ่ายทำช้า เกิดการผิดพลาด เขาก็พยายามทำให้ในกองสนุก มู้ดในกองก็จะดี"

 

 

กว่าจะมาถึงวันนี้ของ 'มาร์ช-จุฑาวุฒิ' 

 

 

 

    @@ กลับมาร่วมงานกับทีมคุ้นเคย
    "เหมือนเดิม ผมเคยร่วมงานกับพี่โออยู่แล้วตั้งแต่เรื่อง "มาลี" เมื่อตอนเด็ก ๆ พี่เขาก็น่ารักเหมือนเดิม เราเคยร่วมงานกันมาเรื่องหนึ่งมันก็เลยง่ายเพราะเรารู้ทางของเขา เรารู้ว่าเขาเห็นอะไรในหัว เราก็พยายามทำการบ้านไปในแบบที่เขาต้องการ พี่โอบอกว่าแฮปปี้นะ ก็ต้องรอดูตอนเราออนอีกทีหนึ่ง เรื่องมุขเราก็มีเสนอขายไปเหมือนกัน (หัวเราะ) บางทีพี่โอก็ซื้อ แต่ส่วนใหญ่เขาจะให้ผมเล่นไปเลยเดี๋ยวเขาใส่เอง กองนี้สนุกมากเพราะมีนักแสดงเป็นคอมเมดี้หลายแนวมาก มาครบทุกรสเลย ผมมั่นใจว่าคนดูน่าจะขำ ถ้าชอบทางพี่แจ๊ค ก็จะขำทางนั้น พี่เจนนี่ ปิงปอง ฟอร์ย เจเน็ต เขียว โรเบิร์ต สายควัน คือมันมีตลกหลายทางมาอยู่ในเรื่อง ถามว่าทันมุกเขาไหมก็พอไหว โชคดีที่ผมเคยเล่นซิทคอมมาปีกว่าเรื่องรับส่งมุกก็เลยดีขึ้น"

 

    @@ ผลงานหลังจากนี้มีอะไรบ้าง 
    “จะมีซีรีส์ เจ้าหญิงเม็ดทราย เล่นกับใบเฟิร์น (พิมพ์ชนก) พี่แดน (วรเวช) และมีซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง “เคว้ง (The Stranded)” เรื่องนี้กำกับโดยพี่จิม (โสภณ ศักดาพิศิษฏ์) คือพี่จิมเขาเคยกำกับผมในเรื่องฝากไว้ในกายเธออยู่แล้ว สำหรับผมเรียกว่าเป็นโอกาสตั้งแต่วันที่ไปแคส ไปลงเทสต์ แคสรอบ 2 ว่าเราชอบบทเรื่องนี้ มันเป็นโอกาสอีกครั้งหนึ่งที่เราจะได้เรียนรู้กับอีกระดับ อีกสเกลหนึ่ง ที่ต่างประเทศทำ ทุนอีกแบบหนึ่ง  เหมือนเราโตขึ้นเราได้เจอการทำงานจากมืออาชีพในทุกๆ ทาง ทีมประกอบฉาก ทีมกล้องมันเต็มที่มาก ตอนไปถ่ายก็ลืมโลกไปเลย คือไปถ่ายที่เกาะ ที่หาดทรายอย่างเดียว ถ้ามองในแง่พึงพอใจคือเราใส่ไปหมดจริงๆ มันไม่มีวันที่เราไม่เต็มที่กับมัน เราก็รอดูว่าวันที่ออนมันจะออกมาอย่างไร และก็เป็นอีกก้าวหนึ่งของคนไทย ที่เน็ตฟลิกซ์เขามาสนใจประเทศไทยและมาทำเป็นออริจินัลเรื่องแรกกับคนไทย ผมมองในแง่ว่าถ้าเราทำสำเร็จ เน็ตฟลิกซ์เขาจะเปิดให้เราอีกระดับหนึ่งขึ้นไปอีก และอนาคตธุรกิจ ซีรีส์ ภาพยนตร์ในไทย ก็จะโตขึ้น เกิดจากการที่ฝรั่งเห็นว่าเราทำงานที่มีคุณภาพได้ ระหว่างที่เราถ่ายก็คิดถึงตรงนี้ด้วย ถ้าทำสำเร็จจริงๆ ก็คงจะดีกับประเทศเรา วงการเรามากๆ”

 

 

   @@ ทำงานกับเน็ตฟลิกซ์เรียกว่าเป็นการปูทางเพื่อต่อยอดงานอินเตอร์
    “ไม่ได้คิดตรงนั้นเป็นหลัก ผมคิดถึงวงการบันเทิงมากกว่า เพราะผมก็โตมากับตรงนี้ อยู่มา 7-8 ปีแล้วและเห็นอะไรต่างๆ เราก็อยากให้ประเทศเรา อุตสาหกรรมนี้เดินหน้าไปเรื่อยๆ ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนก็คิดแบบนี้ มันเป็นโอกาสครั้งสำคัญของประเทศเรา ก็อยากทำให้เต็มที่ ก็ฝากคนไทยช่วยเชียร์กันด้วย ผมว่าถ้าคนไทยไม่ดูกันเองก็ไม่รู้ว่าต่างชาติจะอย่างไร ซึ่งมันก็ออนแอร์พร้อมกันทั่วโลก เดี๋ยวฟีดแบ็กก็จะมาพร้อมกันในวันนั้น เรื่องนี้่จะออนช่วงพฤศจิกายน ถามว่าตื่นเต้นไหม ตื่นเต้นนะ เพราะเราเตรียมตัว และถ่ายทำกันมาครึ่งปี ออนวันเดียวเสร็จ คือเรื่องนี้เป็นซีรีส์ 7 ตอน แต่เน็ตฟลิกซ์เขาจะลงทีเดียวเป็นสเต็ปของเขา ก็ลุ้นให้คนกดมาดูเยอะๆ”

 

 

กว่าจะมาถึงวันนี้ของ 'มาร์ช-จุฑาวุฒิ' 

 

 

 


    *** วิถีนักแสดงอิสระ*** 
    @@ ตอนนี้มีเซ็นสัญญาที่ไหนไหม

    “ตอนนี้เป็นฟรีแลนซ์ ตอนนี้ก็มีเลขาฯ ผู้ช่วยคอยรับโทรศัพท์เวลามีงานอะไรเข้ามา แล้วเราก็จะเป็นคนดูเองว่าอะไรอยากทำ ไม่อยากทำ ถามว่ายากกว่าเดิมไหม คือตอนนี้มันมีอะไรให้เราคิดมากขึ้น อย่างมีงานนี้เข้ามาเราก็ชั่งใจน้ำหนักในแบบของเรา ว่าอันนี้อยากทำไหม ไม่มีใครตอบแทนเราได้นอกจากตัวเราเอง คือเรารู้ว่างานทั้งหมดมีอะไร เราก็มีสิทธิ์เลือกทำมากขึ้น และได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ ซึ่งมันเป็นการทดลองว่าจะเวิร์กไม่เวิร์ก ก็ไม่ได้การันตีว่าเราทำแบบนี้แล้วจะเวิร์ก แต่ก็จะมีอะไรให้เราคิดเยอะขึ้นนอกเหนือจากการถ่ายทำ เหมือนเราทำงานฟูลไทม์”

 

    @@ มีบทไหนไม่เคยเล่นแล้วอยากเล่นบ้าง
    "อยากเล่นเป็นชีวประวัติของคน คือปกติเราจะได้เล่นในบทที่เป็นตัวละครในหนังสือ เป็นใครก็ไม่รู้ที่ชื่อนั้นชื่อนี้ ไม่มีต้นแบบ แต่ถ้าเป็นชีวประวัติคนมันจะมีต้นแบบ และสนุกที่จะทำตามเขา แต่ผมก็เข้าใจว่าภาพยนตร์แนวนี้ มันอาจจะยังไม่นิยม จึงทำออมาน้อยมาก อยากเรื่องเถ้าแก่น้อยวัยรุ่นพันล้าน คือผมชอบเรื่องนี้มาก มันให้แรงบันดาลใจอะไรมากมาย ซึ่งช่วงนั้นน้ำมันท่วมหนังก็เลยไม่ทำเงิน แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นหนังที่ดีมาก ผมมองว่าเป็นความท้าทายที่เราต้องไปตามคนๆ หนึ่ง เพื่อดูว่าเขาเป็นคนอย่างไร มีระบบความคิดอย่างไร ส่วนการรับงานอีเว้นต่างๆ ก็ต้องดูเรื่องวันว่าง ถ้าว่างก็จะดูต่อว่าไปทำอะไรบ้าง ทำที่ไหน ซึ่งเดี่๋ยวนี้อีเว้นท์มันหลากหลาย ซึ่งเราจะรู้เลยว่าอันไหนเวิร์คไม่เวิร์คกับเรา"

 

    @@ ช่วงนี้หายหน้าหายตาไปไหน
    “หายไป 6 เดือน ก็ไปถ่ายซีรีส์สู้ตายนายกระจับ แล้วก็ถ่ายซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ที่ไปติดเกาะนั่นแหละ แล้วก็มีคลับฟรายเดย์ นอกจากนี้ก็มีเจ้าหญิงเม็ดทราย คือตั้งแต่เดือนมกราเป็นช่วงที่ละครถ่ายค้างไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เลยต้องยกมา คือเดือนนั้นผมถ่ายละคร-ซีรีส์ 5 เรื่อง เดือนนั้นทั้งเดือนแทบไม่ได้นอนเลย ตอนนั้นเรียกว่าต้องกัดฟันทำงาน คือเราเลือกมาเอง และรู้ก่อนที่จะรับงานแล้วว่ามันจะหนักมาก แต่เราไม่อยากปล่อย คือแค่รู้สึกว่าถ้าเราปล่อยเราคงเสียใจ มันท้าทายตัวเรา แต่ 6 เดือนที่ผ่านมาก็ทำให้เราเรียนรู้ว่าต่อไปจะไม่รับงานอย่างนี้อีกแล้ว เพราะมันเกินที่ร่างกายเราจะรับไหว"

 

 

กว่าจะมาถึงวันนี้ของ 'มาร์ช-จุฑาวุฒิ' 

 


    @@ ช่วงนั้น แบ่งเวลาอย่างไร
    "ไม่ได้แบ่งเลย คือทุกวันต้องเปิดตารางว่าต้องทำอะไร อย่างบทที่ต้องแสดงถามว่าเข้าหัวไหมก็เข้าเพราะเรารู้คาแรกเตอร์ของตัวเองแล้ว เราก็แค่อ่านทวนว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดอะไรขึ้น คือเราจะทำการบ้านก่อนถ่ายอยู่แล้ว พอวันมาถ่ายเราก็จะไม่นักมาก แค่ทวนว่าตัวละครตัวนี้มันไปเจออะไรมา ซีนนี้เกิดอะไรขึ้น ต้องรู้สึกอย่างไรก่อนเข้ามา ซึ่งมันจะมีเส้นของตัวละครอยู่แล้ว บางทีเห็นเลขซีนเราก็จำได้ละ คือเรื่องแบบนี้มันไม่ง่าย เพราะถ้าเราเตรียมตัวมาไม่ดีมันก็จะเป็นผลกับตัวเราเอง คือเรามองแค่ตัวเราเอง ก็อยากทำให้มันดี"

 

    @@ หลังจากนี้มีลิมิตในการรับงานอย่างไร
    “ใจอยากเล่นทีละเรื่อง อยากจะค่อยๆ แบ่งโฟกัสไปเลย อย่างน้อยมันก็จะทำได้ดีกว่า ที่ผ่านมาเราก็พยายามคุยกับผู้กำกับว่าช่วงนี้อาจจะแน่นหน่อย คิือถ้าผมหลุดอะไรช่วยเตือนผมด้วย ก็บอกผู้กำกับตรงๆ ซึ่งเขาก็เข้าใจ และเขาก็จะคอยเตือนถ้าเราหลุดอะไร ตอนนี้ไม่แน่นแล้ว ปีนี้ไม่มีงานแสดงเลย เพราะว่าช่วงนี้ก็รอละครออน ส่วนที่เหลือก็พักผ่อน ให้รางวัลตัวเองบ้าง คือวันที่ถ่ายเสร็จผมร้องไห้ทุกเรื่อง คือใจหายก็ใจหาย ดีใจก็ดีใจ โล่งก็โล่ง มันเป็นหลายความรู้สึกปนกัน ตอนนี้รู้สึกดีที่รองานที่เราถ่ายไปออน รอว่ามันจะเป็นอย่างไร”

 

 

กว่าจะมาถึงวันนี้ของ 'มาร์ช-จุฑาวุฒิ' 

 

กว่าจะมาถึงวันนี้ของ 'มาร์ช-จุฑาวุฒิ' 

 

 

 

 

    ***หัวใจ (เกือบ) ว่าง***
    @@ ความรักตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

    "ตอนนี้ก็มีคุยๆ กับผู้หญิงนอกวงการคนหนึ่ง ตอนนี้ไม่โสดแล้ว ก็แฮปปี้ดี ส่วนใหญ่ก็คุยเรื่องทั่วๆ ไป เหมือนเวลาที่คนเราจะเริ่มความสัมพันธ์กับใครสักคนหนึ่ง มันก็ต้องมีช่วงเวลาเรียนรู้ ต้องมีช่วงเวลาปรับตัวเข้าหากัน ถามว่าสาวที่จะคบจำเป็นต้องเป็นสาวนอกวงการเลยไหม ไม่เกี่ยวนะ เรื่องแบบนี้พอถึงเวลาก็จะมาเอง มันบังคับไม่ได้ โตขึ้นมาจะรู้เลยว่าสเปกนั้นไม่ได้สำคัญ มันเป็นแค่อะไรที่จะบอกว่า คนนี้แหละมีโอกาสพัฒนาต่อ กับคนที่ผ่านมาก็มีโอกาสพัฒนาต่อเหมือนกัน แต่พอเราเรียนรู้กันไปก็เข้าใจตรงกันว่าเราไม่เหมาะที่จะเป็นแบบนี้"

 

    @@ อะไรถึงทำให้มั่นใจว่าสาวนอกวงการคนนี้คือคนที่ใช่ 
    "จริงๆ มันเป็นความสบายใจ คือเราตกลงกันว่าเราจะไม่เปิดเผยว่าเป็นใคร เก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัวดีกว่า แต่ผมก็จะบอกว่ามีคบอยู่เราจะได้สบายใจกัน ถามว่าเปิดตัวไหม คือผมก็ไม่ได้ปิดนะ ก็มีคนเจอปกติ ก็ใช้ชีวิตปกติไปเดินห้าง ไปกินข้าว ใช้ชีวิตปกติ ไม่ปิดบัง อาจจะแค่ไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นใครแค่นั้น เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวที่เราเคารพเขา ที่เขามีความสุขแบบนี้ เราก็ต้องเลือกในสิ่งที่เขาสบายใจที่จะอยู่ที่สุด (อึดอัดไหมเวลามีใครมาถามเรื่องความรัก) ไม่เลย ถ้าถามผมก็ตอบเท่าที่ตอบได้ สำคัญสุดคือความสบายใจของเขา ว่าคุยกันไว้แค่ไหน อยากให้คนอื่นรู้แค่ไหน แต่ที่ผ่านมาถ้าถามมาเราก็ตอบเพราะมองว่าความสบายใจน่าจะดีที่สุดแล้ว แต่สุดท้ายก็ขึ้นกับความสัมพันธ์ว่าจะเป็นอย่างไร"

 

 

กว่าจะมาถึงวันนี้ของ 'มาร์ช-จุฑาวุฒิ' 

 

 

 

    ***อนาคตกับความสุขในปัจจุบัน*** 
    @@มองวงการบันเทิงไว้อย่างไร 

    "สำหรับผมงานแสดงเป็นหลัก คือเรารู้สึกว่าเรามีความสุขกับสิ่งนี้ แค่รู้สึกว่าโชคดีที่เรามีอาชีพที่สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ และเราได้ทำในสิ่งที่รักไปพร้อมกัน แต่พอเราทำงานมาถึงจุดหนึ่ง เราเริ่มมองเรื่องงานแสดงมากกว่าเรื่องของรายได้ รายได้มันก็เลยลดลงเรื่อยๆ เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับมัน เมื่ออยู่มาได้จุดหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็อยู่ที่งานแสดงว่าเราอยากจะแสดงบทใหม่ๆ เวลามีคนถามว่าเราได้ตั้งเป้าไหมว่าจะไปถึงจุดไหน ยังไม่มี เป้าหมายหลักๆ ในชีวิตเป็นเรื่องของครอบครัว ครอบครัวในปัจจุบันผมต้องแฮปปี้ พ่อแม่ พี่ๆ ต้องอยู่กันอย่างแฮปปี้ รวมถึงครอบครัวในอนาคตด้วย เราอยากมีครอบครัวที่ดี มีอนาคตที่ดี เพราะผมเชื่อว่าสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่เราอยู่ด้วยกันมากที่สุด สุดท้ายเรากลับบ้านเราก็อยู่กับสถาบันนี้ ชีวิตเกินครึ่งของเราอยู่ที่นี่"

 

    @@ ถ้าเวลาที่อ่อนแอทำอย่างไร 
    "ผมเป็นคนหนึ่งที่เวลาที่อ่อนแอคนในครอบครัวจะไม่ค่อยเห็น เวลาเรามีปัญหาเราจะหาทางออกด้วยตัวเองก่อน จนสุดๆ แล้วจริงๆ ผมถึงจะปรึกษาคนอื่น คือผมเป็นคนที่ค่อนข้างดื้อ คือเวลาปรึกษาใครถ้าเขาบอกให้ไปขวา ผมก็จะไปซ้าย คือปรึกษาไปอย่างนั้นแหละให้อุ่นใจ คิือถ้าไปผิดเราก็ค่อยไปทางที่เขาแนะนำก็ยังไม่สาย"
 

 

    @@ วาดหวังอะไรในอนาคต
     "ไม่ค่อยแล้ว แค่อยากให้คนที่บ้านมีความสุข คุณพ่อคุณแม่สุขภาพแข็งแรง และได้อยู่กับคนดีๆ ตอนเด็กๆ เราอยากมีเพื่อนเยอะๆ แต่พอโตขึ้นมาเรารู้ว่าขอแค่มีคนคุณภาพ และหวังดีกับเราจริงๆ คือเพื่อนคนไหนไม่ดีเราสามารถตัดเขาออกไปได้ ความสบายใจคือที่สุดของชีวิต ผมไม่เคยฝันว่าตอ้งมีอำนาจ มีเงิน มีความสำเร็จ คือขอแค่แต่ละวันเราสบายใจแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว"

 

    เรียกว่าเปิดมุมมองของ “มาร์ช” จุฑาวุฒิ ให้แฟนๆ ได้รู้กัน 

 

กว่าจะมาถึงวันนี้ของ 'มาร์ช-จุฑาวุฒิ' 

 

 

กว่าจะมาถึงวันนี้ของ 'มาร์ช-จุฑาวุฒิ' 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ