ข่าว

ครอบครัวทนายถูกยิงในศาลจันฯเปิดใจครั้งแรก

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ครอบครัวปรมีศณาภรณ์ ยัน ทนายบัญชา ไม่เคยเป็นทนายโกงที่ดินมรดก 3,800 ไร่ แค่ถูกจ้าง 2 หมื่นทำคดีต่อเนื่องทีมทนาย เชื่อมูลเหตุยิงคดีฟ้องกลับเบิกความเท็จ

 

24 ธันวาคม 2562"ครอบครัวปรมีศณาภรณ์" ยัน ทนายบัญชา ไม่เคยเป็นทนายโกงที่ดินมรดก 3,800 ไร่ แค่ถูกจ้าง 2 หมื่นทำคดีต่อเนื่อง "ทีมทนาย" เชื่อมูลเหตุยิงคดีฟ้องกลับเบิกความเท็จ ตามลุ้นคดีฟ้องทายาทเบิกความเท็จนัดตัดสิน 9 ม.ค.นี้ พร้อมย้ำไม่ได้พาเสมียนยิงโต้ ตร.หนีหลังเกิดเหตุ 

 

ที่ห้องเทมเทชั่น-ซีเอ็มทู โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สยามสแควร์ "ครอบครัวทนายบัญชา ปรมีศณาภรณ์"  ประกอบด้วย นางสุภาพร ภรรยานายบัญชา , นายปียกร และน.ส.โชติรส ปรมีศณาภรณ์ บุตรชาย-บุตรสาว และน.ส.วิลาวรรณ์ คงบุตร ทนายความนายบุญช่วย เจริญสถาพร ร่วมแถลงข่าวครั้งแรก หลังเกิดเหตุ วันที่ 12 พ.ย.62 พล.ต.ต.ธารินทร์ จันทราทิพย์ อายุ 67 ปี ก่อเหตุยิงทนายความคู่ความระหว่างเข้ารับฟังการพิจารณาคดี ภายในศาลจังหวัดจันทบุรี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 รายในที่เกิดเหตุ คือ นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ , นายวิจัย สุขรมย์ ทนายความ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 2 ราย คือ นายวิชัย อุดมธนภัทร ทนายความเเละ นางสุภาพร ภรรยาของนายบัญชา ส่วน พล.ต.ต.ธารินทร์ ผู้ก่อเหตุ ถูกยิงกลับระหว่างระงับเหตุซึ่งได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

 

โดยการแถลงข่าวได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และข้อเท็จจริงกรณีข้อพิพาทมรดกที่ดิน 3,800 ไร่ ซึ่งมีเอกสารประกอบการแถลงรวม 23 แผ่น ประกอบด้วยเอกสารสรุปคดีที่สองฝ่ายยื่นฟ้องต่อกัน, เอกสารคำเบิกความพยานโจทก์ ทั้งคดีส่วนแพ่งและอาญา ในศาลจังหวัดจันทบุรี,บันทึกการประชุมสามัญคณะกรรมการมูลนิธิอภิธรรมมาหธาตุวิทยาลัย ครั้งที่ 2/2460 พร้อมแผนผังภาพแสดงเหตุการณ์ตั้งแต่ปี 2515 จนกระทั่งถึงวันเกิดเหตุ และประวัติส่วนตัวนายบัญชา

 

ซึ่งเอกสารที่มีการนำเสนอดังกล่าว มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฟ้องคดีของนายบุญช่วย เจริญสถาพร กับนางเขมจิรา บัณฑูรนิพิท ข้อพิพาทที่ดิน 3,800 ไร่ ซึ่งเป็นมรดกของนายสมพล โกศลานันท์ ที่เสียชีวิต ปี 2538 โดยเป็นกรณีที่ทั้งสองฝ่ายยื่นฟ้องคดีต่อกัน ที่ฝ่ายนายบุญช่วย แต่งตั้งให้นายบัญชา ซึ่งถูกยิงเสียชีวิต เป็นทนายความ นอกจากนี้เอกสารยังระบุว่าในคดีพิพาททั้งสองฝ่ายเริ่มตั้งแต่ปี 2554 ที่ฝ่ายของน.ส.เขมจิรา ได้ยื่นฟ้องนายบุญช่วย กับพวกอีก 3 คน ให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีครอบครองที่ดิน 3,800 ไร่ และขอให้พิพากษาว่าที่ดินทั้งหมดเป็นของนายสมพล ซึ่งสุดท้ายศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา พิพากษายกฟ้อง ว่าที่ดินไม่ใช่มรดกของนายสมพล แต่เป็นของนายบุญช่วย ตั้งแต่ปี 2515

 

ต่อมาปี 2555 น.ส.เขมจิรา ยื่นฟ้องคดีอาญากับนายบุญช่วย , ทนายความ 2 คน คือนายบัญชา และนายเจต กับพวกอีก 3 คน ในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ,เอกสาร,เจ้าพนักงาน ซึ่งคดีนี้ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนยกฟ้อง โดยคดีผลเป็นที่สุด เนื่องจากศาลฎีกาไม่รับรองให้ฎีกา

 

จากนั้นปี 2559 นางเขมจิรา ได้ยื่นฟ้องคดีอาญากับนายบุญช่วย นายบัญชา และพวก ในข้อหาทำให้เสียทรัพย์อีก และยื่นฟ้องนายบุญช่วยกับพยานในคดีแพ่งที่พิพาทเกี่ยวกับที่ดินรวม 8 คน ในข้อหาแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จ ซึ่งทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนยกฟ้อง ซึ่งผลคดีถึงที่สุด เพราะคดีต้องห้ามฎีกา กระทั่งปี 2561 นายบุญช่วย และนายบัญชากับนายเจต ทนายความ ได้ฟ้องกลับคดีอาญาน.ส.เขมจิรา รวม 3 สำนวน ซึ่งได้ยื่นฟ้อง น.ส.เขมจิราทั้งที่ร่วมกับพล.ต.ต.ธารินทร์ อดีตสามีของ น.ส.เขมจิรา และร่วมกับพวก ในข้อหาร่วมกันฟ้องคดีอาญา อันเป็นเท็จ ในสำนวนปี 2555 เกี่ยวกับทรัพย์ และสำนวนคดีในปี 2559 เกี่ยวกับข้อหาทำให้เสียทรัพย์และแจ้งความเท็จ โดยข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในปี 2561 นายบุญช่วย ได้แต่งตั้งน.ส.วิลาวรรณ คงบุตร ทนายความและนายวิจัย สุขรมย์ ทนายความที่ถูกยิงเสียชีวิต ส่วนนายบัญชาแต่งตั้งตัวเองเป็นทนายความ 

 

 

โดยคดีที่ฝ่ายนายบุญช่วย เป็นโจทก์ น.ส.เขมจิรา นั้น ศาลได้สั่งประทับรับฟ้องไว้ทั้ง 3 สำนวน ซึ่งคดีอยู่ระหว่างสืบพยานจำเลย 2 คดี คือนายบุญช่วย นายบัญชา และนายเจต เป็นโจทก์ฟ้องนางภาพร อุดมโพธิพร น.ส.เขมจิรา พล.ต.ต.ธารินทร์ กับพวก ที่ร่วมกันฟ้องคดีอาญาเท็จในสำนวนปี 2555 ,คดีที่นายบุญช่วยและนายบัญชา ฟ้องน.ส.เขมจิรา และนายอธิวัฒน์ ที่ฟ้องคดีอาญาเท็จในสำนวนปี 2559 ส่วนคดีที่นายบุญช่วย น.ส.เขมจิรา และนายอธิวัฒน์ ร่วมกันฟ้องอาญาเท็จสำนวนปี 2559 นั้น ศาลนัดอ่านคำพิพากษา 9 ม.ค.63

 

ดังนั้นตามที่มีการกล่าวหาว่านายบัญชา มีเจตนาแอบแฝงในการเข้ามาทำคดีเพื่อหวังประโยชน์จากที่ดิน 3,800 ไร่ ซึ่งมีนายบุญช่วย เจริญสถาพร เป็นเจ้าของ จึงไม่เป็นความจริง โดยนายบัญชา , นายวิจัย และทีมทนาย ทำคดีด้วยความสุจริต ตามมาตรฐานวิชาชีพ เป็นไปตามพยานหลักฐาน ดังปรากฎในคำพิพากษาของศาลฎีกา

 

ขณะที่การแถลงข่าว "น.ส.วิลาวรรณ์ คงบุตร" หนึ่งในทนายความ ที่ได้ร่วมรับผิดชอบทำคดีที่ดิน ได้สรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีตามแผนผังที่นำมาแจกสื่อมวลชน โดยระบุว่า คดีระหว่างนายบุญช่วยและน.ส.เขมจิรานั้น มี 4 สำนวนที่ น.ส.เขมจิรา ฟ้องนายบุญช่วยซึ่งศาลได้ยกฟ้องทั้งหมด ส่วน 3 สำนวนที่นายบุญช่วย ฟ้องกลับศาลรอสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษา โดยในการทำคดีข้อพิพาททางแพ่งเกี่ยวกับที่ดินนายบัญชา ยังไม่ได้เข้ามาตั้งแต่ต้น ซึ่งครั้งแรกนายบุญช่วยได้แต่งตั้งนายวิจัย เข้ามาเป็นทนาย กระทั่งเมื่อปี 2550 ได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างนายบุญช่วยกับลูกชายของนายสมพล นายบัญชา ได้เข้ามาเป็นทนายความ ซึ่งคดีความนั้นก็ถึงที่สุดไปแล้ว

 

ดังนั้นที่ข่าวออกไปว่านายบัญชา เข้ามามีส่วนเกี่ยวกับคดีแพ่งมรดก จึงทำให้เกิดความเสียหาย โดยเหตุที่เกิดการยิงกัน เป็นเรื่องการฟ้องร้องกันคดีฟ้องเท็จ เบิกความเท็จ ไม่ใช่คดีพิพาทมรดกที่ดิน ซึ่งเป็นคดีแพ่งที่ผลถึงที่สุดไปแล้ว และที่อ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นธรณีสงฆ์ของมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ ไม่เคยมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมูลนิธิฯ เข้ามาเลย และตามเอกสารคำเบิกความของ น.ส.เขมจิรา ก็พบว่าทราบดีอยู่แล้ว ว่าที่ดินแปลงนี้มีการขายและส่งมอบการครอบครองตั้งแต่ปี 2515 และรู้ว่าทายาทชั้นลูกคือนายเรวัตร นายกำพล นายเกษม ส่วนน.ส.เขมจิรา เป็นหลาน ก็รับรองอยู่แล้วว่าที่ดินมีการขายกันจริง ดังนั้นการมาพูดว่าที่ดินเป็นมรดก หรือการโกงมรดก จึงไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก

 

นอกจากนี้ "น.ส.วิลาวรรณ์" ทนายความ ยังได้ชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าได้ช่วยเหลือนายธนากร เสมียนทนาย ที่ยิงใส่พล.ต.ต.ธารินทร์ เพื่อระงับเหตุ หลังเกิดการยิงกันในห้องพิจารณา ยืนยันว่าตนไม่ได้ดำเนินการใดๆ ที่เป็นการพาหนี ซึ่งขณะเกิดเหตุการยิงกัน ตนไม่ได้อยู่บริเวณห้องพิจารณาคดี เมื่อทราบเรื่องจึงได้รีบมาก็พบคนเจ็บแล้ว จึงได้พานายธนากร ขึ้นรถไปที่ รพ.เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับคนเจ็บและผู้เสียชีวิต โดยมาทราบภายหลังที่ รพ. ว่านายธนากร มาบอกว่าเขาเป็นคนยิง พล.ต.ต.ธารินทร์ และหลังจากนั้นก็มีพนักงานสอบสวนติดต่อมาที่ตนให้พานายธนาธร ไปให้ปากคำ ซึ่งตนก็รับปากว่าจะพาไปในวันรุ่งขึ้น ขอจัดการเอกสารเรื่องคนเจ็บคนเสียชีวิตก่อน ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาจับกุมตัวเขา ซึ่งคดีอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน ซึ่งทางทีมทนายก็พร้อมช่วยเหลือทางคดีเพราะเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของทีมทนายความ

 

ส่วนกรณีคดีของ พล.ต.ต.ธารินทร์ ผู้ที่ก่อเหตุใช้ปืนยิงทนาย 2 คนตายนั้น น.ส.วิลาวรรณ์ กล่าวว่า ในทางกฎหมายถือเป็นคดีอาญาอยู่แล้ว แต่เมื่อผู้กระทำควมมผิดเสียชีวิต สิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไป ดังนั้นพนักงานสอบสวนก็จะไม่ได้มีความเห็นสั่งฟ้องส่งให้พนักงานอัยการ แต่ในส่วนคดีอาญาที่ น.ส.เขมจิรา กับพวก เบิกความเท็จก็ยังคงดำเนินต่อไป


ด้าน "นางสุภาพร ปรมีศณาภรณ์" ภรรยานายบัญชา ได้เปิดใจถึงการแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงว่า วันเกิดเหตุตนถูกยิง 2 นัด นัดแรกโดนที่ท้อง แพทย์ก็ได้ตัดม้าม เย็บกระเพาะ ตัดลำไส้บางส่วน และอีกนัดโดนยิงที่ขาโดนเส้นเลือดดำที่ขา ซึ่งขณะเกิดเหตุเลือดไหลออกมาก หากแพทย์รักษาไม่ทันต้องตัดขาทิ้ง แต่แพทย์ก็ช่วยไว้ได้ทันด้วยกันทำบายพาส ซึ่งปัจจุบันขาก็มีอาการชา หากใช้กำลังเดินมากๆ

 

โดยเมื่อรักษาตัวที่จันทบุรีแล้ว ก็ย้ายมาที่นพ.ตำรวจ ระหว่างรักษาตัวและครอบครัวก็ยังต้องดูแลเรื่องการจัดงานศพของสามี ที่เพิ่งมีพิธีลอยอังคารไปเมื่อวานนี้ (23 ธ.ค.) เมื่อเสร็จสิ้นพิธีทั้งหมดแล้วครอบครัวจึงได้มาจัดแถลงข่าววันนี้ เพื่อให้สังคมได้รับทราบในบางส่วนที่มีความบิดเบือน

 

นอกจากนี้นางสุภาภรณ์ ยังได้เล่าเหตุการณ์สั้นๆ วันเกิดเหตุในห้องพิจารณาคดีมีทีมทนาย สามี และตนรวม 5 คน ที่เดินทางไปเป็นเพื่อน ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี ซึ่ง น.ส.เขมจิรา ไม่ได้มาที่ศาลในวันนั้น

 

"ขอยืนยันว่าคุณบัญชาไม่เคยทำเรื่องโกงที่ดิน ที่ดินพิพาทได้สู้กันอย่างถูกต้องมาตลอด ตามเอกสารที่ได้ชี้แจงไป และคุณบัญชาไม่เคยได้ผลประโยชน์จากที่ดินนี้เลย ได้รับเพียงค่าจ้าง 20,000 เมื่อปี 2550 จึงอยากให้เข้าใจคุณบัญชา ที่ผ่านมามีพูดออกมาฝ่ายเดียวว่าคุณบัญชาโกงบ้าง วางแผนบ้าง เรื่องจริงไม่ใช่อย่างนั้น โดยตระกูลเราไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับตระกูลโกศลานันท์" นางสุภาภรณ์ กล่าว

 


ขณะที่ "นายปียกร" บุตรชายของทนายบัญชา ได้แถลงยืนยันว่าบิดาและครอบครัวตนไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับทายาทเจ้าของที่ดิน 3,800 ไร่ เพียงแต่บิดาได้เข้ามาเป็นทนายความ อยากขอความเป็นธรรมให้กับครอบครัวด้วย ซึ่งขณะนี้ครอบครัวยังอยู่ในความตกใจและเสียใจกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ตนก็ขอขอบคุณคุณหมอ และรพ.กรุงเทพจันทบุรี รพ.พระปกเกล้า จันทบุรี และรพ.ตำรวจ รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ได้ช่วยรักษาชีวิตคุณแม่ไว้ ไม่เช่นนั้นครอบครัวของเราต้องสูญเสียมากกว่านี้ ขณะที่สภาพจิตใจของครอบครัวก็ยังคงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาเราได้อ่านข่าวก็รู้สึกย่ำแย่

 

ส่วนการจะฟ้องกลับ น.ส.เขมจิรา หรือทวงถามความรับผิดชอบจากทายาทของ พล.ต.ต.ธารินทร์ ในการชดใช้ค่าเสียหายต่อการสูญเสียบิดาหรือไม่นั้น ทางครอบครัวยังอยู่ระหว่างการพิจารณา แต่จุดประสงค์หลักต้องการกอบกู้ชื่อเสียงของบิดากลับมาก่อน

 

ขณะที่ระหว่างแถลงข่าว "น.ส.โชติรส" บุตรสาวทนายบัญชา ก็ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ โดยระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวปรมีศณาภรณ์ เป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ พวกเราทุกคนตกใจกันมาก อยากจะขอความเป็นธรรมจากทุกคน ให้ความเป็นธรรมกับคุณพ่อและครอบครัวของเราด้วย

 

 

 

 


 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ