Lifestyle

จากคนที่เขาว่าบ้าสู่ ป่าร่วมยาง เจ้าของต้นแบบอาหารปลอดภัย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดย...  0 พวงชมพู ประเสริฐ 0  [email protected] 

 

 

 

          “พัทลุง” จังหวัดเล็กๆ ที่จัดเป็นเมืองรองในพื้นที่ภาคใต้ มีประชากรราว 5.25 แสนคน แต่กล้าที่จะประกาศตัวทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ การกำหนดเป้าหมายจังหวัดสู่การเป็น “เมืองสีเขียว” หรือ “พัทลุง กรีน ซิตี้” เพื่อให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นส่วนหนึ่งของ “หน่วยจัดการพื้นที่จังหวัดพัทลุง” หรือ Node Flagship พัทลุง จากการสนับสนุนของแผนสร้างสรรค์โอกาส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ซึ่งการขับเคลื่อนเข้าปีที่ 2 เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อย่างเช่นที่ “บ้านขาม" พื้นที่ติดเทือกเขาบรรทัด และ “บ้านบางขวน” พื้นที่ติดริมทะเลสาบสงขลา

 

 

 

จากคนที่เขาว่าบ้าสู่ ป่าร่วมยาง เจ้าของต้นแบบอาหารปลอดภัย

สหจร ชุมคช

 

 

          10 ปีก่อน ณ บ้านขาม ต.ลำสินธุ์ อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง สหจร ชุมคช เกษตรกร วัย 46 ปี แหกกฎการทำสวนยางแบบเดิมๆ ในช่วงเวลาที่ราคายางพารายังไม่ตกต่ำเท่าทุกวันนี้ ด้วยการทำให้ “สวนยาง” มีมากกว่า ”ต้นยางพารา” ที่เป็นเกษตรเชิงเดี่ยว ด้วยการทำ “ป่าร่วมยาง” ไม่ใช่เพียงปลูกยาง กรีดยาง เท่านั้น 


          สหจร เรียนจบรัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง และทำงานในเมืองหลวงนานนับสิบปี เขามีความสนใจในเรื่องต้นไม้เป็นทุนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชท้องถิ่น กระทั่งในปี 2551 ตัดสินใจกลับมาอยู่บ้าน เริ่มต้นด้วยตัวคนเดียวเพียงลำพัง โดยเริ่มสะสมต้นไม้ที่เขาเคยพบเห็นในสวนยางสมัยเด็กๆ ที่นับวันจะเริ่มหายากและสูญพันธุ์จากการที่ใช้สารเคมีอันตรายในสวน นำมาเพาะขยายและปลูกในสวนยาง

 

 

 

จากคนที่เขาว่าบ้าสู่ ป่าร่วมยาง เจ้าของต้นแบบอาหารปลอดภัย

 


          ท่ามกลางสายตาคนในชุมชนที่มองว่า "เขาบ้า” เพราะสิ่งที่ทำนั้นเป็นการ “ฉีกกฎ” การทำสวนยางแบบเดิมๆ ที่มีความเชื่อว่า “หากปลูกพืชอื่นในสวนยาง ยิ่งมาก ยิ่งทำให้น้ำยางออกไม่ดี” แม้แต่ภรรยาก็ไม่เห็นด้วย เมื่อปลูกต้นไม้ ภรรยาก็จะเดินตามและถอนทิ้ง เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาคิดจะทำ เหนืออื่นใดในการปลูกป่าร่วมยางของเขา เป็นแบบเกษตรอินทรีย์ ไม่มีการใช้สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ปุ๋ยเคมี อาศัยระบบธรรมชาติพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
 

 

 

จากคนที่เขาว่าบ้าสู่ ป่าร่วมยาง เจ้าของต้นแบบอาหารปลอดภัย

 

 

          ถึงวันนี้ผ่านมา 10 ปี “สวนปันแสง” เนื้อที่ 7 ไร่ รกครึ้มไปด้วยต้นไม้ 6 ชั้น มีมากกว่า 1,000 ชนิด ทั้งพืชใบ พืชดอก ผัก ผลไม้ และสมุนไพร และพืชแทบทุกชนิดสามารถส่งขายเป็นรายได้ให้แก่ครอบครัวไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1-3 หมื่นบาท อย่างเช่น ดอกเอื้องหมายนา กิโลกรัมละ 800 บาท หรือต้นตีนตุ๊กแกกิโลกรัมละ 150 บาท ดอกดาหลา ลูกฉิ่ง ว่านสาวหลง และอื่นๆ ซึ่งลูกค้าสำคัญของ สหจร เป็นเชฟระดับมิชลินสตาร์ ที่ปัจจุบันนิยมให้ความสำคัญกับการใช้พืชท้องถิ่นปลอดสารพิษจากภูมิภาคต่างๆ มาประกอบอาหารหรือประดับจานอาหารมากขึ้น รวมถึงรายได้จากการเพาะเมล็ดพันธุ์ต้นกล้าขาย ใน 1 ปีได้เงินมาเกือบ 1 แสนบาท

 

 

จากคนที่เขาว่าบ้าสู่ ป่าร่วมยาง เจ้าของต้นแบบอาหารปลอดภัย

 



          จนผลผลิตเฉพาะสวนปันแสงไม่เพียงพอ จึงมีการรวมตัวเป็นเครือข่ายคนในชุมชน ปรับเปลี่ยนการทำสวนยางเชิงเดี่ยว มาทำเรื่อง “ป่าร่วมยาง” ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น ไม่หวังพึ่งเพียงการขายยางพาราเท่านั้น สิ่งสำคัญ ยังเป็นการขยายวงลดใช้สารเคมี มุ่งเน้นเกษตรอินทรีย์ เพราะการปลูกพืชร่วมยางต้องเป็นพืชท้องถิ่น ทนต่อสภาพอากาศ และมีการจัดระบบในสวน ปลูกพืชชั้นนอก เพื่อเป็นเหมือนแนวกำแพงควบคุมความชุ่มชื้นภายในสวน ด้วยการใช้ไม้แตกกอ ภายในสวนต้องมีไม้หลักทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง ให้ร่มเงาและความชุ่มชื้น อาจจะใช้ต้นยางเดิม และต้องรู้ว่าพืชที่จะปลูกนั้นชอบแดดมากหรือแดดรำไร ต้องดูสภาพพื้นที่ด้วย ปัจจุบัน สวนยางปันแสงเป็น “สวนการเรียนรู้พันธุกรรมพืชตำบลลำสินธุ์”


          “สวนยางส่วนใหญ่จะมีลักษณะโล่งเตียน แต่เราต้องกล้าที่จะแหกกฎการทำสวนยางเดิมๆ เราถึงจะพบแนวทางใหม่ๆ ทุกวันนี้ ผลผลิตต่อไร่ดีกว่ายางพาราถึง 10 เท่า กลายเป็นรายได้หลัก มากกว่าขายน้ำยางที่กรีดได้ 2-3 เท่า โดยการทำตลาดส่วนใหญ่ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย” สหจร กล่าวอย่างเชื่อมั่น

 

 

 

จากคนที่เขาว่าบ้าสู่ ป่าร่วมยาง เจ้าของต้นแบบอาหารปลอดภัย

 


          ปัจจุบัน “โครงการป่าร่วมยาง” เป็นพื้นที่ศึกษาต้นแบบด้านอาหารปลอดภัย ของ “หน่วยจัดการพื้นที่จังหวัดพัทลุง” ซึ่ง สสส.เป็นแกนหลักสำคัญประสานความร่วมมือกับภาคประชาชน กำหนดเป้าหมายสู่ “พัทลุง กรีน ซิตี้ คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี” มียุทธศาสตร์ขับเคลื่อนด้านสุขภาวะ 4 ประเด็น ได้แก่ 1.สิ่งแวดล้อมดี ชุมชนปลอดมลพิษ 2.ทรัพยากรชายฝั่งเพิ่มขึ้น 3.อาหารปลอดภัย และ4.การท่องเที่ยว ส่งเสริมสินค้าวัฒนธรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้ยุทธศาสตร์ ปี  2561-2564 ”พัทลุง เมืองคนคุณภาพ สิ่งแวดล้อมดี ชุมชนเข้มแข็ง เติบโตและม่ั่งคั่งจากฐานการเกษตร วัฒนธรรม ภูมิปัญญา และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ยั่งยืน เช่นเดียวกับโครงการ “เขตอนุรักษ์สัตว์น้ำบ้านบางขวน” 


 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ