จับสาวแสบตุ๋นเงิน 7 ล้าน

 

              วันที่ 8 ก.พ. 2562 ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทศโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) แถลงการจับกุม นางสาวพิชฎา โพธิ์แก้ว อายุ 23 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวได้ที่บริเวณหน้าดีดีออลเพลส เลขที่35 ถนนโชคชัย4 ซอย 37 แขวงเขตลาดพร้าว กทม.

              พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อประมาณเดือนสิงหาคมถึงเดือนธันวาคม 2561 นางสาวพิชฎา ผู้ต้องหา ได้หลอกลวงผู้เสียหาย 7 คนผ่านโซเชียลไลน์ โดยอ้างว่าต้องการจะรับซื้อเงินสกุลฟอยน์ (FOIN) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิตอลสกุลหนึ่ง ซึ่งได้รับซื้อเป็นเงินสกุลบาท เมื่อผู้เสียหายได้โอนเงินสกุลฟอยน์ให้นางสาวพิชฎาเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่านางสาวพิชฎาไม่จ่ายเงินให้กับผู้เสียหายหรือจ่ายเงินให้กับผู้เสียหายครบถ้วนตามจำนวนที่ตกลงกันไว้ และเมื่อติดตามทวงถาม ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อได้ มีความเสียหายกว่า 7 ล้านบาท ผู้เสียหายจึงรวมตัวกันเข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ให้ดำเนินคดีกับนางสาวพิชฎา

              ต่อมาพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง รวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและสามารถควบคุมตัวได้ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

 

 

 

              จับขบวนการปลอมวีซ่าลอบพาต่างด้าวเข้าไทย

              วันเดียวกัน(8 ก.พ.) พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม. แถลงจับกุมผู้ต้องหา 6 คน สัญชาติไทย 3 คน ประกอบด้วย นานอูมา ดือเระ อายุ 37 ปี นายมะกอเซ็ง มาฮามะ อายุ 27 ปี และ นายพุรุกร ยุโซะ อายุ 31 ปี ผู้ต้องหาสัญชาติเวียดนาม 3 คน ประกอบด้วย นางสาวหยาน ที่ ซูน มาย อายุ 36 ปี นางสาวไมยือี๊ อายุ 33 ปี นางสาวคาม ที ทู่ อายุ 59 ปี โดยผู้ต้องหาทั้งหมดลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยผิดกฎหมาย และปลอมแปลงตราประทับเพื่อการเดินทาง เจ้าหน้าที่จับกุมได้ที่ ตม.สะเดา จ.สงขลา

 

 

 

 

              ผบช.สตม. เปิดเผยว่า กลุ่มผู้ต้องหาสัญชาติเวียดนาม 3 คน หลบหนีเข้ามาผ่านทางด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา โดยมีผู้ต้องหาคนไทย 3 คนให้การช่วยเหลือและช่วยปลอมรอยตราประทับด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา ก่อนจะมาพักคอยที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งสาขาด่านนอก ตำรวจตรวจสอบผ่านกล้องวงจรปิดดูแกะรอยพฤติการณ์จนสามารถจับกุมไว้ได้โดยผู้ต้องหาคนไทยได้แบ่งหน้าที่กันทำทั้งติดต่อประสานงานสั่งควบคุมการปฎิบัติ, ติดต่อชาวเวียดนามที่ฝั่งมาเลเซีย, รวบรวมหนังสือเดินทางไปประทับตราอนุญาตเดินทางปลอม, รวมถึงขับรถจักรยานยนต์ตามหลังคุ้มกันระหว่างนำชาวเวียดนามเข้าไทย

              พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ผู้ต้องหาชาวไทยมีความผิดฐานร่วมนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายและปลอมเอกสารราชการซึ่งมีโทษอัตราสูงสุดจำคุกไม่เกิน 10 ปี สำหรับผู้ต้องหาชาวเวียดนามมีความในข้อหา เข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยไม่เดินทางเข้ามาตามช่องทางของด่านตรวจคนเข้าเมืองไม่ยื่นรายการตามแบบที่กำหนดและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และ ข้อหาปลอมและใช้ตราประทับปลอม เพื่อเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย