ข่าว

เอาตัวรอดเมื่อเกิดเหตุกราดยิง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เอาตัวรอดเมื่อเกิดเหตุกราดยิง คอลัมน์...  รู้ลึกกับจุฬาฯ 

 

 


          เหตุกราดยิงเมื่อวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 จ.นครราชสีมา ที่มีผู้เสียชีวิต 30 ราย และผู้บาดเจ็บกว่า 57 ราย นับเป็นเหตุการณ์โศกนาฏกรรมสะเทือนใจและสะเทือนขวัญในประเทศไทยแก่ประชาชนคนไทยครั้งใหญ่ในรอบปี

 

 

          จากเหตุการณ์ดังกล่าว โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงจัดงานเสวนาว่าด้วยการเอาตัวรอดจากเหตุการณ์กราดยิง (Escape and Survive in Mass Shooting) เพื่อถอดบทเรียนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเรียนรู้วิธีการเอาตัวรอด การคุมสติรับมือเมื่อเหตุการณ์คับขัน เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา


          พ.อ.นพ.ณัฐ ไกรโรจนานันท์ ศัลยแพทย์จากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า อธิบายถึงนิยามของการกราดยิงว่าหมายถึงเหตุอันเกิดขึ้นในที่สาธารณะหรือที่ชุมชน และต้องมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 รายไม่รวมผู้ก่อเหตุ ซึ่งจากสถิติทั่วโลกผู้ก่อเหตุกราดยิงมักจะเสียชีวิตเนื่องจากจนมุม ทำให้ฆ่าตัวตาย หรือถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญฆาตกรรม


          “ปัจจัยที่บ่งชี้ว่าจะมีคนเสียชีวิตมากหรือน้อยอยู่ที่ความเร็วปากลำกล้องปืน เพราะเป็นตัวกำหนดความแรงของพลังงานที่ยิงออกไป ซึ่งตามความจริงปืนไรเฟิลย่อมแรงกว่าปืนพก แต่ในสถิติชี้ว่าผู้ถูกกราดยิงมักเสียชีวิตจากปืนพกมากกว่า เพราะโดนอวัยวะสำคัญ และมือปืนไม่สามารถพกปืนไรเฟิลในที่สาธารณะได้ เพราะมักถูกสังเกตเห็น ดังนั้นในทุกเหตุกราดยิง มือปืนมักมีปืนพกติดตัวเสมอ”


          พ.อ.นพ.ณัฐ ยังชี้อีกว่าบริเวณสำคัญที่ทำให้ผู้ถูกยิงเสียชีวิตคือบริเวณอก ศีรษะ และท้อง ขณะเดียวกันผู้เสียชีวิตจากการถูกยิงที่แขนและขามีน้อยมาก เนื่องจากการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสามารถช่วยเหลือได้


          รศ.นพ.ศุภฤกษ์ ปรีชายุทธ ศัลยแพทย์และอาจารย์จากภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ อธิบายถึงหลักการ STOP THE BLEED หรือหลักปฏิบัติการห้ามเลือดเมื่อถูกยิงว่า หากผู้ถูกยิงถูกยิงที่บริเวณแขนและขา สามารถใช้หลักการห้ามเลือดเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น โดยต้องหาจุดเลือดออก และใช้มือหรือผ้ากดโดยใช้แรงดันไม่ให้เลือดไหล




          “ให้สังเกตว่าเลือดไหลมาจากจุดไหน และสังเกตว่าอาการเลือดไหลเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือไม่ เช่น เลือดที่พุ่งออกมารวดเร็ว หรือไหลไม่หยุดจนเสื้อผ้าชุ่มเลือด ต้องรีบกด โดยใช้มือกดแรงๆ เพื่อให้หลอดเลือดหดตัว หรือใช้ผ้าสะอาดอุดปากแผล หรือใช้วิธีขันชะเนาะ ก็สามารถช่วยหยุดเลือดไหลได้”


          รศ.นพ.รัฐพลี ภาคอรรถ ศัลยแพทย์และอาจารย์จากภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ชี้แนวทางสำคัญในการเอาตัวรอดเมื่อเกิดเหตุการณ์กราดยิงว่า ควรยึดหลักตาม Hartford Consensus หรือหลักการเอาตัวรอดในยามเกิดวิกฤติ ซึ่งแบ่งเป็น RUN HIDE FIGHT (หนี ซ่อน สู้) โดยเรียงลำดับความสำคัญตามลำดับ


          “ผมอยากให้ทุกท่านมี Situation awareness คือเมื่อเวลาไปไหนให้สังเกตทางหนีทีไล่ของเรา อย่างน้อยก็ต้องดูไว้ว่าทางเข้าออกของสถานที่ที่เราไปมีกี่ทาง อยู่บริเวณไหน เพราะอันดับแรกเมื่อเกิดเหตุร้ายเราต้องหนีก่อน หนีให้ทัน เอาชีวิตเราให้รอด”


          อาจารย์รัฐพลี ชี้ว่าประชาชนควรสังเกตสถานการณ์ผิดปกติ เช่น มีเสียงดังผิดปกติ มีควันไฟ แสงสว่างจ้า หรือระเบิด ไฟดับ มีคนวิ่งหนีผิดปกติ เป็นต้น จากนั้น ควรพิจารณาทิศทางการหลบหนี และหนีให้พ้นจากสถานที่เกิดเหตุให้ไกลที่สุด สละทิ้งของที่ไม่จำเป็น เพราะชีวิตมีค่ามากกว่าสิ่งของ ก่อนถึงจุดปลอดภัยค่อยโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ


          หากไม่สามารถหนีได้ ต้องหาที่ซ่อนที่มีที่กำบังแข็งแรง หลบซ่อนให้พ้นสายตาผู้ก่อเหตุ ปิดไฟมืด ปิดเสียงโทรศัพท์ และลงกลอนประตูให้แน่นหนา โดยต้องซ่อนตัวไม่ส่งเสียงหรือกรีดร้อง และใช้วิธีการขอความช่วยเหลือผ่านข้อความทางโทรศัพท์ งดใช้เสียง และเตรียมตัวรอรับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่


          ส่วนการต่อสู้กับคนร้าย นับว่าเป็นทางออกสุดท้าย หากไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออยู่ เพราะหากไม่สู้ก็จะตาย และไม่ควรอ้อนวอนขอชีวิตจากคนร้าย


          “สู้เป็นกรณีสุดท้าย สู้ด้วยทุกอย่างที่มี ทุกคนที่มี เพราะถ้าไม่สู้เราก็จะตาย ไม่หยุดอ้อนวอน ขอร้องหรือเจรจาไกล่เกลี่ยเพราะไม่มีประโยชน์ เสียเวลา เขามาเพื่อฆ่า ไม่สนใจเรา”


          ผศ.นพ.ณัทธร พิทยรัตน์เสถียร จิตแพทย์ และอาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ อธิบายว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีชีวิตรอดคือสติ เนื่องจากในยามเกิดเหตุการณ์คับขัน สมองส่วนความกลัวหรืออารมณ์จะถูกกระตุ้นทำให้การรับรู้หรือการใช้เหตุผลลดลง และทำให้เกิดอาการตื่นตระหนก ใจเต้นรัว ใจสั่น เหงื่อออก การรับรู้แปรปรวน หรือสติหลุด


          “เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้สติหลุด ควรรีบดึงสติกลับมาโดยเร็ว อาจจะใช้วิธีการหายใจเข้าออกลึกๆ รับรู้สติเพื่อให้ร่างกายสงบ หรือใช้วิธีสัมผัสสิ่งรอบตัวเพื่อกลับมาสู่ปัจจุบัน ซึ่งการฝึกสติผ่านการนั่งสมาธิ หรือออกกำลังกายก็สามารถช่วยได้”


          อาจารย์ณัทธรยังกล่าวทิ้งท้ายว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์คับขัน อย่าเพิ่งยอมแพ้ และใช้สติที่มี หาวิธีเอาตัวรอด และช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่ช่วยได้

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ