ข่าว

 จ่อฟันตร.บกพร่องคดี"บอส อยู่วิทยา" สั่งทำคดี ขับรถเร็ว ใหม่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงผลการทำงานของคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ที่ขับรถชนตำรวจเมื่อปี 2555 พบข้อพิรุธของพนักงานสอบสวนในขณะนั้นหลายประเด็น รวมถึงมีการตั้งข้อสังเกตุอีกหลายประเด็น 

วันนี้ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจเอกศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษาพิเศษผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมด้วยพลตำรวจโทจารุวัฒน์ไวศยะ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะทำงานตรวจสอบคดีบอส อยู่วิทยา แถลงผลการประชุมตรวจสอบข้อเท็จจริง 15 วัน ตามที่มีการกำหนดกรอบเวลา พร้อมกับมีการไล่ไทม์ไลน์ขั้นตอนการทำงานของพนักงานสอบสวนจนถึงส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด จนถึงการไม่สั่งแย้งคดี 

โดยพลตำรวจโทจารุวัฒน์ ระบุว่า ผลการตรวจสอบของพลตำรวจโท เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่พบความบกพร่องจากการสั่งไม่แย้ง เนื่องจาก การพิจารณาจะต้องพิจารณาตามข้อมูลและหลักฐานภายในสำนวนตามที่อัยการส่งมาเท่านั้นไม่สามารถนำหลักฐานใหม่มาพิจารณาได้ ส่วนพนักงานสอบสวน ที่ทำคดีในสมัยนั้น จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนวินัยตำรวจ 11 นายที่เคยถูก ปปช. ชี้มูลความผิด ประพฤติมิชอบ ทุจริตและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และมีการส่งลงโทษทางวินัยไปแล้ว รวมถึงตำรวจชุดใหม่ อีก 3-4 นาย ที่ต้องมาตรวจสอบความผิดทางวินัยใหม่อีกครั้ง 
 

โดยข้อบกพร่องของผู้เกี่ยวข้องกับการสอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติม 1.ไม่ดำเนินการตรวจสอบปัสสาวะ เพื่อตรวจสารเสพติดเมื่อได้ตัวผู้ต้องหา 2.ไม่เก็บหลักฐานคำให้การสอบสวนพยานเพิ่มเติมไว้ตามระเบียบ 3.ผู้ออกรายงานให้การไม่ตรงกับรายงาน 4.พนักงานสอบสวนไม่ออกหมายจับตามคำสั่งพนักงานอัยการ

                   จ่อฟันตร.บกพร่องคดี"บอส อยู่วิทยา" สั่งทำคดี ขับรถเร็ว ใหม่

 ส่วนข้อบกพร่องของผู้เกี่ยวข้องที่ถูกแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี วันที่ 25 เมษายน 2559 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งสำนวนการสอบสวนไปยังสำนักงานปปช.ดำเนินการตามกฎหมาย วันที่ 17 ธันวาคม 2562 ปปช.มีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาโทษทางวินัย วันที่ 31 มีนาคม 2563 สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งลงโทษทางวินัย 

สำหรับข้อบกพร่องของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนคดีจราจรที่ 632/2555 ของสน.ทองหล่อ ตามคำสั่งตร.ที่ 228/2559 ลง 22 เมษายน 2559 1.ไม่ได้ทำการสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ทำการตรวจค้นบ้านผู้ต้องหาในวันเกิดเหตุประกอบสำนวนการสอบสวน 2.ไม่ได้ทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์และไม่ได้รวบรวมพยานหลักฐานในทันทีเป็นเหตุให้ขาดพยานหลักฐานในการฟ้อง 3.ไม่ได้สอบสวนปากคำผู้นำตัวผู้ต้องหามามอบตัวประกอบสำนวน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงว่าผู้ต้องหาไปที่ไหนอย่างไร เพื่อสอบสวนขยายผลและอาจจะใช้เป็นพยานหลักฐานยืนยันในเรื่องความเมา และข้อเท็จแห่งคดี 4.การทำสัญญาประกันปล่อยตัวชั่วคราวบกพร่อง ผู้ต้องหาได้เข้ามอบตัวเอง จึงไม่ใช่ผู้ถูกจับกุมและไม่มีหมายจับ ตามป.วิ.อาญา มาตรา 134 วรรคท้าย พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจให้ประกันตัว ซึ่งจะต้องส่งตัวผู้ต้องหาไปที่ศาล เพื่อขอหมายขังทันที

 5.การใช้ดุลพินิจของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ที่มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด 6.ผลการตรวจวิเคราะห์สารเสพติดที่เป็นสารเกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกายจากการเสพโคเคน (ยาเสพติดประเภท 2) และคำให้การของแพทย์ผู้ตรวจพิสูจน์ยืนยันว่าพบสารที่เกิดจากการเสพโคเคนในร่างกายผู้ต้องหาไม่นำเข้าพิจารณาในการทำความเห็นในข้อหาขับรถโดยประมาทฯ และไม่มีการพิจารณาในเรื่องข้อหาเสพยาเสพติด 7.พนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง บก.น. 5 ที่ 183/55 ลง 4 ก.ย. 55 ไม่กำกับดูแลให้มีการปล่อยตัวชั่วคราว ไม่เป็นไปตามป.วิ.อาญามาตรา 134 วรรคท้าย 8.คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง บก.น. 5 ที่ 183/55 ลง 4 ก.ย. 55 ไม่ขอขยายเวลาการสอบสวนตามคำสั่งตร. ที่ 960/37 ลง 10 ส.ค. 37 เมื่อได้ทำการสอบสวนครบกำหนดระยะเวลา 9.คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง บก.น. 5 ที่ 183/55 ลง 4 ก.ย. 55 มีหลักฐานการรับสำนวนของพนักงานอัยการ แต่ไม่รายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น และไม่ส่งตัวผู้ต้องหาไปขอให้ศาลออกหมายขังเมื่อการสอบสวนครบกำหนดเวลา6เดือนตามป.วิ.อาญา ม.113 วรรคสอง 10.ผกก.สน.ทองหล่อ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน ไม่ได้กำกับดูแลการสอบสวนโดยใกล้ชิดทั้งที่เป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน

 นอกจากนี้ทางพลตำรวจโทจารุวัฒน์ ได้ระบุเพิ่มเติมอีกว่า การทำงานครั้งนี้จะไม่เป็นการฟอกขาว แต่จะตรวจสอบไปตามข้อเท็จจริงตามความบกพร่องที่พบโดยไม่สนในตำแหน่งใด

ทั้งนี้ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ได้สั่งให้เนินคดีกับ บอส ในกรณีสารเสพติด และ คดีขับรถเร็ว ซึ่งจะมีการทำคดีตามขั้นตอน

สำหรับไทม์ไลน์แผนภูมิการสอบสวนคดีจราจรที่ 632/2555 สน.ทองหล่อ ในชั้นพนักงานสอบสวน ตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2555 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2556 

วันที่ 3 กันยายน 2555 ตั้งแต่เวลา 05.00 น. โดยได้อธิบายลำดับเหตุการณ์อย่างละเอียด ดังนี้ เวลา 05.30 น. พนักงานสอบสวนรับแจ้งเหตุมีอุบัติเหตุมีผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นตำรวจ จึงไปที่เกิดเหตุและแจ้งเหตุไปยังผู้บังคับบัญชาในทันทีและแจ้งแพทย์เพื่อร่วมชันสูตร ตรวจสอบที่เกิดเหตุไม่พบคู่กรณี พบรถจยย. ผู้เสียชีวิต และร่องรอยคราบน้ำมันและน้ำมันเครื่อง

 เวลา 06.20 น. พนักงานสอบสวนและแพทย์ร่วนกันชันสูตรศพผู้เสียชีวิต

 เวลา 07.00 น. ติดตามร่องรอยคราบน้ำมันและน้ำมันเครื่องไปถึงบ้านเลขที่ 9 ซอยสุขุมวิท 53 ของนายเฉลิม อยู่วิทยา ผู้บังคับบัญชาสั่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการขอหมายค้นเพื่อเข้าตรวนค้นบ้านดังกล่าว และพล.ต.ท.คำรณวิทย์ เดินทางมายังบ้านดังกล่าว

เวลา 08.20 น. ศาลอนุมัติหมายค้น ระหว่างรอหมายค้นมาที่บ้าน ขณะนั้นมีนายสุเวศฯ เข้ามอบตัว อ้างว่าเป็นผู้ขับขี่รถยนต์และต่อมายอมรับว่าตนไม่ใช่ผู้ขับขี่เนื่องจากตำรวจพบสมุดบันทึกว่ารถคันเกิดเหตุไม่มีชื่อนายสุเวศฯ เป็นผู้ขับขี่จึงจำนนด้วยหลักฐาน ภายหลังถูกนำตัวไปดำเนินคดีศาลลงโทษฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จฯ จำ 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท รอลงอาญา และพบรถคันเกิดเหตุอยู่ในบ้านพนักงานสอบสวน จึงแจ้งเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เพื่อตรวจรถคันเกิดเหตุ

เวลา 09.15 น. พนักงานสอบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ตรวจรถ ซึ่งจอดอยู่ที่บ้านผู้ต้องหา ระหว่างนั้น ได้รับทราบว่า นายเฉลิม ได้นำตันายวรยุทธ มามอบตัว

เวลา 09.30 น. พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหานายวรยุทธ ดังนี้ 1.ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ไม่หยุดให้ความช่วยเหลือ ไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา (ไม่ส่งตัวผู้ต้องหาไปตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด ผิด วิ.อาญา มาตรา 131 ไม่รวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วนอันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา)

ประมาณ 13.00 น. พนักงานสอบสวนยึดรถของคู่กรณีและนำส่งไปตรวจที่พฐ. พร้อมทั้งบช.น. ประกาศขอให้ผู้พบเห็นเหตุการณ์ติดต่อพนักงานสอบสวน เพื่อให้การเป็นพยาน

เวลา 15.10 น. ผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีหลักประกันเป็นเงินสด 5 แสนบาท (ผิด เนื่องจากเป็นกรณีผู้ต้องหาเข้ามอบตัว ไม่ใช่ผู้ถูกจับและไม่มีหมายจับตามป.วิ.อาญา มาตรา 134 ต้องขอให้ศาลออกหมายขังโดยทันที) เวลา 16.03 น. พนักงานสอบสวนส่งตัวไปตรวจร่างกาย โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ หาร่องรอยบนร่างกาย/เจาะเลือด เพื่อตรวจปริมาณแอลกอฮอล์และสารเสพติดในเลือด

วันที่ 4 กันยายน 2555 บก.น.5 ตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนโดยมีพ.ต.อ.สุคุณ พรหมายนเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนทำหนังสือแจ้ง ผบก.จร.ขอให้จัดส่งผู้ชำนาญการตรวจสภาพรถคันเกิดเหตุไปที่พฐ. 

วันที่ 5 กันยายน 2555 ได้รับผลตรวจสภาพรถจากบก.จร. แจ้งผลการตรวจพิสูจน์สภาพและเครื่องอุปกรณ์รถที่เกิดเหตุทั้ง 2 คัน และสอบพ.ต.ท.สมยศ เป็นพยานไว้เห็นว่าจากความเสียหายรถทั้ง 2 คัน น่าจะมีความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. และได้รับผลตรวจแอลกอฮอล์จากรพ.บำรุงราษฎร์ ระบุ 64.68 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น

วันที่ 6 กันยายน 2555 เก็บภาพกล้องวงจรปิดก่อนเกิดเหตุประมาณ 150 ม. โดยบริเวณนั้นไม่พบกล้องอื่นใดและได้นำส่งพฐ. ตรวจหาความเร็วรถ 

วันที่ 8 กันยายน 2555 นายจารุชาติเข้าพบพนักงานสอบสวนให้การว่าขับรถกระบะเห็นจยย เปลี่ยนช่องทางจาก 1 ไป 2 ในช่องทางที่พยานขับรถอยู่ พยานจึงหลบมาช่อง 1 และเมื่อผ่านรถจักรยานยนต์ไป ก็ได้ยินเสียงชนดังข้างหลังและไม่ได้หันไปดู

วันที่ 13 กันยายน 2555 ได้รับผลตรวจเลือดผู้ต้องหาที่ 1 จากรพ.รามาฯ (พบสารแปลกปลอม) โดยนายแพทย์วิชาญฯ 1. Alprazolam 2. Benzoylecgonine 3. Cocaethylene 4. Caffeine 

วันที่ 16 กันยายน 2555 สอบพยานแพทย์รศ. นพ.วิสูตร ผู้ตรวจเลือดผู้ต้องหาที่ 1 ที่พบสารแปลกปลอม

วันที่ 17 กันยายน 2555 ได้รับผลตรวจวัตถุพยาน (รองเท้ากับดินที่พรมปูพื้นเบาะคนขับ) จากงานเคมี ฟิสิกส์ พฐ.ยืนยันว่าคนขับขี่ผู้ต้องหา 

วันที่ 18 กันยายน 2555 ทำหนังสือถึงรพ.รามาฯ ขอตรวจสอบชื่อสารแปลกปลอมที่ตรวจพบในเลือดผู้ต้องหา

วันที่ 26 กันยายน 2555 ได้รับผลการตรวจแผ่นดีวีดี วงจรปิดที่เกิดเหตุ จากงานเคมี พิสิกส์พฐ. ความเร็ว 177 กม./ชม.

วันที่ 9 ตุลาคม 2555 ทำหนังสือถึงสถาบันนิติเวชตร. ตรวจสอบชื่อสารแปลกปลอม

วันที่ 11 ตุลาคม 2555 ได้รับหนังสือรพ.รามาฯ ว่า 1. Alprazolam-อาจเป็นยานอนหลับหรือยาแก้โรคทางจิตประสาท 2.Benzoylecgonine-เกิดได้หลังการย่อยสลายจากการเสพโคเคน 3. Cocaethylene-เกิดได้หลังการเสพโคเคนร่วมกับแอลกอฮอล์ 4.Caffeine-พบได้ในชา กาแฟเครื่องดื่มบำรุงกำลัง

วันที่ 25 ตุลาคม 2555 สอบผู้ต้องหาที่ 1 ครั้งที่ 2 แจ้งข้อหาเพิ่ม 3.ขับรถในขณะเมาสุรา 4.ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากผลตรวจพบแอลกอฮอล์ในเลือดผู้ต้องหาที่ 1 และผลตรวจจากกองพิสูจน์หลักฐาน

วันที่ 28 ตุลาคม 2555 สถาบันนิติเวชตร.ตอบกรณีสาร Benzoylecgonline และ Cocaethylene ไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษ แต่เกิดขึ้นจากการใช้โคเคน และไม่มีในปนในยาหรืออาหารใด ๆ 

วันที่ 20 พฤศจิกายน 2555 ทนายความผู้ต้องหาที่ 1 ขอให้สอบนพ.วรนิติ์ และนางเกตุนุช

วันที่ 2 ธันวาคม 2555 สอบนพ.วรนิติ์-แพทย์ผู้ให้การเรื่องปริมาณแอลกอฮอล์ ตรวจเมื่อ 16.30 น. พบแอลกอฮอล์ในเลือด 64.48% ดังนั้นหากกินตั้งแต่ 6.00 น. จะมีแอลกอฮอล์ในเลือด 328.11% ซึ่งผู้นั้นจะไม่รู้สึกสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถขับรถได้ **ไม่สอบพยานผู้เชี่ยวชาญคนกลางเนื่องจากนพ.วรนิติ์ เป็นพยานที่ผู้ต้องหานำมา (ไม่สอบสวนให้สิ้นกระบวนความ) 

วันที่ 15 ธันวาคม 2555 สอบนางเกตุนุช-แม่บ้านที่เห็นผู้ต้องหาที่ 1 ดื่มสุราหลังเกิดเหตุ (07.00 น.) 

วันที่ 19 ธันวาคม 2555 บก.น.5 ตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน แทนคณะทำงานเดิมที่มีการโยกย้าย โดยมีพ.ต.อ.ไตรเมต อู่ไทย รอง ผบก.น. 5 

วันที่ 10 มกราคม 2556 ทนายความผู้ต้องหาที่ 1 ขอให้สอบพยานเพิ่มครั้งที่ 2 คือนพ.วิชาญ และนพ. ณรงค์

วันที่ 16 มกราคม 2556 สอบนพ.วิชาญ-แพทย์ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับสารแปลกปลอมอาจเกิดจากกระบวนการแพทย์หรือผลลวงจากการใช้ยาปฏิชีวนะ สอบนพ.ณรงค์-ทันตแพทย์ผู้ให้การรักษาและจ่ายยา Amoxicilin 500 มิลลิกรัมให้ผู้ต้องหาที่ 1 ***บกพร่องกรณีไม่ได้สอบขยายผล Amoxicillin 500 มิลลิกรัม จะทำให้เกิดสาร Benzoylecgonine และ Cocaethylene 

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 สอบพ.ต.ท.สุรพลพยานผู้เชี่ยวชาญของศาลและผู้ชำนาญการพิเศษของตร. ในทางตรวจพิสูจน์เครื่องกลและเครื่องอุปกรณ์ส่วนควบของยานยนต์ (ที่เกี่ยวเนื่องกับอุบัติเหตุ) ให้ความเห็นว่า สภาพความเสียหายของรถไม่รุนแรงอยู่ในระดับปานกลางสันนิษฐานว่า ขณะชนความเร็วของรถทั้งสองอยู่ในระดับปานกลางโดยมีความเร็วสัมพัทธ์หรือการกระแทกชนประมาณ 30-40 กม. / ชม. ดังนั้นหากรถจยย.วิ่ง 40 กม./ชม. รถยนต์จะชนกระแทกความเร็ว 70-80 กม./ชม.

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2556 สรุปสำนวนสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1

1.ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถผู้อื่นเสียหายมีผู้ถึงแก่ความตาย

2.ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือ (ชนแล้วหนี) ด้วยเหตุไม่ขับรถให้ห่างคันหน้าพอสมควรในระยะที่หยุดได้
สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1  3.ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 4.ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ด้วยเหตุเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 ดื่มสุราหลังเกิดเหตุและขับรถด้วยความเร็วไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญของศาลฯ และผู้ชำนาญการของตร. สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 2 โดยเห็นว่าขับรถประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นได้รับความเสียหาย แต่เนื่องจากผู้กระทำความผิดถึงแก่ความตาย จึงไม่สั่งฟ้อง

วันที่ 1 มีนาคม 2556 ออกหนังสือส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ และพนักงานอัยการรับวันที่ 4 มีนาคม 2556

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ