ข่าว

ผอ. ชิงทองอยากถูกวิฯ ลั่น เบื่อชีวิตขาดสีสัน สารภาพยิง 3 ศพ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

รวบแล้วโจรชิงทองกราดยิง 3 ศพ พบเป็น ผอ.โรงเรียน สารภาพลงมือจริง แฉแรงจูงใจมีปัญหาชีวิต น่าเบื่อไม่มีสีสัน อยากถูกวิสามัญฯ

 

              ความคืบหน้าคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ คนร้ายบุกเดี่ยวใช้อาวุธปืนชิงทรัพย์ร้านทองภายในห้างสรรพสินค้า จ.ลพบุรี โดยกราดยิงผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต 3 ศพ บาดเจ็บสาหัส 4 คน เมื่อช่วงค่ำวันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งสืบสวนแกะรอยเพื่อจับกุมผู้ก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง กระทั่งวันที่ 21 มกราคม คดีมีความคืบหน้าไปมาก สามารถรวบรวบพยานหลักฐานเพื่อยื่นต่อศาลขออนุมัติหมายจับ และพร้อมจับกุมทันที ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

 

 

 

              ล่าสุด วันที่ 22 มกราคม 2563 มีรายงานข่าวยืนยันว่าช่วงเช้าเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวได้แล้ว หลังจากศาลอนุมัติออกหมายจับ ทราบชื่อ นายประสิทธิชัย เขาแก้ว อายุ 38 ปี เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่ง พร้อมกันนี้ในช่วงเช้ามืด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. บินด่วนด้วยเฮลิคอปเตอร์ไปยัง จ.ลพบุรี เพื่อร่วมประชุมกับ พล.ต.ท.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1 รวมถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่เป็นทีมสืบสวนสอบสวนคดี และเตรียมสอบปากคำผู้ต้องหาซึ่งถูกนำไปควบคุมตัวไว้ใน มทบ.13

              ต่อมาเวลา 12.20 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวนายประสิทธิชัยมาสอบปากคำที่สำนักงานตำรวจท่องเที่ยวลพบุรี โดยมีการปิดหน้าตาอย่างมิดชิด และกำลังคุ้มกันอย่างแน่นหนา ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนและประชาชนที่มารอดูหน้าผู้ต้องหาอีกหลายร้อยคน ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวผู้ต้องหาลงมาจากรถก็มีเสียงตะโกนด่าสาปแช่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเอาเชือกมากั้นพื้นที่ไม่ให้ประชาชนเข้าใกล้

 

 

 

              จากนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ เปิดเผยว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานครบ ได้มีการขออนุมัติหมายจับต่อศาล แล้วเข้าควบคุมตัวผู้ต้องหาตั้งแต่เช้ามืด ตอนนี้ยังสอบปากคำไม่เสร็จ เชื่อว่าไม่ได้เป็นการจับผิดตัว เนื่องจากมีพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ขอย้ำว่าผู้ต้องหารายนี้เป็นเป้าหมายตั้งแต่แรกที่ชุดสืบสวนลงพื้นที่หาหลักฐาน โดยขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมผู้ต้องหาไม่ได้มีการต่อสู้และให้การรับสารภาพว่าก่อเหตุดังกล่าวจริง รู้สึกสำนึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เบื้องต้น ผู้ต้องหาได้บอกแรงจูงใจการก่อเหตุแล้วแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ในตอนนี้ ยังคงต้องสอบปากคำ ขอความร่วมมือประชาชนอย่าใช้ความรุนแรง เพราะขณะนี้ผู้ต้องหาได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนรายละเอียดของคดี รวมทั้งแรงจูงใจในการก่อเหตุ ให้รอฟังการแถลงสรุปคดีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยจะนำตัวผู้ต้องหาไปด้วย ในเวลา 10.30 น. วันที่ 23 มกราคม พร้อมจะให้ผู้สื่อข่าวซักถาม และพร้อมที่จะตอบทุกคำถามอย่างแน่นอน

 

 

 

              อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวเบื้องต้นว่า นายประสิทธิชัยให้การสารภาพอีกว่า หลังก่อเหตุวันแรกๆ รู้สึกเครียด แต่พอผ่านมา 3 - 4 วัน ก็เริ่มไม่เครียดแล้ว เพราะอยากมอบตัว รู้ดีว่าหนีอย่างไรก็ไม่รอด เคยขับรถผ่านมาที่สถานีตำรวจท่องเที่ยวลพบุรี เพราะจะเข้ามอบตัวต่อ ผบ.ตร. แต่กลัวมาแล้วไม่เจอ จึงยังไม่เข้ามอบตัว ส่วนสาเหตุที่เลือกช่วงเวลาก่อเหตุนั้น เพราะเป็นช่วงปลอดคน ห้างกำลังจะปิด และที่ไม่หนีออกจาก จ.ลพบุรี เพราะตั้งใจจะมอบตัวอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีโอกาส สำหรับสาเหตุที่ต้องไปก่อเหตุนั้น เพราะอยากตาย จากปัญหาความเครียดที่ตัวเองนั้นคล้ายเป็นตัวปัญหาให้พ่อแม่ ทำให้พ่อแม่เดือดร้อนมาตลอด รวมถึงมีความเครียดเรื่องครอบครัวเก่าที่เลิกไปแล้ว และอยากตายแบบมีเรื่องราว หรือมีสตอรี่ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การ เพราะยังมีข้อพิรุธให้สงสัยอีกหลายจุด ซึ่งจะได้สอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง เพื่อให้ความกระจ่างในคดีมากที่สุด

 

 

 

              รายงานข่าวระบุอีกว่า นายประสิทธิชัยอ้างว่าต้องการได้เงินมาจ่ายภาษีรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 ราคา 6 แสนบาท แต่เป็นไปได้ว่าอาจจะเพราะเกิดความกลัวจึงได้ลงมือยิงผู้บริสุทธิ์จนเสียชีวิต 3 ศพ บาดเจ็บสาหัสอีก 4 คน ทราบว่าผู้ต้องหาเคยฝึกใช้อาวุธปืนเฉพาะในสนามยิงปืนเท่านั้น ขณะเดียวกัน พ่อตาของผู้ต้องหาเคยสงสัยและถามว่ามีอาวุธปืนลักษณะแบบที่ก่อเหตุ ซึ่งผู้ต้องหาก็ได้ปฏิเสธ บอกปัดไปว่าขายทิ้งไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่พูดคุยกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ พร้อมคณะชุดสืบสวน ผู้ต้องหาไม่มีท่าทีหวาดระแวงหรือตื่นตระหนกแต่อย่างใด

              นอกจากนี้ รายงานข่าวยังบอกด้วยว่า สาเหตุที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้นั้น เนื่องจากปลอกเก็บเสียงหรือไซเรนเซอร์ติดอาวุธปืนที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ เป็นลักษณะเฉพาะ มีตราวงกลมสีขาวเป็นสัญลักษณ์ จากนั้นตรวจสอบจนทราบว่าใครเป็นผู้ผลิต ขณะที่การสืบสวนของชุดทำงานกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ทำให้ทราบว่า นายประสิทธิชัยเป็นผู้ก่อเหตุตั้งแต่ 2 - 3 วันแรกหลังเกิดเหตุ โดยขณะนั้นอยู่ระหว่างตรวจสอบหาพยานหลักฐาน จนสามารถขอศาลอนุมัติหมายจับและจับกุมตัวได้

 

 

 

              ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้แบ่งกำลังไปค้นบ้านพักพ่อแม่ของนายประสิทธิชัย โดยวันนี้ตำรวจได้พบรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยตำรวจได้เก็บหลักฐานภายในบ้านพักพร้อมเชิญพ่อแม่และภรรยาของนายประสิทธิชัยไปสอบปากคำด้วย รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) เข้าตรวจค้นหาวัตถุพยานหลักฐานภายในโรงเรียนที่ผู้ต้องหาเป็นผู้อำนวยการ รวมทั้งจัดชุดนักประดาน้ำลงงมหาของกลางในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสะพานบางระจัน ในเขต ต.บางพุทรา จ.สิงห์บุรี ที่ผู้ต้องหาบอกว่าได้ทิ้งทองคำรูปพรรณน้ำหนักรวม 28 บาท พร้อมกับลำกล้องเก็บเสียงปืนลงใปในบริเวณดังกล่าว โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้เดินทางไปตรวจสอบด้วยตัวเองในช่วงเวลาประมาณ 14.00 น.

 

 

 

              ขณะเดียวกัน จากการสอบถามครูในโรงเรียน ทราบว่า นายประสิทธิชัย เพิ่งย้ายมาเป็นผู้อำนวยการเมื่อเดือนมีนาคม 2562 โดยนายประสิทธิชัย เป็นคนในพื้นที่ จ.ลพบุรี และสอนหนังสืออยู่ที่ จ.ลพบุรี ต่อมาได้สอบผ่านตามข้อกำหนด จึงได้ย้ายมาเป็น ผอ. โรงเรียนในพื้นที่ จ.สิงห์บุรี สำหรับนิสัยส่วนตัวเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี สนิทกับคนง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน และบางครั้งก็ใจร้อน เป็นคนชอบเล่นปืน มีปืนติดกล้องเก็บเสียง ซึ่งนายประสิทธิชัยเคยนำปืนติดลำกล้องแบบอัดลมมายิงนกที่โรงเรียน อีกทั้งยังชื่นชอบรถจักรยานยนต์แบบบิ๊กไบค์ และมีรถจักรยานยนต์หลายคัน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีเรื่องคนร้ายชิงทองและใช้อาวุธปืนยิงคนตาย ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเด็กชายอายุเพียง 2 ขวบ ก็ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้เลย พอทราบข่าวรู้สึกตกใจมาก และยังไม่อยากจะเชื่อว่าเป็น ผอ.ประสิทธิชัย จึงอยากจะรอฟังจากตำรวจก่อน ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร โดยเมื่อวานนี้ (21 มกราคม) ผอ.ประสิทธิชัย ยังนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์นักการภารโรงออกไปจากโรงเรียนอยู่เลย ยังโบกมือให้กันอยู่ ส่วนแฟนของ ผอ.ประสิทธิชัย ก็เพิ่งเดินทางมาหาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ดังนั้น จึงยังไม่อยากเชื่อเลยว่า ผู้ที่ก่อเหตุจะเป็น ผอ.ประสิทธิชัย จริงๆ

 

 

 

              เพื่อนนายประสิทธิชัย เผยว่า นายประสิทธิชัยหน้าตาดี ที่บ้านมีฐานะ แต่งงานมีครอบครัวแล้ว ชอบเล่นปืน เชี่ยวชาญปืนมาก ก่อนหน้านี้เคยเอาปืนยาวอัดลมติดกล้องมายิงนกที่โรงเรียนประมาณ 4 - 5 ครั้ง และด้วยความหน้าตาดีจึงมีผู้หญิงมาติดพัน มักจะไปซ้อมยิงปืนที่ จ.ลพบุรี อยู่เป็นประจำ ที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องกับใคร อาจมีนิสัยใจร้อนฉุนเฉียวบ้าง แต่ก็ไม่เคยทะเลาะกับใคร บริหารงานดี สนิทกับนักการภารโรง นอกจากนี้ ยังชอบแข่งรถ และมีรถหลายคัน ทราบข่าวก็ไม่อยากเชื่อ แต่พอดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ แต่ยังสงสัยแรงจูงใจว่าทำไปทำไม ทั้งที่ก็มีฐานะ พ่อแม่ก็เป็นอดีตข้าราชการ พ่อเป็นตำรวจ แม่เป็นครู สงสัยว่าจะก่อเหตุเพราะความคึกคะนองหรือไม่

 

 

 

              ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า รายการโหนกระแส ทางช่อง 3 ได้มีการต่อสายโทรศัพท์พูดคุยกับนายเอ (นามสมมติ) ซึ่งเป็นคนรู้จักกับนายประสิทธิชัย โดยนายเอเผยว่า ไม่ถึงกับสนิทกัน แต่พอทราบข่าวก็รู้สึกตกใจ เพราะดูท่าทางไม่ได้มีลักษณะแบบนี้เลย รู้จักกันตอนออกกำลังกายที่ฟิตเนส ยอมรับว่าแทบไม่เชื่อว่าจะเป็นนายประสิทธิชัยที่ก่อเหตุ นอกจากนี้นายเอยังเล่าถึงประเด็นที่ภรรยาของนายประสิทธิชัยที่เคยสงสัยว่าสามีของตัวเองอาจเป็นคนร้ายที่ก่อเหตุ เพราะว่ามีน้องๆ พูดมาในกลุ่มไลน์ โดยภรรยาของนายประสิทธิชัยเคยถามว่าใช่คนก่อเหตุหรือเปล่า เพราะโดนตำรวจเรียกสอบ ซึ่งเขายืนยันว่าไม่ใช่ จริงๆ ตำรวจก็รู้ตัวนานแล้ว

              มีรายงานข่าวว่า จากการตรวจสอบประวัติของนายประสิทธิชัย พบว่าก่อนหน้านี้มีการกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูจำนวน 9 แสนบาท นอกจากนี้มีการทำประกันชีวิตไว้ตั้งแต่ปี 2559 โดยจะครบกำหนดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 มีการจ่ายเบี้ยประกันเป็นรายปี ปีละ 5,400 บาท แต่เมื่อเสียชีวิตจะได้เงินจำนวน 9 แสนบาท

 

 

 

              ขณะที่ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. เปิดเผยว่า สำหรับคดีดังกล่าว ได้มีคำสั่งจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ให้โอนสำนวนคดีมาให้ทางพนักงานสอบสวนกองปราบฯ เป็นผู้ดำเนินการเพียงหน่วยเดียว พร้อมกับเตรียมจะควบคุมตัวนายประสิทธิชัยมาสอบปากคำเพิ่มเติมอย่างละเอียดที่กองปราบฯ เพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงแรงจูงใจในการก่อเหตุ แม้ผู้ต้องหาจะรับสารภาพบ้างแล้วก็ตาม ส่วนขั้นตอนการนำตัวฝากขังนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดว่าจะส่งฝากขังในวันที่ 23 มกราคม เลยหรือไม่ เพราะการดำเนินการในขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการสอบสวนและรวบรวมคำให้การประกอบสำนวน

              รายงานข่าวแจ้งว่า นายประสิทธิชัยได้ให้การเพิ่มเติมว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันก่อเหตุได้นำไปทิ้งไว้ที่ป่าหญ้าข้างทาง ใกล้กับซอยโยธาธิการลพบุรี ต.กกโก อ.เมือง จ.ลพบุรี จึงได้นำพาไปชี้จุดดังกล่าว ก่อนจะพบเจอเสื้อผ้าของกลางอยู่จริง ประกอบด้วย เสื้อและกางเกง

 

 

 

              สำหรับการจับกุมครั้งนี้มีรายงานว่า ภายหลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.จิรภพ ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป. พร้อม พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.3 บก.ป. และ พ.ต.อ.วิจักษ์ ตารมย์ ผกก.สสน.บก.ป. นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการกองปราบฯ ลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนแกะรอยผู้ต้องหารายนี้ จนกระทั่งประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ ทางเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีของกองปราบฯ ได้รับแจ้งเบาะแสจากพลเมืองดีว่าคนร้ายที่ก่อเหตุน่าจะเป็น นายประสิทธิชัย จึงได้ดำเนินการพิสูจน์ทราบพร้อมกับรวบรวมพยานหลักฐาน โดยใช้เวลาสืบสวนประมาณ 7 วัน ก็พบว่ามีหลักฐานหลายอย่าง โดยเฉพาะอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุเกี่ยวพันกับนายประสิทธิชัย พร้อมกับหลักฐานอื่นๆ เชื่อมโยงว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ จึงได้ประสานให้พนักงานสอบสวนกองปราบฯ รวบรวมพยานหลักฐานขอหมายจับจากศาลอาญา กระทั่งศาลออกหมายจับให้เมื่อค่ำวันที่ 21 มกราคม ที่ผ่านมา

 

 

 

              เมื่อทราบตัวผู้ก่อเหตุแน่ชัดประกอบกับศาลออกหมายจับแล้ว พล.ต.ต.จิรภพ จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.วิจักษ์ นำเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.สนับสนุน บก.ป. หรือ ชุดปฏิบัติการพิเศษ “หนุมาน” ตามแกะรอยจนทราบว่ามีบ้านพักอยู่ในพื้นที่ จ.ลพบุรี และจะขับรถเดินทางไปสอนหนังสือที่โรงเรียนในช่วงเช้าวันที่ 22 มกราคม เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการจึงจัดกำลังพร้อมยุทโธปกรณ์ครบมือเฝ้าสังเกตการณ์ กระทั่งเห็นนายประสิทธิชัยกำลังขับรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 สีดำ หมายเลขทะเบียน 7กณ 493 กรุงเทพมหานคร จึงได้ขับรถสะกดรอยติดตามนายประสิทธิชัยไปจนถึงบริเวณทางหลวงสาย 311 ต.ท่าวุ้ง อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ก่อนแสดงตัวพร้อมอาวุธครบมือบุกจู่โจมจับกุม โดยระหว่างที่เข้าจับกุมนั้นนายประสิทธิชัยไม่มีท่าทีขัดขืนหรือต่อสู้ ทั้งนี้จากการตรวจค้นภายในรถไม่พบอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุ แต่พบกระสุนปืนขนาด 9 มม. ซึ่งเป็นขนาดเดียวกันกับที่ก่อเหตุจำนวนหลายนัด จึงได้ยึดไว้เป็นหลักฐาน

 

 

 

              มีรายงานด้วยว่า นายประสิทธิชัยให้การรับสารภาพสาเหตุที่ลงมือก่อเหตุนั้นเพราะรู้สึกเบื่อชีวิต ต้องการหาความท้าทาย ตื่นเต้น ชีวิตจะได้มีสีสัน ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุนั้นเป็นปืนยี่ห้อซีแซด รุ่นเอสพี 01 ซึ่งเป็นปืนของพ่อที่เป็นอดีตตำรวจ หลังจากก่อเหตุเสร็จก็นำไปคืนพ่อเมื่อวันที่ 10 มกราคม ส่วนรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฟีโน่ สีแดง รุ่นปี 2008 เป็นรถจักรยานยนต์ของพ่อตา ซึ่งยืมมาเพื่อใช้ในการก่อเหตุ อย่างไรก็ตามแม้คำให้การของผู้ต้องหาจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อคำให้การในบางส่วน และจะเค้นสอบอย่าละเอียดอีกครั้งเพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงต่อไป

              วันเดียวกัน พ่อของพนักงานร้านทองที่ถูกยิงเสียชีวิต กล่าวว่า ขอรอการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการของ ผบ.ตร. ก่อน จึงจะปักใจเชื่อว่าเป็นคนร้ายตัวจริง ไม่ใช่แพะ​ เบื้องต้นเท่าที่ดูใบหน้าและรูปร่าง​ พบว่ามีความใกล้เคียงกับคลิปภาพในวันเกิดเหตุ ยอมรับว่าหลังจากทราบข่าวรู้สึกโล่งใจ​ รวมถึงดีใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้​ ทั้งนี้หลังมีการเผยแพร่ข่าวจับกุมคนร้ายออกไป​ ญาติพี่น้อง​ รวมถึงเพื่อนร่วมงานของบุตรสาว​ ได้โทรศัพท์มาแสดงความยินดีและให้กำลังใจ

 

 

 

              "อยากฝากถึงคนร้าย ว่าทำไมถึงโหดร้ายทำกับคนที่ไม่มีทางสู้​ และไม่คิดต่อสู้ แค่ชักปืนขึ้นมาเฉยๆ เขาก็หมอบกันหมดแล้ว​ แต่นี่ไม่พูดจายิงอย่างเดียว​ คนไหนขวางหน้ายิงหมด​ มันไม่ใช่นิสัยมนุษย์ที่อยู่ร่วมโลกกัน​ มันคือซาตานกลับชาติมาเกิด ทำเกินกว่าเหตุ​ ผมไม่ขออโหสิกรรมให้​เพราะทำเกินไป ลูกสาวก็ตายไปแล้ว​ คนที่ยังอยู่ก็ต้องสู้กันต่อไป​ เลี้ยงหลานให้เจริญเติบโต ได้รับการศึกษาที่ดีและเป็นอนาคตของชาติต่อไป​ ซึ่งต้องขอขอบคุณ ผอ. โรงเรียน ใจดีที่ให้หลานเข้าเรียนฟรี ที่ให้เรียนถึงชั้นสูงสุด​ สำหรับหลาน​เชื่อว่าเขารู้ว่าแม่ตายแล้ว แต่ก่อนนอนก็ยังถามหาแม่​ ผมก็ต้องหลอกว่าแม่มานอนด้วยไม่ได้เพราะป่วย" 

 

 

 

              พ่อของ รปภ.ห้าง กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าผู้ก่อเหตุเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนจริงหรือไม่ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจและ ผบ.ตร. ที่สามารถจับกุมคนร้ายได้ เป็นถึง ผอ. โรงเรียน แต่กลับมาก่อเหตุ ถือว่าจิตใจโหดร้าย และโหดเหี้ยมมากๆ หากพบหน้าก็อยากถามว่า ทำไมเป็นคนโหดร้ายเช่นนี้ ทั้งๆ ที่มีการศึกษาดี หรือการศึกษาไม่ได้ช่วยยกระดับจิตใจให้ดีขึ้น เป็นถึงครูบาอาจารย์ ควรจะมีวุฒิภาวะที่ดีกว่านี้ จากพฤติการณ์จะเห็นว่าเขาเป็นคนนิ่ง เยือกเย็น จิตใจโหดพอที่จะทำสิ่งที่ผิด อยากฝากถึงตำรวจและกระบวนการยุติธรรม ควรตัดสินประหารชีวิตสถานเดียว และไม่ควรลดโทษให้แม้ผู้ต้องหาจะรับสารภาพ เพราะสิ่งที่เขาทำส่งผลให้ครอบครัวแต่ละครอบครัวได้รับความสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ การที่เขารับสารภาพเพราะว่าจำนนต่อหลักฐานและถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้ จึงขอให้มีการแก้กฎหมาย เพื่อให้ลงโทษประหารชีวิต เพราะถ้าติดคุกไม่น่าจะเกิน 15 ปี แล้วก็จะกลับมาก่อเหตุซ้ำอีก

 

 

 

              ขณะที่กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า กรณีญาติผู้เสียชีวิตเรียกร้องให้ประหารชีวิตและไม่ให้ลดโทษผู้ต้องหา ตนเข้าใจและรับรู้ถึงความรู้สึกของญาติและประชาชนทั่วไป เชื่อว่ากระบวนการต่างๆ จะเป็นไปตามขั้นตอนของศาล สำหรับในชั้นสอบสวนเมื่อมีการควบคุมตัวนำไปฝากขัง และส่งตัวเข้าเรือนจำ ก็เชื่อว่า เรือนจำจะมีมาตรการควบคุมตัวที่แน่นหนารัดกุม มั่นใจได้ว่ากรมราชทัณฑ์จะใช้ระบบพันธนาการขั้นสูงสุด ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะหลบหนีหรือแหกหักออกไปจากเรือนจำได้ นอกจากนี้ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมกำลังสร้างกรอบกฎหมายใหม่ ซึ่งการทำกฎหมายไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือน และขณะนี้ได้สั่งการให้กรมราชทัณฑ์จำแนกกลุ่มนักโทษออกเป็น 3 กลุ่ม โดยมีคำจำกัดความง่ายๆ คือ กลุ่มคนที่เลวมาก แย่มาก จะเรียกว่า กลุ่มเดรัจฉาน กลุ่มนักโทษธรรมดาทั่วไปเรียกว่า กลุ่มขุนแผน และกลุ่มนักโทษคดีไม่อุกฉกรรจ์ หรือกลุ่มเทวดาตกสวรรค์ ซึ่งจะพ้นโทษเร็วกว่ากลุ่มอื่นๆ

 

 

 

              นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับนักโทษในกลุ่มเดรัจฉานจะไม่ให้มีการลดโทษ หรือเมื่อพ้นโทษออกมาแล้วก็จะต้องมีการติดตามพฤติกรรมอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยขอให้กรมราชทัณฑ์ตั้งคณะกรรมการพิจารณาเป็นพิเศษ และขอให้ทำบัญชีผู้ต้องขังที่จะได้รับการปล่อยตัว ขณะนี้มีจำนวน 30 คนที่ถูกจัดเป็นกลุ่มเดรัจฉานที่กำลังจะพ้นโทษในปีนี้ รวมทั้งกลุ่มที่จะต้องควบคุมอยู่ในเรือนจำต่อไปอีกประมาณ 1,000 คน

              ด้านนายอำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมด ว่าผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนจริงหรือไม่ หากเป็นบุคคลนั้นจริงและทำผิดกฎหมายต้องว่าไปตามกระบวนการของกฎหมาย โดยสพฐ.จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอีกทางหนึ่งด้วย

 

 

 

              นายอำนาจ บอกด้วยว่า หากตำรวจพิสูจน์ว่ากระทำความผิดชัดแจ้ง ตามกฎสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ว่าด้วยกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง พ.ศ. 2549 สามารถไล่ออกได้ทันที เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์ ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง

              นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการสำนักงานอัยการคดีอาญาธนบุรี บอกเกี่ยวกับโทษคดีนี้ว่า สำหรับโทษที่จะได้รับ แน่นอนว่าประหารชีวิตอยู่แล้ว แต่จะไปเกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน ซึ่งตนเคยพูดว่าขังแล้วไม่ต้องให้ออกมาทำร้ายคนอื่นก็พอแล้ว เรือนจำเท่าที่รู้ กรมราชทัณฑ์กำลังมองคนร้ายสำคัญ เขาจะไม่ลดโทษ ผ่อนโทษแล้ว เพราะฉะนั้นสบายใจได้ ซึ่งปีนี้มีบทเรียนหลายเรื่อง และโทษคงไม่ลด แม้จะรับสารภาพ เนื่องจากจำนนต่อหลักฐาน โดยการลงโทษศาลต้องดูสัมมาอาชีวะ ผู้ต้องหาเป็นครู พฤติกรรมเป็นแม่พิมพ์ ไม่ใช่ผู้ร้าย เรื่องลดหย่อนผ่อนโทษคิดว่าศาลไม่มอง

 

 

 

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ