Lifestyle

ไทยยกระดับเฝ้าระวังขั้น 2 ปอดอักเสบจีน ไม่หลุดสู่คน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ไทยยกระดับเฝ้าระวังขั้น 2 ปอดอักเสบจีน ไม่หลุดสู่คน 9 วัคซีน ที่ต้องรู้ก่อนเดินทาง โดย...  คุณภาพชีวิต [email protected] -

 

 

 


          สธ.เฝ้าระวังผู้ป่วย 4 ราย พบไข้ มีประวัติกลับจากพื้นที่เสี่ยงโรคระบาดในจีน เผยผลแล็บเบื้องต้น พบ 2 รายเป็นไข้หวัดใหญ่-อาร์เอสวี ประกาศยกระดับมาตรการเฝ้าระวังเป็นขั้นที่ 2 หลังพบผู้ป่วยมากขึ้น-ขยายพื้นที่-หวั่นแพร่เชื้อจากคนสู่คน “อนุทิน” มั่นใจมาตรการไทยพร้อมสกัดโรค ไม่หลุดสู่ประชาชนทั่วไป

 

อ่านข่าว...  ไทยเฝ้าระวังเข้มโรคปอดอักเสบหลังระบาดในเมืองอู่ฮั่นประเทศจีน

 

 

          จากกรณีเกิดการแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบลึกลับในเมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย์ ทางตอนกลางของจีน ทำให้มีผู้ป่วยสะสมอย่างน้อย 59 คน ตั้งแต่เดือนธันวาคม ปีที่แล้ว และคณะกรรมการด้านสาธารณสุขเมืองอู่ฮั่นระบุว่า เชื้อที่ทำให้เกิดการป่วยนั้น ไม่ใช่ทั้ง ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก เชื้อไวรัสอะดีโน โรคซาร์ส หรือโรคเมอร์ส และผลการตรวจสอบแกะรอยเส้นทางของโรคในเบื้องต้นพบว่า อาจมาจากตลาดจำหน่ายอาหารทะเลแห่งหนึ่งในเมืองอู่ฮั่นนั้น


          ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์หลังการตรวจเยี่ยมห้องผู้ป่วยแยกโรคติดเชื้อความดันลบ สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค(คร.) ว่า ขณะนี้มีผู้ป่วนเข้าเกณฑ์สงสัยต้องเฝ้าระวัง 4 ราย เนื่องจากมีอาการไข้และประวัติเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยงคือ เมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย์ จึงได้นำตัวเข้ารับการรักษาที่สถาบันบำราศนราดูร


          อย่างไรก็ตาม อาการทั่วไปดีขึ้น และผลการตรวจยืนยันเชื้อทางห้องปฏิบัติการ(แล็บ)เบื้องต้น พบว่าเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ ไม่ได้ติดเชื้อไวรัสจีน รอสังเกตอาการในห้องแยกโรคของสถาบัน และส่งตรวจยืนยันเชื้อในห้องแล็บซ้ำอีกครั้ง และรอจนกว่าจะพ้นระยะแพร่เชื้อ จึงจะอนุญาตให้กลับบ้านได้


          “ผู้ป่วยที่เฝ้าระวังทั้ง 4 ราย เป็นเชื้อหวัด ไม่ได้ติดเชื้อที่เป็นต้นเหตุของการระบาดในเมืองอู่ฮั่น จึงยืนยันว่าไม่มีโรคระบาดที่เป็นไวรัสจีนเข้ามาในประเทศไทยแต่อย่างใด และแม้จะเข้ามา มาตรการที่ไทยเตรียมไว้เชื่อมั่นว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดสู่ประชาชนในวงกว้าง ไม่มีอะไรต้องกังวล ส่วนการเดินทางไปเมืองอู่ฮั่นเพื่อทำธุรกิจ ก็ไปได้ แต่ให้ระมัดระวังตัวเองไม่ไปในพื้นที่เสี่ยง ส่วนใครที่จะเดินทางไปท่องเที่ยว ก็ควรที่จะชะลอไว้ก่อนเพื่อความสบายใจของตัวเอง ส่วนคนที่เดินทางกลับมาจากเมืองที่เป็นพื้นที่เสี่ยงดังกล่าว หากมีอาการไข้ ให้โทรปรึกษาได้ที่สายด่วน 1422 หรือเข้ารับการรักษาที่สถาบันบำราศนราดูร” นายอนุทินกล่าว




          นายอนุทิน กล่าวอีกว่า จากการที่ได้มาตรวจดูความพร้อมของสถาบันบำราศนราดูร ซึ่งเป็นสถานพยาบาลหลักในการให้การดูแลผู้ป่วยในกรณีที่พบว่าป่วยจากการติดเชื้อไวรัสจากจีน ซึ่งขอให้ความมั่นใจกับคนไทยทุกคน รวมถึงผู้ที่จะเดินทางมายังประเทศไทยให้มีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยสามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างได้ มั่นใจว่าโรคที่เป็นความกังวลจะไม่แพร่ระบาดในประเทศไทย เนื่องจากมีการเตรียมพร้อมมาตรการ ระบบคัดกรอง คัดแยกและนำตัวผู้ที่มีอาการเป็นไข้เข้ารับการรักษาในห้องแยกโรคความดันเป็นลบ ที่สามารถป้องกันการแพร่เชื้อจากภายในไม่ให้แพร่กระจายออกมายังภายนอกได้


          นอกจากนี้ ได้แจ้งไปยังโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศ กรณีมีคนไข้ที่มีอาการติดเชื้อไข้หวัดมาเข้ารับการรักษา ขอให้รายงานมายังกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และบางกรณี หากเข้าข่ายเป็นผู้ต้องสงสัยที่อยู่ในข่ายต้องเฝ้าระวัง จะมีการส่งรถพยาบาลไปรับเข้ามารักษาที่สถาบันบำราศนราดูร อีกทั้งในส่วนของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางจากเมืองอู่ฮั่นเข้ามาในประเทศไทยได้มีการดำเนินการให้แยกประตูการลงจากอากาศยานเป็นพิเศษ ทั้งนี้มีเที่ยวบินตรงมาลงที่สนามบินสุวรรณภูม 3 เที่ยวต่อวัน สนามบินดอนเมือง 2 เที่ยวต่อวัน และสนามบินเชียงใหม่ 2 เที่ยวต่อวัน


          “ที่ผ่านมา สธ.รับมือกับสถานการณ์โรคติดต่อร้ายแรงมาหลายครั้ง แต่สิ่งที่ สธ.กังวลคือความไม่เข้าใจและการได้รับข่าวสารที่ไม่ถูกต้องของสาธารณชน เพราะหากมีการกระจายข้อมูลที่ไม่ถูกต้องออกไป จะกลายเป็นความตื่นตระหนกจนเกินไป อย่างไรก็ตาม สธ.ยืนยันว่าจะสามารถรักษาผู้ป่วยได้ ไม่มีการแพร่ของเชื้อไปในวงกว้าง ไม่มีอะไรเกินความสามารถของบรรดาแพทย์ พยาบาลและวงการแพทย์ของไทย มีอะไรที่เป็นอันตรายมีมาตรการรองรับตามลำดับความรุนแรงของสถานการณ์ต่อไป” นายอนุทินกล่าว


          ด้าน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สงสัยต้องเฝ้าระวังจะต้องพิจารณาจาก 3 ส่วน คือ เป็นไข้ มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ และมีประวัติเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง โดยหากครบทั้ง 3 เกณฑ์ สถาบันจะรับตัวเข้ามารับการสอบสวนโรค หากยังมีไข้จะนำตัวเข้าห้องแยกโรค แต่หากไม่มีไข้จะกักตัวไว้จนถึงระยะปลอดภัย สำหรับผู้ป่วย 4 รายที่เฝ้าระวังอยู่ที่สถาบันนั้น รายแรกเป็นเด็กชายชาวจีนอายุ 3 ปี ผลแล็บเบื้องต้นไม่พบซาร์ส เมอร์ส หรือเชื้อที่เป็นอันตรายอื่นๆ พบเป็นเชื้อเอ เอช3 เอ็น2 ซึ่งเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ ขณะนี้อาการดีขึ้น อยู่ระหว่างการตรวจยืนยันเชื้อครั้งที่ 2


          รายที่ 2 เป็นนักศึกษาหญิงไทย ที่ศึกษาอยู่ที่เมืองอู่ฮั่น อายุ 22 ปี มีอาการไข้รักษาที่โรงพยาบาลเอกชนก่อนที่จะมาเข้ารับการรักษาที่สถาบัน ผลแล็ปไม่พบโรคซาร์ส โรคเมอร์ส แต่พบเป็นเชื้ออาร์เอสวี และรอตรวจเชื้อยืนยันซ้ำรอบที่ 2 รายที่ 3 เป็นนักศึกษาหญิง อายุ 24 ปี มีอาการไข้ โดยเห็นข่าวการเฝ้าระวังและรู้ว่าตนเองกลับจากเมืองอู่ฮั่น จึงมาขอรับการรักษาที่สถาบัน แต่ไม่มีอาการติดเชื้อรุนแรงในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง หรือปอดอักเสบ อยู่ระหว่างการรอผลแล็บ โดยผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และรายที่ 4 เป็นนักท่องเที่ยวคนไทย อายุ 44 ปี มีเหตุจำเป็นให้ต้องพำนักที่เมืองอู่ฮั่น มีอาการไข้ จึงนำตัวเข้ารับการรักษาในห้องแยกโรค อยู่ระหว่างการรอผลแล็บตรวจยืนยันเชื้อ


          นพ.สุวรรณชัย กล่าวด้วยว่า กรมควบคุมโรคได้ยกระดับ ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน(Emergency Operation Center, EOC) เป็นขั้นที่ 2 ซึ่งหมายความว่าไทยมีการเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการบริหารจัดการและการประสานงาน ซึ่งการยกระดับพิจารณาจาก 1.แนวโน้มผู้ป่วยมีมากขึ้น โดยประมาณวันที่ 31 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยประมาณ 27 ราย แต่พอถึงวันที่ 3 มกราคม 2563 พบผู้ป่วย 44 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยอาการรุนแรง 11 ราย ที่สำคัญคือ มีผู้ที่มีอาการที่อยู่ในกลุ่มที่ทางการจีนยังเฝ้าระวังและแยกกักอีก 121 ราย 2.พบผู้ป่วยในพื้นที่อื่น คือ ฮ่องกง พบผู้ป่วย 7 ราย และสิงคโปร์ก็พบผู้ป่วยแต่เป็นผู้ป่วยเข้าข่าย เป็นต้น และ 3.ไวรัสที่แพร่ระบาดอยู่นั้นยังไม่ทราบว่าเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนหรือไม่ จึงมีข้อสงสัยว่าจะมีการติดต่อจากคนสู่คนหรือไม่


          อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีการรับมือกับโรคอันตราย โดยการวางแผนไว้ 3 ระบบ คือ 1.ช่องทางเข้าออกทั้งทางน้ำ ทางบก ทางอากาศ ซึ่งตรวจจับผู้ที่มีอาการป่วยเข้ารับการรักษาและเฝ้าระวังโรค 2.สถานพยาบาล โดยหากผู้ป่วยหลุดไปจากช่องทางแรกก็จะพบผู้ป่วยที่สถานพยาบาล โดยได้มีการประสานสถานพยาบาลของรัฐทุกระดับและโรงพยาบาลเอกชนให้มีความเข้าใจและแจ้งกรณีพบผู้ป่วยสงสัยให้ สธ.ทราบ และ 3.ชุมชนต้องให้ความร่วมมือ ทั้งผู้ประกอบกิจการโรงแรม บ้านพัก โฮมสเตย์ โดยให้ข่าวสารคนในชุมชน ให้ช่วยกันดูอาการ หากสงสัยให้แจ้งมายังกรมควบคุมโรค หรือสายด่วนโทร.1422


          9 วัคซีนที่ต้องรู้ก่อนเดินทาง
          1.วัคซีนโรคไข้เหลือง (Yellow fever vaccine) ตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (WHO IHR) ฉีดก่อนเดินทางไปประเทศในแถบแอฟริกากลางและอเมริกาใต้อย่างน้อย 10 วัน


          2.วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza vaccine) ฉีดก่อนเดินทางอย่างน้อย 2 สัปดาห์


          3.วัคซีนป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์ (Typhoid vaccine) ฉีดก่อนเดินทางไปพื้นที่อินเดีย แอฟริกา เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกากลาง ประมาณ 1 เดือน


          4.วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A vaccine) ผู้ที่จะเดินทางไปประเทศที่มีความเสี่ยงสูง ฉีดเพียง 2 เข็มห่างกัน 6 - 12 เดือน


          5.วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B vaccine) ฉีดทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งที่ 2 ห่างจากครั้งแรก 1 - 2 เดือน ครั้งที่ 3 ห่างจากครั้งแรก 6 เดือน


          6.วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies Vaccine) แบ่งให้เป็น 3 ครั้ง ครั้งที่ 2 จะแบ่งให้หลังจากรับเข็มแรก 7 วัน และครั้งที่ 3 จะรับหลังจากเข็มที่ 2 เป็นเวลา 14 - 21 วัน การรับเข็มกระตุ้นหรือเข็มที่ 4 สำหรับผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศที่เคยได้รับวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้านานกว่า 10 ปี


          7.วัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal vaccine) ผู้ที่ต้องเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ประเทศซาอุดีอาระเบียจะต้องรับวัคซีนนี้ก่อน 2-3 สัปดาห์


          8.วัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค (Cholera vaccine) หากเดินทางไป เขตแอฟริกา เอเชียใต้ หรือตะวันออกเฉียงใต้ จะต้องได้รับวัคซีนก่อนออกเดินทางอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ชนิดรับประทานแบ่ง 2 ครั้ง ห่างกัน 1-6 สัปดาห์ เด็กอายุ 2-6 ปี ได้รับ 3 ครั้ง ห่าง 1-6 สัปดาห์

 

          9.วัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม (Measles / Mumps / Rubella vaccine) แบ่งเป็น 2 เข็ม ทั่วไปจะได้รับในเด็กอายุ 12-13 เดือน และเริ่มเข้าโรงเรียนผู้ใหญ่สามารถรับได้ 2 เข็ม ห่างระหว่างเข็มเป็นเวลา 1 เดือน เข็มที่ 2 ก่อนออกเดิน 2 สัปดาห์
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ