ข่าว

เด้ง!7ตำรวจฉาวซ้อมผู้ต้องหา

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ที่มา : หน้า 1 หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก ฉบับวันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม 2562

 

 

          ผบก.น.9 สั่งย้าย 7 ตำรวจ สน.หลักสอง ซ้อมผู้ต้องหาบนรถกระบะตราโล่ เข้ากรุ ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ยันไม่ป้องลูกน้อง ผกก.อ้างผู้ต้องหาอาละวาด ถ่มน้ำลาย ด่าทอเจ้าหน้าที่จนหมดความอดทน ด้าน “สุทธิพงษ์” ผบช.น.ชี้ ผิด ไม่มีสิทธิ์ซ้อมผู้ต้องหา ไม่เป็นไปตามขั้นตอนการควบคุมตัว คลิปชัดเจน

 

 

 

          จากกรณีมีการเผยแพร่คลิปเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อมผู้ต้องหาภายในบริเวณ สน.หลักสอง โดยในคลิปมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 6-7 นาย กำลังทุบตีผู้ต้องหาที่ถูกใส่กุญแจมือและอยู่บนท้ายรถกระบะจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ ล่าสุด กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 สั่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ 7 นาย ไปปฏิบัติราชการประจำศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจนครบาล 9 (ศปก.บก.น.9)

 

          เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ต.อ.อรรถวุฒิ นิวาตโสภณ ผกก.สน.หลักสอง กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 7 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.หลักสอง ได้รับแจ้งเหตุจากประชาชนว่ามีคนเมายาหรือสารเสพติดอาละวาดภายในวัดบุญยประดิษฐ์ ถนนพุทธมณฑลสาย 2 แขวงบางไผ่ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจจึงลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมกับวิทยุขอกำลังสายตรวจมาสนับสนุนเข้าจับกุมก่อนจะนำตัวชายคนดังกล่าวไปที่ สน.หลักสอง ขณะเข้าจับกุมผู้ชายตามภาพในคลิปทราบชื่อต่อมาคือ นายคณาพจน์ อินเรือน อายุ 33 ปี ได้ต่อสู้ขัดขืนการจับกุม อีกทั้งชายคนดังกล่าวมีรูปร่างใหญ่ทำให้การจับกุมเป็นไปด้วยความยากลำบาก และในขณะที่นำตัวผู้ต้องหาขึ้นรถมายังสถานีตำรวจยังได้ด่าเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยถ้อยคำหยาบคาย และถ่มน้ำลายใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตลอดทาง กระทั่งถึงสถานีตำรวจเจ้าหน้าที่จึงหมดความอดทนทำให้เกิดเหตุตามคลิปดังกล่าว

 



          เบื้องต้นในส่วนของผู้ต้องหานั้น ถูกดำเนินคดีมีสารเสพติดในร่างกายแล้ว และได้มีการสั่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลงมือทำร้ายผู้ต้องหาชายในคลิปว่าทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ และอยู่ระหว่างรอผลการสอบสวน ซึ่งหากพบว่ามีความผิดจริงก็จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปโดยยืนยันว่าจะไม่ปกป้องลูกน้องเด็ดขาด


          ขณะที่ พล.ต.ต.กัมปนาท โสภโณดร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 9 (ผบก.น.9) กล่าวว่า ได้รับรายงานกรณีเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว และขณะนี้ได้สั่งการให้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลงมือทำร้ายชายในคลิปดังกล่าวเกินกว่าเหตุหรือไม่ ซึ่งในตอนนี้ก็ได้มีคำสั่งให้ตำรวจที่ลงมือก่อเหตุทั้ง 7 นาย ย้ายมาช่วยปฏิบัติราชการที่ ศปก.บก.น.9 แล้ว จนกว่าผลการสอบสวนจะเสร็จสิ้น ยืนยันให้ว่ากันไปตามถูกผิด จะไม่ปกป้องลูกน้องเด็ดขาด


          สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกสั่งย้ายไปช่วยปฏิบัติราชการที่ ศปก.บก.น.9 จำนวน 7 นาย โดยให้ขาดจากต้นสังกัดตั้งแต่วันนี้ (11 ก.ค.) เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการสอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จสิ้น ประกอบด้วย พ.ต.ท.สันติ ประทุมรัตน์ สวป.สน.หลักสอง, ร.ต.อ.วิชาญ ชุ่มช่วง รองสวป., ร.ต.อ.ภิญโญ ทั่งถิน รองสวป., ด.ต.สมชาย ด้วงมูล ผบ.หมู่งานป้องกันปรามปราบ, ส.ต.ท.กิตติธัช ปานันต๊ะ ผบ.หมู่งานป้องกันปรามปราบ, ส.ต.ท.อนุชา วิชัยคำจร ผบ.หมู่งานป้องกันปรามปราบ และ ส.ต.ท.สัญญา ใจจันทร์ ผบ.หมู่งานจราจรปฏิบัติหน้าที่ ผบ.งานป้องกันปราบปราม


          ส่วนคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวว่า พ.ต.ท.สันติ ประทุมรัตน์ กับพวกรวม 7 นาย มีพฤติการณ์และการกระทำดังกล่าวจะมีมูลอันเป็นการกระทำความผิดทางวินัยตำรวจหรือไม่อย่างไร ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.จักรภพ สุคนธราช รอง ผบก.น.9 เป็นประธานกรรมการสอบสวน โดยมี พ.ต.อ.สมัตถ์ กอเจริญ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวนกองบังคับการตำรวจนครบาล 9 เป็นกรรมการ พ.ต.ท.กฤษณะ ทองบ้านบ่อ สารวัตร (สอบสวน) สน.หลักสอง เป็นกรรมการ ร.ต.อ.ธนกฤต สิงห์ฉลาด รอง สว.(สอบสวน) สน.หนองค้างพลู เป็นกรรมการและเลขานุการ


          ด้าน พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่ปรากฏในคลิปดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ล่าสุด พล.ต.ต.กัมปนาท โสภโณดร ผบก.น.9 ได้มีคำสั่งให้ตำรวจที่ปรากฏในคลิปทั้งหมด ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.บก.น.9 และตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ยืนยันว่าการกระทำแบบนี้ถือว่าผิด มีบทลงโทษแน่นอน


          “ตำรวจทั้ง 7 นายไม่มีสิทธิ์ทำร้ายร่างกายผู้ต้องหา เพราะไม่เป็นไปตามขั้นตอนการควบคุมผู้ต้องหาและภาพที่ปรากฏค่อนข้างชัดเจน ทั้งนี้จะต้องตรวจร่างกายผู้ต้องหารายนี้ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำด้วยว่า บาดเจ็บมากน้อยเพียงใด เพื่อนำมาประกอบการสอบสวนตำรวจชุดนี้ สำหรับผู้ต้องหาที่ถูกทำร้ายร่างกายเป็นผู้ต้องหาที่ก่อเหตุคลุ้มคลั่งที่วัดบุณยประดิษฐ์ ย่านบางแค ตำรวจจึงคุมตัวมาดำเนินคดี จากการตรวจปัสสาวะพบเป็นสีม่วงและเคยมีประวัติถูกจับกุมเกี่ยวกับยาเสพติดมาแล้ว แม้ว่าจะเป็นผู้ต้องหาก็ต้องให้ความเป็นธรรม” พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ กล่าว


          วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. กล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ผู้ต้องหาได้ด่าทอ ดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และใช้กำลังขัดขืนไม่ยอมสงบนิ่ง และคล้ายมีอาการคลุ้มคลั่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นต้องใช้ยุทธวิธีอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อหยุดยั้งและระงับการกระทำของผู้ต้องหา ณ ขณะนั้น จึงมีการใช้กระบองยางที่พิจารณาแล้วว่าเหมาะสม และต่อมาได้นำตัวผู้ต้องหาขึ้นไปยังห้องควบคุม ได้ทำบันทึกจับกุม ข้อหา เมาสุรา หรือสิ่งมึนเมาอย่างอื่น ส่งพนักงานสอบสวน สน.หลักสองเพื่อดำเนินคดี


          รองโฆษก ตร. กล่าวต่อว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นตามหลักยุทธวิธีตำรวจ ก็จะคำนึงถึงความปลอดภัย ระดับการใช้กำลัง ในขณะเข้าปฏิบัติหน้าที่การจับกุมการตรวจค้น การควบคุมผู้ต้องหา ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็มิได้มีเจตนาที่จะทำให้ผู้ที่ถูกจับกุมหรือประชาชนให้ได้รับบาดเจ็บ กระทบสิทธิขั้นพื้นฐานตามหลักสิทธิมนุษยชนจากการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน สังคมให้เกิดความสงบเรียบร้อย แต่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมเกิดความโปร่งใสตอบคำถามสังคมได้ขณะนี้ พล.ต.ต.กัมปนาท โสภโณดร ผบก.น.9 ได้มีคำสั่งให้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยต้องดูข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง พฤติการณ์ของผู้ต้องหาว่ามีการขัดขืนการจับกุม ต่อสู้เจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ โดยหากผลการสืบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่ามีข้อบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่หรือเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ก็จะดำเนินการทั้งทางอาญาและทางวินัยอย่างเด็ดขาดอยู่แล้ว และพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย


          รองโฆษกตร. กล่าวด้วยว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้เน้นย้ำการปฏิบัติมาโดยตลอดถึงการปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมตัวผู้ต้องหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำที่จะไปกระทบต่อสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องหา โดยให้กระทำตามอำนาจหน้าที่ตามกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น และอาศัยหลักยุทธวิธีเพื่อประเมินระดับการใช้กำลัง และเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ หมั่นฝึกทบทวนการปฏิบัติงาน ตามยุทธวิธีตำรวจอยู่เสมอ เพื่อให้เกิดความเคยชิน ลดการสูญเสีย และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่พี่น้องประชาชน โดยจะต้องยึดหลักกระทำการตามอำนาจหน้าที่ อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และใช้หลักยุทธวิธีตำรวจควบคู่กันไป


          ด้านนายยุทธนา พจนวราภรณ์ อายุ 46 ปี สัปเหร่อวัดบุญยประดิษฐ์ กล่าวว่า เป็นผู้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.หลักสอง มาควบคุมตัวนายคณาพจน์ ชายที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายตามที่ปรากฏในคลิป โดยก่อนหน้านั้นนายคณาพจน์เกิดอาการคลุ้มคลั่ง อาละวาด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาระงับเหตุไปแล้ว 1 ครั้ง หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไป นายคณาพจน์ก็อาละวาดอีก ทำลายทรัพย์สินของทางวัด ขว้างแก้ว ลากรถจักรยานยนต์ของประชาชนที่จอดอยู่ในวัด อีกทั้งปัสสาวะไม่เป็นที่เป็นทาง เรี่ยราด ประชาชนตลอดจนพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ภายในบริเวณวัดหวาดกลัวเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาระงับเหตุอีกครั้ง


          “ครั้งที่ 2 นายคณาพจน์ขัดขืนอาละวาดหนักขึ้น ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งถีบ เตะ ถ่มน้ำลายใส่ พูดจาดูหมิ่นด้วยถ้อยคำหยาบคาย ไม่ให้เกียติกับตำรวจ คล้ายคนที่อยู่ในอาการมึนเมา” นายยุทธนากล่าว


          นายยุทธนากล่าวด้วยว่า คลิปเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายนายคณาพจน์นั้น ยังไม่เห็น แต่โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปตามยุทธวิธีการเข้าจับกุม

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ