ข่าว

'บิ๊กโจ๊ก' ยันกลุ่มเสียผลปย.ลงมือ มุ่งปมไบโอเมทริกซ์

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

'บิ๊กโจ๊ก' ยันกลุ่มเสียผลปย.ลงมือ มุ่งปมไบโอเมทริกซ์ - จี้สอบรถไฟฟ้าสายตรวจอัจฉริยะ ไล่ล่า 2 คนร้าย-เบนซ์ดำชี้เป้า ตรวจวงจรปิด-หาวิถีกระสุน

         กรณีเมื่อวันที่ 6 มกราคม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางรักรับแจ้งเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนยิงถล่มรถยนต์ภายในบริเวณลานจอดรถ บริษัท สุรวงศ์ สาริกา จำกัด เลขที่ 37 ถนนสุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กทม. จึงรายงานผู้บังคับบัญชา โดยมี พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รองผบช.น. พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ. ดวงโชติ สุวรรณจรัส ผกก.สน.บางรัก ฝ่ายสืบสวนสน.บางรัก ชุดสืบสวนบก.สส.บช.น. เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ลงพื้นที่ตรวจสอบ และในเวลาต่อมามี พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. เข้าร่วมตรวจสอบด้วย

 

     ที่เกิดเหตุพบรถยนต์ยี่ห้อเลกซัส รุ่นอาร์เอ๊กซ์ 270 ทะเบียน 9 กจ 351 กรุงเทพมหานคร บริเวณประตูฝั่งซ้ายฝั่งที่นั่งผู้โดยสารพบร่องรอยถูกกระสุนปืนยังไม่ทราบขนาด จำนวน 8 นัด โดยพบร่องรอยถูกยิงเข้าที่บริเวณประตูหน้าด้านคนนั่ง 1 นัด ประตูด้านหลังคนนั่งอีก 7 นัด โดยรถดังกล่าวเป็นของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวว่าก่อนเกิดเหตุ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ขับรถเล็กซัสคันดังกล่าว ซึ่งเป็นรถของดร.ศิรินัดดา หักพาล ภรรยา มาทำธุระส่วนตัว ขณะเกิดเหตุ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไม่ได้อยู่ในรถ 

     จากแนวทางการสืบสวนคาดว่าคนร้ายไม่ประสงค์เอาชีวิต แต่เป็นการยิงข่มขู่ ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่สรุปประเด็นในการก่อเหตุครั้งนี้ ต้องสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยเบื้องต้นจากการสอบปากคำพยานแวดล้อม ทราบว่าคนร้ายมีด้วยกันจำนวน 2 คน ลักษณะสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ใส่หมวกกันน็อคเต็มใบ ขี่รถจักรยานยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน และไม่ทราบเส้นทางที่มา ก่อนที่จะมาจอดใกล้กับรถ แล้วชักอาวุธปืนไม่ทราบขนาดยิงใส่ที่บริเวณประตูรถคันดังกล่าว จากนั้นหลบหนีไปอย่างรวดเร็วนั้น

     ด้าน  พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุตนได้เดินทางมาทานข้าวและแวะทำธุระที่ย่านดังกล่าว โดยจอดรถไว้ที่บริเวณลานจอดรถ กระทั่งเวลากลับก็เห็นว่ารถมีร่องรอยของการถูกยิง จึงประสานทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาตรวจสอบ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทราบว่าว่าคนร้ายมีจุดมุ่งหมายอย่างใด แต่จากการดูวิถีร่องรอยของกระสุนเชื่อว่าประสงค์ต่อชีวิต ทั้งนี้ยืนยันที่ผ่านมาไม่มีปัญหาขัดแย้งส่วนตัวกับใคร และทำหน้าปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภท ด้วยความมุ่งมั่น ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แต่สิ่งที่กังวลและเป็นห่วง คือเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในบริเวณที่เป็นใจกลางเมือง มีผู้คนพลุกพล่าน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่อุกอาจมาก จึงอยากให้ตำรวจเร่งล่าตัวมือปืนมาให้ได้โดยเร็ว เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งนี้มองว่าการก่อเหตุในที่ชุมนุมคน จะยิ่งกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังมีปัญหา อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวด้วย

     ล่าสุดช่วงเย็นวันที่ 7 มกราคม พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เปิดเผยผ่านการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับเนชั่นทีวี เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว โดยให้ข้อมูลว่า "ขณะเกิดเหตุไปนวดแผนไทย สัปดาห์ละ 2 ครั้ง และมีที่จอดประจำ คนร้ายต้องรู้พฤติกรรมของผม โดยพนักงานบอกว่ารถผมถูกยิง ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆ และมีข้อมูลอยู่แล้วว่าอาจเกิดเหตุการณ์แบบนี้ คิดว่าอาจมาจากประเด็นเรื่องเดียวที่มีผู้เสียผลประโยชน์ และเป็นประเด็นอยู่ทุกวันนี้ จากการเสนอยกเลิกโปรเจคเครื่องไบโอเมทริกซ์ เนื่องจากไม่ได้ประสิทธิภาพ ส่วนเรื่องรถสายตรวจอัจฉริยะก่อนผมเข้ามาได้มีการเซ็นเรื่องจัดซื้อไปเรียบร้อยจบหมดแล้ว ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวไม่คิดว่าเป็นการจัดฉากแน่นอน ผมทำงานซื่อตรงตลอด และผมทำไปตามหน้าที่ ผมเชื่อว่าสังคมจะเห็นเอง ผมวานให้สื่อไปตรวจสอบโปรเจคเครื่องไบโอเมทริกซ์ ว่าใช้ได้จริงไหม มีประสิทธิภาพจริงรึเปล่า ผมเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิสทธิ์มีจริง และสังคมจะเห็นเอง เรียนตรงๆว่าสมัยก่อนผมทำงาน ผมก็เอางานมานำเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน" 

       เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ซึ่งได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า ยิงสนั่นกลางกรุง ไม่รู้ว่าหมายเอาชีวิต หรือต้องการแค่ข่มขู่!! แต่ที่แน่ๆทราบมาว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติกำลังจะเรียก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ให้ข้อมูลในเรื่องการทุจริตโครงการไบโอเมทริกซ์ และโครงการรถไฟฟ้าอัจฉริยะ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะเป็นผู้เคยทำหนังสือท้วงติงให้ยับยั้งโครงการ ซึ่งมีข่าวแว่วมาว่ามีคนแถวปทุมวันเกี่ยวข้องกับเงินทุจริตหลายร้อยล้านบาท ตามที่ผมได้ร้องเรียนให้มีการตรวจสอบไป ซึ่งหากพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ฯ ไปให้ข้อมูลจริง น่าจะไปถึงคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งหมด เว้นแต่การยิงครั้งนี้จะทำให้พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ฯ ไม่อยากไปให้ข้อมูล!! แต่ในความคิดผม เรื่องแค่นี้ไม่น่าทำให้หวั่นไหวได้แม้แต่น้อย

      ขอให้พี่ๆสื่อมวลชนสอบถาม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ในฐานะผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าเหตุการณ์อุกอาจแบบนี้เกิดขึ้นกลางกรุงได้อย่างไร? และเกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริตที่ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กำลังมีการตรวจสอบกันอยู่หรือไม่!? และถามพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ว่าพร้อมให้ข้อมูลการทุจริตในโครงการไบโอแมทริก และโครงการรถไฟฟ้าอัจฉริยะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือไม่หากถูกเรียก

         ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 7 มกราคม เวลา 08.30 น. พล.ต.อ.วิระชัย ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ชุดสืบสวน สน.ปทุมวัน และ ชุดสืบสวน สน.บางรัก ก่อนเปิดเผยว่า คดีนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้ง ซึ่งจากการพูดคุยกับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ในเบื้องต้นไม่มีประเด็นในเรื่องของชู้สาว หรือความขัดแย้งทางธุรกิจโดยในวันที่ 8 มกราคมเวลา 12.30 น.จะนัดพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มาสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้งที่สน.บางรัก 

       นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้ฝ่ายสืบสวน เร่งวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ก่อเหตุ ซึ่งเชื่อว่าขณะนี้ผู้ก่อเหตุน่าจะมีมากกว่า 2 คน โดยมีการวางแผนมาเป็นอย่างดี 

         "ขณะนี้ยังไม่ได้ตัดประเด็นการยิงผิดตัวทิ้งไป เพราะมีไม่กี่คนที่ทราบว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ใช้รถยนต์คันนี้ ส่วนจะมีการจัดฉากสร้างสถานการณ์หรือไม่ ตำรวจก็จะมีการตรวจสอบในประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน สำหรับเส้นทางที่คนร้ายใช้หลบหนี เบื้องต้นพบว่า เมื่อคนร้ายลงมือก่อเหตุแล้วได้ขับรถจักรยานยนต์ย้อนกลับมาทางเดิม เนื่องจากซอยดังกล่าวเป็นซอยตัน ก่อนขับมุ่งหน้าไปทางแยกอังรีดูนังต์ และเลี้ยวซ้ายวิ่งไปตามถนนพระราม 4 มุ่งหน้ามาแยกสามย่าน ดังนั้น จึงสั่งการให้ฝ่ายสืบสวน เร่งขยายผลตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้อง มาให้ปากคำเพิ่มเติมโดยเฉพาะพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ที่จะมาให้ปากคำ เพื่อคลี่คลายหลายประเด็นที่สังคมสงสัย" พล.ต.อ.วิระชัย กล่าว

       ต่อมาเวลา 11.45 น. ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ(สพฐ.) พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ในฐานะ โฆษก ตร.  พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. พล.ต.ท.วิเชียร ตันตะวิริยะ ผบช.สพฐ. ตำรวจฝ่ายสืบสวนและสอบสวน เดินทางมาประชุมความคืบหน้าคดี

        พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า หลังรับแจ้งเหตุ ตำรวจได้เข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุ ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด สอบพยานที่เกี่ยวข้อง และเร่งทำการสืบสวนสอบสวน เบื้องต้นการตรวจพิสูจน์รถยนต์คันที่ถูกยิง พบร่องรอยถูกกระสุนปืนยิง จำนวน 8 นัด ที่บริเวณข้างตัวรถทางซ้าย บริเวณประตูหน้า 1 นัด และประตูหลัง 7 นัด และพบหัวกระสุนตกอยู่ในที่เกิดเหตุ 2 หัว โดยหลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนได้ร่วมกับ พฐ. นำรถยนต์คันดังกล่าวมาตรวจพิสูจน์ ซึ่งการทำงานในคดีดังกล่าว ทางตำรวจได้แบ่งหน้าที่กันทำงานโดยให้พนักงานสอบสวนทำหน้าที่สอบสวน มี ผกก.สน.บางรัก เป็นหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวน และมีรอง ผบช.น. รับผิดชอบงานสอบสวนลงไปเป็นพี่เลี้ยงคอยกำกับดูแล

     ในด้านการสืบสวน แบ่งเป็น งานสืบสวนระดับสถานีตำรวจ โดยให้รับผิดชอบสถานที่เกิดเหตุและพื้นที่ใกล้เคียง หาพยานบุคคล วัตถุพยาน และตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ส่วนการสืบสวนระดับกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 6 (บก.น.6) คอยดูภาพรวมพยานหลักฐานที่ปรากฏ ส่วน บก.สส.บช.น. จะใช้ความเชี่ยวชาญพิเศษด้านการสืบสวน ซึ่งการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายมีความคืบหน้าไปมากพอสมควร และเพื่อให้กระบวนการของการสืบสวนสอบสวนเป็นไปโดยปราศจากข้อสงสัย และให้ทิศทางข่าวเป็นไปในแนวทางเดียวกัน จึงให้ ผบช.น.เป็นผู้ให้ข่าวเพียงผู้เดียว ส่วนข้อมูลผลการตรวจวิทยาศาสตร์ ให้ ผบช.สพฐ.เป็นหลัก ในระดับตร. ให้ พล.ต.อ.วิระชัย และพล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รอง ผบ.ตร. เป็นผู้ให้ข้อมูล

       พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวอีกว่า การตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทำให้พบหัวกระสุนปืนเพียง 2 หัว จึงเก็บผลไปเทียบเคียงทางนิติวิทยาศาสตร์ ทางพิสูจน์หลักฐานเรียกว่าระบบ ibis ระบบนี้จะตรวจสอบจากหัวกระสุน เกลียวกระสุน จึงต้องรื้อรถของพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ในการตรวจหาหัวกระสุนที่คาดว่าจะตกอยู่ในรถเพิ่มเติม เพื่อหาเอกลักษณ์ของกระบอกปืนที่ใช้ยิงนอกจากนี้ ยังต้องมีการตรวจสอบภาพวงจรปิดก่อนเกิดเหตุ 7-15 วัน และภาพหลังเกิดเหตุ เพื่อเร่งติดตามคนตัวร้ายมาดำเนินคดี ขณะนี้สอบพยานไปแล้วกว่า 6 ปาก ยังไม่ยืนยันว่าผู้ก่อเหตุมีความเชี่ยวชาญการใช้อาวุธปืนหรือไม่ แต่จากวิถีกระสุนพบว่าเป็นการยิงเฉียงลง ในระยะประชิด อย่างไรก็ตามยืนยันว่าทุกฝ่ายจะทำงานอย่างเต็มที่ไม่ปล่อยให้คดีเงียบไปกับสายลม

     “คดีนี้ผู้ประสบเหตุก็เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำชับให้เร่งจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว พร้อมกันนี้ได้กำชับผู้บังคับบัญชาทุกพื้นที่ให้กำหนดมาตรการป้องกันเหตุ เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุร้ายขึ้นอีก หากเกิดเหตุต้องติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดได้โดยเร็วด้วยความรอบครอบ รวดเร็วเป็นธรม อาศัยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงกับผู้ที่ก่อหตุเป็นสำคัญ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน นักลงทุน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ” พล.ต.ท.ปิยะ กล่าว

       นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวไปตรวจสอบที่ร้านคิงส์ บอดี้ เฮ้าส์ ซึ่งเป็นร้านนวดแผนโบราณตั้งอยู่ในซอยสุรวงศ์ แขวงสุรวงศ์ เขตบางรัก กทม. ที่อยู่ใกล้เคียงกับจุดคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่รถของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ พบว่าตลอดช่วงเช้าวันนี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.บางรัก และชุดสืบสวน กก.สส.บก.น.6 ลงพื้นที่สอบปากคำพยานแวดล้อม และทำการตรวจภาพจากกล้องวงจรปิดภายในร้านดังกล่าว

        จากการสอบถามผู้จัดการร้านนวด เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุตนนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ภายในร้าน ก่อนได้ยินเสียงคล้ายประทัดดังขึ้นหลายครั้ง ทีแรกนึกว่ามีใครมาทุบกระจกร้าน หลังสิ้นเสียงดังขึ้นพนักงานนวดได้แจ้งกับตนว่ามีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่รถยนต์ที่จอดอยู่บริเวณด้านหน้าร้าน ซึ่งตอนนั้นเห็นรถจักรยานยนต์สีดำ คนร้ายขับขี่ซ้อนท้ายกันมา 2 คน แต่งกายมิดชิด สวมหมวกกันน็อคแบบเต็มใบ รีบเร่งเครื่องออกจากจุดเกิดเหตุไปอย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ซึ่งขณะนั้นพนักงานนวดของร้านรวมถึงตนอยู่ในอาการตกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน

      ส่วน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ นั้นขณะเกิดเหตุได้ใช้บริการนวดอยู่ที่ชั้นบนของร้าน โดยเข้ามาใช้บริการตั้งแต่เวลา 18.30 น. ของวันที่ 6 มกราคม เพียงคนเดียว ไม่มีนายตำรวจติดตาม จากนั้นนวดไปประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ จึงเกิดเหตุการณ์ขึ้น ซึ่งพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ถือเป็นลูกค้าประจำของทางร้านที่มาใช้บริการนวดนานกว่า 10 ปี เวลามาใช้บริการนวดในแต่ละครั้งก็จะจอดรถตรงจุดที่เกิดเหตุอยู่เป็นประจำ ยืนยันว่ารถยนต์ที่ถูกคนร้ายยิงนั้น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ขับมาจอดและใช้บริการเป็นครั้งแรก

       ขณะที่พนักงานนวดที่ให้บริการ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า ตอนเกิดเหตุพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ นอนหลับอยู่บนเตียงนวด ซึ่งตนเองและพนักงานนวดอีกคนก็ได้ยินเสียงคล้ายประทัด แต่ก็ไม่ได้เอะใจหรือตกใจ กระทั่งมีผู้ดูแลร้านขึ้นไปแจ้งเรื่องให้ทราบ จากนั้นเมื่อให้บริการนวดเสร็จได้ปลุกพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ขึ้นมา ก่อนจะแจ้งกับเจ้าตัวว่ารถยนต์ถูกยิง แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้มีอาการตกใจแต่อย่างใด ทั้งยังบอกกับผู้ดูแลร้านด้วยว่าไม่ต้องแจ้งความ เดี๋ยวจะดำเนินการเอง จากนั้นได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและลงมาตรวจสอบรถยนต์ที่ได้รับความเสียหาย

        ด้านผู้ดูแลร้านนวด เปิดเผยว่า สำหรับร้านนวดแห่งนี้เปิดมานานกว่า 24 ปี ซึ่งให้บริการนวดนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จำนวนมาก อาทิ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. รวมถึง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ โดยตลอดระยะเวลาที่เปิดให้บริการมาไม่เคยมีเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ถือว่าอุกอาจมาก เนื่องจากย่านดังกล่าวนั้นถือได้ว่าเป็นย่านเศรษฐกิจ ที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่และใช้บริการนวดเป็นจำนวนมากต่างหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกรงจะกระทบระบบเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

        ทั้งนี้พนักงานเก็บค่าจอดรถบริเวณลานจอดรถจุดเกิดเหตุ ระบุว่า ก่อนเกิดเหตุขณะที่ตนปฏิบัติหน้าที่อยู่ พบรถยนต์ต้องสงสัยเป็นรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ สีดำ ขับเข้ามาภายในลานจอดรถดังกล่าว จำนวน 3 รอบ และรอบสุดท้ายนั้นช่วงเวลาห่างกับคนร้ายขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาก่อเหตุประมาณ 30 นาที ซึ่งผิดสังเกตที่ว่าซอยดังกล่าวนั้นเป็นซอยตัน ไม่สามารถทะลุออกไปทางไหนได้ แต่ขับรถวนเข้ามาถึง 3 รอบ

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ