ข่าว

น้ำมัน"บี10"ตอบโจทย์นโยบาย"พลังงานเพื่อทุกคน"          

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

จากประกันรายได้ปาล์มสู่น้ำมัน"บี10"ตอบโจทย์นโยบาย"พลังงานเพื่อทุกคน"          

        การยกระดับราคาปาล์มเพื่อช่วยเกษตรกรแก้ปัญหาราคาตกต่ำเป็นนโยบายที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562/2563 ซึ่งเป็น 1 ใน5 พืชเศรษฐกิจหลักได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา ปาลืมน้พมันและมันสำปะหลัง ที่เริ่มต้นจากแนวคิดพรรคประชาธิปัตย์ก่อนมาสู่โหมดนโยบายรัฐบาล

         โดยปาล์มน้ำมันถือเป็นพืชตัวแรกที่เริ่มดำเนินการและเริ่มโอนเงินให้แก่เกษตรงวดแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา ในราคาประกันผลปาล์มทะลาย (คุณภาพน้ำมัน 18%) อยู่ที่กิโลกรัมละ 4 บ าท ไม่เกินครัวเรือนละ 25 ไร่ รวมวงเงินทั้งสิ้น13,378ล้านบาทเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาผลผลิตปาล์มล้นตลาดและราคาตกต่ำ วงเงินทั้งสิ้น 13,378 ล้านบาท 

น้ำมัน"บี10"ตอบโจทย์นโยบาย"พลังงานเพื่อทุกคน"          

 

      "สำหรับปาล์มน้ำมัน รัฐบาลประกันรายได้ที่ กิโลกรัม (กก.)ละ 4 บาท/ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ การประกันรายได้นี้ ไม่ใช่การประกันราคาพืชผลการเกษตร เพราะจะเป็นการแทรกแซงตลาดและขัดกับหลักการ WTO แต่รัฐบาลจะประกันรายได้โดยการโอนส่วนต่างให้ตามที่กำหนดราคาแต่ละชนิด ส่วนสาเหตุที่รัฐบาลประกันรายได้ชาวสวนปาล์มมากที่สุดที่ 25 ไร่ต่อครัวเรือน เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่มีที่ดินไม่ถึง 25ไร่  เนื่องจากนโยบายนี้ตั้งใจช่วยคนส่วนใหญ่ของประเทศ จ่ายเงินงวดแรกในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญ"จุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เคยกล่าวไว้ในวันคิกออฟจ่ายเงินงวดแรกให้กับเกษตรกรชาวสวนปาล์ม

      ทว่าการประกันรายได้ไม่ใช่ทางออกสุดท้ายเพื่อความยั่งยืนของเกษตรกร หากผลผลิตปาล์มไม่มีการระบายออกไป กระทั่งกระทรวงพลังงาน ภายใต้การนำ"สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์"ต้องการระบายสต๊อกปาล์มออกจากระบบโดยเร็วที่สุดเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายตลาดนำการผลิตลดการช่วยเหลือด้านงบประมาณจากภาครัฐ จึงมีนโยบายการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ “ไบโอดีเซล”อย่างจริงจัง ด้วยการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซล B10 เป็นน้ำมันดีเซลฐาน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป  เพราะการใช้น้ำมันดีเซล B10 นั้นสามารถแก้ปัญหาน้ำมันปาล์มดิบล้นตลาด ช่วยสร้างเสถียรภาพด้านราคา ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนปาล์มอย่างยั่งยืน 

    ไม่เพียงเท่านั้นยังเกิดผลดีในการรักษาสิ่งแวดล้อมเพราะช่วยลดมลพิษ ลดฝุ่น PM2.5 ได้ด้วย และที่สำคัญคือสามารถช่วยเหลือผู้บริโภคใช้น้ำมัน  เนื่องจาก B10 มีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลเดิมลิตรละ 2 บาท ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้อย่างชัดเจน ส่วนรถยนต์ดีเซลที่ใช้ B10 ไม่ได้ อย่างรถรุ่นเก่าและรถยุโรปก็ยังคงมี B7 เป็นดีเซลทางเลือกไว้ให้และมี B20ที่ออกมาก่อนหน้านี้ก็เป็นทางเลือกให้กับรถบรรทุกขนาดใหญ่ด้วย

   "คณะรัฐมนตรี ได้เห็นชอบโครงการปรับลดราคาน้ำมัน เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้มีการลดราคาขายปลีกน้ำมันบี 10 และ อี 20 ลง 1 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2562 ถึง 10 มกราคม 2563 และใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดำเนินการร่วมกับสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.)"

   ส่วนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ฺของ“สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติปรับลดราคาน้ำมัน เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนในการประชุมครม.นัดสั่งลาปี 2562 พร้อมสั่งให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตรึงราคาน้ำมันตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อลดค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทางช่วงปีใหม่และมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้พี่น้องประชาชนด้วย

    อย่างไรก็ตามจากการที่กระทรวงพลังงานได้รณรงค์และออกมาตรการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซล B10 เพื่อสร้างสมดุลปาล์มน้ำมันทั้งระบบของประเทศให้มีความยั่งยืนและช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันไม่ให้ราคาผลผลิตตกต่ำและเตรียมที่จะกำหนดให้น้ำมันดีเซล B10 ให้เป็นน้ำมันดีเซลฐานของประเทศ ทั้งยังมีมาตรการด้านราคาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคให้หันมาใช้น้ำมันดีเซล B10 เพิ่มขึ้น โดยกำหนดราคาให้ถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุน B7 ลิตรละ 1บาท และได้เพิ่มส่วนต่างขึ้นอีกรวมเป็น 2 บาทต่อลิตร

   ทั้งนี้ได้มีการคาดการว่า ปริมาณการใช้ ดีเซล B10 จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณวันละ 50 ล้านลิตร ซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้ไบโอดีเซล (B100) ได้ประมาณ 7.0 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ตั้งเป้าหมายการส่งเสริมการใช้ดีเซล B10 ไปให้ถึงที่ 57 ล้านลิตรต่อวัน  

   ในส่วนของผู้ค้าน้ำมันก็ได้ให้ความร่วมมือในการส่งเสริมนโยบายส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซล B10 โดยวันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไปคลังน้ำมันทุกแห่งจะมีน้ำมันดีเซล B10 จำหน่ายในทุกสถานีบริการน้ำมัน ทั่วประเทศจากปัจจุบันมีจำหน่ายแล้ว จำนวน 450 แห่ง

  ถึงกระนั้นการส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันดีเซล B10 แทน B7 นอกจากจะช่วยสร้างสมดุลปาล์มน้ำมันทั้งระบบแล้ว ยังช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ได้อีกด้วย โดยผลการศึกษาพบว่า การใช้น้ำมันดีเซล B10 จะช่วยลดฝุ่นละออง (PM) ลงได้ประมาณ 15% และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ลงได้ประมาณ 3.5% หรือ 300 ตัน/ปี นอกจากนี้กระทรวงพลังงาน ยังมีมาตรการในการเพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำมันไบโอดีเซล (บี100) ในภาคพลังงานให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน โดยกำหนดเป้าหมายการใช้ไบโอดีเซล (บี100) ให้ได้ประมาณ 7.0 ล้านลิตร /วัน 

     สำหรับการกำหนดให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ให้เป็นน้ำมันดีเซลฐานของประเทศ โดยมีน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี7 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 เป็นน้ำมันดีเซลทางเลือก ก็เพื่อให้ความต้องการใช้ปาล์มน้ำมัน (ภาคพลังงาน และ เพื่อการบริโภค) สมดุลกับปริมาณการผลิตในประเทศ ซึ่งน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B10 ใช้สำหรับรถยนต์ดีเซลทั่วไป โดยปัจจุบันมีค่ายรถยนต์เกือบทุกค่ายให้การรับรองว่าสามารถใช้น้ำมันดีเซล B10 ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะรถยนต์ที่ผลิตตั้งแต่ ปี 2010 เป็นต้นมา ยกเว้นค่ายยุโรป เช่น Benz หรือ BMW ที่ยังไม่สามารถใช้ได้ 

     ปัจจุบันจำนวนรถยนต์ที่ใช้ดีเซลทั้งสิ้นประมาณ 10.5 ล้านคันเป็นรถยนต์ที่ค่ายรถรับรองว่าใช้ B10 ได้ประมาณ 5.3 ล้านคันหรือร้อยละ 50 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 50 ซึ่งจะเป็นในส่วนของรถยุโรปและรถยนต์รุ่นเก่า  นอกจากนี้ยังมีน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 ที่เป็นน้ำมันดีเซลทางเลือก สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่อีกด้วย

    อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีสถานีบริการที่จำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 จำนวน 300 แห่ง และผู้ค้าน้ำมันมีแผนจะขยายเป็น 600 แห่ง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 62 หลังจากเดือนมกราคม 63 เป็นต้นไป คาดว่าจำนวนสถานีบริการจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง และจะครบทุกสถานีบริการตามแผนที่กระทรวงพลังงานกำหนดในเดือนมีนาคม 63 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 จะเป็นน้ำมันดีเซลฐานของประเทศแทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 7 ต่อไป

    จากการคาดการณ์ ปริมาณการจำหน่ายคาดว่าประมาณกลางปี 2563 จะมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ประมาณวันละ 50 ล้านลิตร และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงเดือน กรกฎาคม – กันยายน 2563 ซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้ไบโอดีเซล(บี100) ได้ประมาณ 7.0 ล้านลิตรต่อวัน ตามเป้าหมายของกระทรวงพลังงาน (โดยมีปริมาณการใช้ บี10 ที่ 57 ล้านลิตร/วัน บี7 ที่ 5 ล้านลิตร/วัน และ บี20 ที่ 5 ล้านลิตร/วัน) ซึ่งจะสามารถดูดซับ CPO ในภาคพลังงาน ให้ได้ประมาณ 2 ใน 3 ของปริมาณการผลิตทั้งหมดของประเทศในปัจจุบัน (หรือประมาณ 2.2 ล้านตัน/ปี)

  จึงเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีว่านโยบายส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ “ไบโอดีเซล”มาถูกทางแล้ว B10 จึงเป็นน้ำมันเกรดพื้นฐานเป็นพลังงานเพื่อทุกคน เพียงแค่ช่วยกันเติมคนละลิตรสองลิตรก็สามารถพลิกชีวิตเกษตรกรได้

                           

เล็งใช้"บี10"เป็นฐานน้ำมันดีเซลของประเทศ 

1 สร้างสมดุลปาล์มน้ำมันทั้งระบบในประเทศ ปริมาณการใช้ (ภาคพลังงาน และเพื่อการบริโภค) มีความสมดุลกับปริมาณการผลิต สร้างเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมัน

2 ช่วยลดการนำเข้าน้ำมัน

3 ช่วยลดมลพิษทางอากาศ (ปริมาณฝุ่น PM.2.5)

4 ประชาชนได้ใช้น้ำมันราคาถูก

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ