ข่าว

จ่าประสิทธิ์ นอนคุก รอประกันชั้นฎีกา

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลสั่งส่งคำร้อง "จ่าประสิทธิ์" นปช. อดีตส.ส.สุรินทร์ เพื่อไทย ขอประกันให้ศาลฎีกาสั่ง คดีอุทธรณ์ยืนคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา รอลุ้นผล 2-3 วัน

 


              4 ก.พ.2563 - ที่ห้องพิจารณา 901 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.1937/2560 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง "จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ" อายุ 53 ปี อดีต ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย และแนวร่วมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลย ในความผิเฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 4, 15, 42 และรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357

 

 

อ่านข่าว - อุทธรณ์ยืนคุก 2 ปี จ่าประสิทธิ์ เตรียม 7 แสนประกันสู้ฎีกา

 

 

 

 

จ่าประสิทธิ์ นอนคุก รอประกันชั้นฎีกา

 

 

               กรณีเมื่อวันที่ 22 เม.ย.53 เจ้าหน้าที่ตรวจค้นรถจำเลย พบมีเสื้อเกราะกันกระสุนและหมวกนิรภัยปราบจราจลซึ่งเป็นเครื่องยุทธภัณฑ์โดยมิได้รับอนุญาต ที่สูญหายไปเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 ในเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าทหารปฏิบัติการสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. และขณะที่ ส.อ.ชนะยุทธ คมสาคร สังกัดกองทัพภาค 1 กำลังปฏิบัติหน้าที่ ได้มีคนร้ายมากกว่า 3 คนขึ้นไปร่วมกันใช้คันธงยาว 1 เมตร ตีประทุษร้ายและแย่งชิงหมวกนิรภัยปราบจลาจลราคา 3,745 บาท ที่ ส.อ.ชนะยุทธ ครอบครองที่ศีรษะไปโดยทุจริต เป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย เหตุเกิดที่แขวง - เขตดุสิต กทม. และที่อื่นเกี่ยวพันกัน โดยจำเลยให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว

 

 

              โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ต.ค.61 ให้จำคุก "จ.ส.ต.ประสิทธิ์" จำเลย ฐานรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 เป็นเวลา 1 ปี และจำคุกฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ฯ อีก 1 ปี รวมจำคุก 2 ปีโดยไม่รอการลงโทษ (ไม่รอลงอาญา)

 

 

             ซึ่งวันนี้ "จ.ส.ต.ประสิทธิ์" จำเลย ที่ได้ประกันตัวชั้นอุทธรณ์ 200,000 บาท เดินทางมาศาลกับภรรยา และทนายความ พร้อมฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์

 

 

           ทั้งนั้ "ศาลอุทธรณ์" ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว พยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารได้ตรวจสอบพบของกลางเสื้อเกราะและหมวกนิรภัยปราบจลาจลในที่เก็บของใต้กระโปรงรถยนต์ของจำเลย ขณะจำเลยขับรถไปบนถนนวิทยุและถูกเรียกตรวจค้น

 

                  ที่จำเลยอุทธรณ์ต่อสู้ประเด็นไม่รู้ว่าของกลางมาอยู่ท้ายรถได้อย่างไร จำเลยไม่มีเจตนาครอบครองนั้น จำเลยเบิกความว่าขณะปราศรัยบนเวที คนขับรถซึ่งเป็นญาติของจำเลยได้ขึ้นไปบอกจำเลยให้จำเลยประกาศหาเจ้าของเสื้อเกราะและหมวกนิรภัยปราบจลาจล เมื่อจำเลยลงเวทีได้รับแจ้งจากหญิงคนเสื้อแดงว่ามีทหารเคลื่อนพล จำเลยจึงขับรถออกไปดูทหารเคลื่อนพล เมื่อทหารตรวจพบของกลางในรถ จำเลยให้การไม่ทราบว่าของกลางอยู่ท้ายรถได้อย่างไร ภายหลังการ์ด นปช. ถามหา จำเลยบอกทหารยึดไปแล้ว และทราบภายหลังว่าการ์ด นปช. นำของกลางไปเก็บไว้ท้ายรถ "ศาลอุทธรณ์" เห็นว่าจำเลยเขียนคำให้การเพิ่มเติมภายหลัง เป็นพิรุธเสริมแต่งคำให้การในชั้นสอบสวน และไม่ได้ให้พนักงานสอบสวนสอบคำให้การของการ์ด นปช.

 

            ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า การ์ด นปช. ถูกคุมขัง จึงไม่สามารถนำไปสอบคำให้การได้นั้น เห็นว่าพนักงานสอบสวนไปสอบคำให้การจำเลยที่ถูกคุมขังที่เรือนจำได้ หากจำเลยประสงค์ให้พนักงานสอบสวนไปสอบคำให้การของการ์ด นปช. ก็ทำได้ อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

 

              ประเด็นพยานการ์ด นปช. เบิกความในชั้นศาลว่าเห็นฝากระโปรงรถยนต์ของจำเลยเปิดแง้มไว้ จึงนำของกลางไปเก็บ ถือเป็นการผิดวิสัยของคนทั่วไป ที่ต้องล็อกกระโปรงรถยนต์ไว้เสมอ จำเลยเป็นแกนนำชุมนุมยิ่งต้องระมัดระวัง เพราะอาจมีฝ่ายตรงข้ามนำของอะไรมาใส่ได้ คำเบิกความไม่มีน้ำหนักรับฟัง ส่วนที่จำเลยปราศรัยหาเจ้าของของกลาง แม้จำเลยมีพยานเบิกความสนับสนุน แต่เป็นญาติ คนสนิทสนม อดีตเพื่อนร่วมงาน และเจ้าของรถเวที ซึ่งเป็นไปได้ในการเบิกความช่วยจำเลยไม่ให้รับผิด รวมถึงคำเบิกความมีความขัดแย้งกันเอง พยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์

 

 

               ส่วนข้อหารับของโจร "ศาลอุทธรณ์" เห็นว่าของกลางเป็นทรัพย์สินที่ผู้ชุมนุม นปช. แย่งชิงจากเจ้าหน้าที่ผู้เสียหาย จำเลยเป็นแกนนำการชุมนุมและอดีตข้าราชการตำรวจ จำเลยย่อมรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการทำความผิด ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย

 

 

             ส่วนประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ ขอให้รอการลงโทษนั้น "ศาลอุทธรณ์" เห็นว่า คดีนี้มาจากการชุมนุมทางการเมือง แต่การที่ผู้ชุมนุมไปล้อมทหารที่กองทัพภาคที่ 1 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดขวางเจ้าหน้าที่ เกิดการปะทะกัน มีการกระชากหมวกของผู้เสียหาย แย่งชิงทำร้ายผู้เสียหาย ขณะมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน มีทหารถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส หาใช่มีแต่ผู้ชุมนุมฝ่ายเดียว จึงไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบ สันติ ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ที่จำเลยมีหมวกนิรภัยไม่ได้มีไว้เพื่อป้องกันตัวอย่างเดียว ไม่มีเหตุรอการลงโทษ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนจำคุกจำเลย 2 ปี ไม่รอลงการลงโทษ

 

 

              โดยหลังฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว  "จ.ส.ต.ประสิทธิ์" จำเลย เปิดเผยว่า จะขอสู้คดีในชั้นฎีกาต่อ โดยเตรียมหลักทรัพย์มา 700,000 บาทเพื่อขอประกันตัวซึ่งศาลจะพิจารณาอย่างไร กำหนดวงเงินเท่าใดเป็นดุลยพินิจ ซึ่งหากการยื่นประกันสุดท้ายแล้วจะต้องส่งให้ศาลสูงพิจารณาคำร้องที่อาจจะส่งผลให้วันนี้ตนอาจต้องเข้าเรือนจำก่อน ตนก็ทำใจไว้แล้ว

 

 

          กระทั่งเมื่อเวลา 16.00 น.เศษ ศาลมีคำสั่งกรณีที่ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ จำเลย ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เดิมจำนวน 200,000 บาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา ซึ่งศาลอาญา พิจารณาแล้วเห็นควรส่งเรื่องให้ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาเพื่อมีคำสั่งประกันตัวต่อไป

 

 

             ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลมีคำสั่งดังกล่าวแล้ว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้นำตัว "จ.ส.ต.ประสิทธิ์" ไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระหว่างรอคำสั่งเรื่องการประกันตัวจากศาลฎีกาต่อไป ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ศาลฎีกาจึงจะมีคำสั่งลงมา

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ