ข่าว

ดีเอสไอเห็นขัดแย้งอัยการไม่ฟ้อง ชัยวัฒน์ ยันเป็นกระดูกบิลลี่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

อัยการแจงไม่ฟ้อง ชัยวัฒน์-พวก ฆ่า บิลลี่ ดีเอสไอเห็นขัดแย้ง ยืนยันเป็นกระดูกบิลลี่ ญาติเดินหน้าฟ้อง

 

               อัยการแจงไม่ฟ้อง “ชัยวัฒน์-พวก” ฆ่า “บิลลี่” เหตุผลตรวจกระดูกไม่ชัดพอชี้ตัวบุคคล อีกทั้งพยานหลักฐานไม่พบความเชื่อมโยงถึงการกระทำผิด ด้านเมียแกนนำกะเหรี่ยงติดใจประเด็นดีเอ็นเอกระดูก-มีพยานเห็นปล่อยตัวแล้ว ลั่นพร้อมต่อสู้คดีเองจนถึงที่สุด ทนายบิลลี่แนะให้เรียนรู้จากคดี "หมอผัสพร” ขณะที่ดีเอสไอจ่อเห็นแย้งส่งอสส.ชี้ขาด

อ่านข่าว-ชัยวัฒน์ - พวก รอดอัยการไม่ฟ้องคดีบิลลี่

 

               ความคืบหน้ากรณีอัยการสั่งไม่ฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกรวม 4 คน ในข้อหาร่วมกันฆ่านายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำกลุ่มชาติพันธุ์บ้านโป่งลึก-บางกลอย และความผิดฐานอื่น แต่เห็นควรให้ฟ้องในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จากการจับกุมนายบิลลี่พร้อมน้ำผึ้งป่าของกลาง แต่กลับปล่อยตัวไปไม่ส่งตำรวจดำเนินคดีนั้น

 

               ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 มกราคม น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ หรือมึนอ ภรรยานายพอละจี ได้เดินทางมายื่นจดหมายที่เขียนด้วยลายมือตัวเองที่สำนักงานอัยการสูงสุด(อสส.) ถนนรัชดาภิเษก เพื่อขอฟังเหตุผลที่อัยการมีความเห็นไม่สั่งฟ้องนายชัยวัฒน์กับพวก

 

               โดยนางมึนอยอมรับว่า รู้สึกเสียใจที่อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องจึงอยากมาฟังคำชี้แจงเหตุผลอย่างละเอียด ส่วนกระบวนการต่อไปหลังจากนี้จะรอฟังความเห็นของกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าจะมีความเห็นแย้งหรือเห็นไปในทางเดียวกับอัยการ ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาในทางใด ก็จะเดินหน้าขอความเป็นธรรมตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป

 

               ต่อมา นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ชี้แจงกรณีอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์กับพวกในคดีฆ่าบิลลี่ว่า ในส่วนของการยกฟ้องข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นและข้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง คณะทำงานอัยการฯ ตรวจสำนวนโดยละเอียดแล้วเห็นว่า ในชั้นนี้พยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะฟ้อง

 

               เนื่องจากนายบิลลี่ถูกนายชัยวัฒน์และพวกควบคุมตัวไปพร้อมน้ำผึ้ง แต่มีพยานเห็นนายบิลลี่ถูกปล่อยตัวแล้ว ต่อมาทางครอบครัวของนายบิลลี่ ร้องศาลจังหวัดเพชรบุรีให้นายชัยวัฒน์ปล่อยตัวนายบิลลี่ ข้อเท็จจริงทางคดีตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ได้ความว่านายบิลลี่ถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว แม้ต่อมาพยาน 2 ใน 5 ปากที่เห็นนายบิลลี่ถูกปล่อยตัวกลับคำให้การต่อดีเอสไอ แต่อัยการเห็นว่า น้ำหนักที่พยานทั้งสองให้แก่ทั้ง 3 ศาล มีมากกว่า

 

               ประกอบกับวิธีการตรวจชิ้นส่วนกระดูก โดยวิธีไมโทคอนเดรีย ทราบเพียงสื่อสัมพันธ์สายมารดาเท่านั้น แต่การตรวจวิธีนี้ไม่เพียงพอยืนยันตัวบุคคลที่ชี้ชัดได้ว่าเป็นของบุคคลใด อีกทั้งสำนวนคดียังไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานแวดล้อมใดๆ เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่า ผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ร่วมกันฆ่าเมื่อใด ที่ไหน โดยวิธีใด ซึ่งเมื่อพยานหลักฐานในชั้นนี้ไม่เพียงพอฟ้อง ทางอัยการจึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 คน

 

               โดยมีหลักฐานเพียงพอในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 คนเพียงข้อหาเดียว และขณะนี้อัยการได้ส่งสำนวนคดีกลับไปให้อธิบดีดีเอสไอพิจารณาว่าเห็นด้วยหรือไม่ หากเห็นต่าง สำนวนคดีจะถูกส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาด และตามขั้นตอน ญาติของผู้เสียหายสามารถยื่นฟ้องเองได้

 

               ขณะที่นางมึนอให้สัมภาษณ์ภายหลังรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดชี้แจงเหตุผลไม่สั่งฟ้องนายชัยวัฒน์กับพวกข้อหาร่อมกันฆ่านายบิลลี่ว่า เข้าใจส่วนหนึ่ง แต่ยังติดใจในประเด็นดีเอ็นเอ การตรวจชิ้นส่วนกระดูก ยังเชื่อว่ากระดูกที่พบเป็นของนายบิลลี่ ส่วนที่อัยการระบุว่ามีพยานเห็นการปล่อยตัวนายบิลลี่นั้น จากการสอบถามคนในหมู่บ้านก็ไม่มีผู้ใดเห็นการปล่อยตัวดังกล่าว ทั้งนี้แม้อัยการจะมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องก็พร้อมจะต่อสู้คดีจนถึงที่สุด

 

               ส่วนนายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ในฐานะทนายความผู้เสียหายคดีฆาตกรรมบิลลี่ กล่าวว่า อัยการควรเรียนรู้จากคดีฆ่าหั่นศพที่เกิดขึ้นกับ พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ ที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ต่อมาพ่อผู้เสียหายเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเอง โดยใช้พยานหลักฐานเดิม และในที่สุดก็ชนะคดี ซึ่งเป็นแนวทางที่ศาลฎีกาเคยมีคำวินิจฉัยไว้

 

               ทั้งนี้การชี้แจงของรองโฆษกอัยการพูดแทนอัยการที่ทำคดียังไม่ได้ และยังมีความเห็นชี้ขาดจากอัยการสูงสุดและดีเอสไอก็ยังไม่ได้ทำข้อโต้แย้ง จึงยังมีความหวังว่าอัยการสูงสุดจะนำข้อโต้แย้งของพนักงานสอบสวนดีเอสไอไปพิจารณาก่อนจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาด หากรัฐไม่ฟ้อง ผู้เสียหายก็จะฟ้องเอง

 

               แต่เหมาะสมหรือไม่ที่จะโบ้ยให้ประชาชนมาฟ้องผู้กระทำผิดเอง และขอตั้งคำถามอีกว่าก่อนหายตัวไปนายบิลลี่ยังอยู่ในการควบคุมตัวของกลุ่มผู้ต้องหา เหตุใดอัยการจึงไม่ฟ้องข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขัง แต่ฟ้องเฉพาะข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จึงเห็นว่ามีตรรกะการทำคดีแบบแปลกๆ

 

               แหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า วันนี้ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล รองอธิบดีดีเอสไอ ได้เรียกประชุมพนักงานสอบสวนชุดเล็กเพื่อสั่งการให้ พ.ต.ท.เชน กาญจนาปัจจ์ ผอ.กองคดีปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีฆาตกรรมนายบิลลี่ เตรียมทำความเห็นแย้งส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาดสำนวนคดีฆาตกรรมและความผิดเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันอื่นๆ รวม 8 ข้อหา ภายหลังอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 มีความเห็นไม่ฟ้องคดีถึง 7 ข้อหา โดยมีความเห็นสั่งฟ้องเพียงข้อหาความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

 

               แหล่งข่าวระบุว่า หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จะเป็นตัวแปรสำคัญในการทำความเห็นสั่งคดี ที่ผ่านมาผลการตรวจสอบชิ้นส่วนกะโหลกศีรษะที่งมได้จากร่องน้ำลึกภายในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้รับการรับรองจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์แล้วว่าเป็นของนายบิลลี่ เพราะญาติพี่น้องร่วมสายมารดาเดียวกันยังไม่มีใครเสียชีวิตเลย

 

               อีกทั้งผู้ที่สูญเสียชิ้นส่วนกะโหลกศีรษะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ต้องเสียชีวิตแล้วเท่านั้น เป็นเหตุให้คณะกรรมการพิจารณาจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนแก่จำเลยในคดีอาญา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพอนุมัติจ่ายเงินเยียวยาจากเหตุฆาตกรรมให้แก่แม่และภรรยาของนายบิลลี่เป็นเงิน 1.4 แสนบาท

 

               “หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ร่วมกับพยานแวดล้อมอื่นๆ ที่ตรวจค้นได้ภายในบริเวณอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุจับกุมตัวนายบิลลี่ในข้อหาลักของป่า หากอัยการเห็นว่าหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสั่งฟ้องในคดีฆ่า เพราะไม่มีผู้เห็นเหตุการณ์หรือประจักษ์พยานบรรยายวิธีฆ่า แต่ก็ควรฟ้องในข้อหาหน่วยเหนี่ยวกักขัง เพื่อให้มีการนำหลักฐานไปพิสูจน์ในชั้นศาล” แหล่งข่าวกล่าว

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ