ข่าว

สารพิษแพร่รัฐบาล

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

สารพิษแพร่รัฐบาล โดย... อสนีบาต aussaneebard @hotmail.com

 




          แวดวงตุลาการก็น่าจะทราบข้อเท็จจริงเบื้องต้นกรณีผู้พิพากษายิงตัวเอง มีมูลเหตุเป็นอย่างไรกันแน่ภายใน 15 วัน แต่ระหว่างนี้มีอีกเรื่องกำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ

 

 

 

 

          นั่นคือ ภาครัฐจะตัดสินใจแบนสารพิษที่ใช้ในการกำจัดศัตรูพืชจำนวน 3 ชนิด พาราควอต-คลอร์ไพริฟอส-ไกลโฟเซต หรือไม่

 

 

          นี่เป็นอีกประเด็นที่ภาคประชาสังคม องค์กรผู้บริโภค รวมไปถึงองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน เคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง เพราะบรรดายาฆ่าแมลงส่งผลต่อสุขภาพพี่น้องเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ รวมไปถึงผู้บริโภคอย่างเราท่าน


          แต่อีกด้าน บรรดาสารกำจัดศัตรูพืชข้างต้น ก็ได้สร้างผลกำไรมหาศาลให้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เก็บเกี่ยวหากินจากพี่น้องเกษตรกร ชาวไร่ ชาวสวน มาเป็นเวลายานนาน การจะยกเลิกย่อมกระเทือนต่อภาคธุรกิจเอกชนเช่นกัน


          การตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง ต้องอาศัยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมหารือโดยคำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ


          คราวนี้มาทำความเข้าใจกันเล็กน้อย เพราะเรื่องนี้มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องมานาน แต่ดันมาระอุเดือดยุครัฐบาล "ลุงตู่” ยุคที่มีรัฐมนตรีจากหลายพรรคต้องมาร่วมตัดสินใจ


          ครั้นจะชี้เป้าไปที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ ต้องออกโรงหนักหน่วงก็ไม่เชิง แต่กระทรวงเกษตรฯ ทำหน้าที่ไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2562 (ตอนนั้น กฤษฎา บุญราช เป็น รมว.เกษตรฯ) คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูงมีมติให้ยกเลิกการใช้ โดยให้ กรมวิชาการเกษตร, องค์การอาหารและยา เสนอเข้าสู่การพิจารณาของ คณะกรรมการวัตถุอันตราย โดยมี รมว.อุตสาหกรรม เป็นประธาน (อุตตม สาวนายน รมว.อุตฯ ขณะนั้น) แต่ตอนนี้ รมว.อุตสาหกรรมคนปัจจุบัน ชื่อ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จากพรรคพลังประชารัฐ

 

 





          ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2560 มีการสรุปความเห็น 4 ครั้งว่า สาร 3 รายการ มีความเป็นพิษในระดับน้อยถึงปานกลาง และมีประสิทธิภาพหากใช้ตามฉลาก, สารทดแทนมีราคาแพงหากห้ามใช้จะกระทบต่อต้นทุนการผลิตพืชเกษตร คือ ข้าว อ้อย ยาง ปาล์ม มันข้าวโพด, ส่วนผลต่อสุขภาพข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไม่สอดคล้องกัน


          ต่อมา 7 ธันวาคม 2560 คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพให้เสร็จสิ้นในเดือนมีนาคม 2561 จากนั้นเดือนพฤษภาคม 2561 คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติ "ไม่ห้ามการใช้สารดังกล่าวเนื่องจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สามารถยืนยันได้ว่าไม่เป็นอันตรายหากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม"


          “ทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะมา”


          ต่อมา 26 มีนาคม 2562 กรรมการวัตถุอันตรายเห็นชอบมาตรการจำกัดการใช้ 3 รายการ


          5 เมษายน 2562 กระทรวงเกษตรฯ (รมว.กฤษฎา) ออกประกาศกระทรวง 4 ฉบับ มีผลบังคับใช้ 20 ตุลาคม 2562 สาระคือ เกษตรกรผู้ใช้ต้องผ่านการอบรมทดสอบ ต้องระบุชนิดพืชที่ปลูก พื้นที่ปลูก ประกอบการซื้อสาร 3 รายการ ผู้ขายต้องขออนุญาตมีไว้ครอบครองผ่านการอบรมทุก 3 ปี แจ้งสต็อกทุก 15 วัน ขายให้เกษตรกรที่แสดงบัตรผ่านการอบรม จัดวางสาร 3 รายการแยกจากสารอื่น ผู้นำเข้าผู้ผลิตต้องแจ้งสต็อกทุก 15 วันพร้อมแหล่งที่มาและแหล่งส่ง ผู้ใหญ่บ้าน/กำนัน/ปลัดอบต. ต้องได้รับการแต่งตั้งและอบรมเป็นพนักงานเพื่อตรวจสอบการใช้ และห้ามใช้สาร 3 รายการในพื้นที่ปลูกพืชผัก พืชสมุนไพร ต้นน้ำ และพื้นที่สาธารณะ


          ส่วนการห้ามนำเข้า จะสามารถกระทำได้ต่อเมื่ออาศัยอำนาจ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 โดยยกระดับให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 คือห้ามผลิต นำเข้า ส่งออก ครอบครอง (อำนาจตามกฎหมายนี้เป็นของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่ รมว.อุตสาหกรรม เป็นประธาน อำนาจหน้าที่คือสามารถเสนอนโยบายและแผนการบริหารจัดการผ่านคณะรัฐมนตรี เมื่อครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบจึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติ)


          สรุป ทั้งหมดจึงไม่ใช่อำนาจของ รมว.เกษตรฯ แต่กระทรวงเกษตรฯ เพียงมีผู้แทนของกระทรวง 4 คนอยู่ในโครงสร้างกรรมการวัตถุอันตรายนี้ จากจำนวนกรรมการมาจากหลายฝ่ายทั้งหมด 29 คน


          เมื่อไม่กี่วันมานี้ มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรฯ ในฐานะประธานคณะทำงาน 4 ฝ่าย แถลงไปแล้ว ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ ให้แบนสารพิษ พร้อมกับคุยเขื่อง จะเป็นของขวัญปีใหม่มอบให้พี่น้องเกษตรกร


          ทว่า ของขวัญชิ้นนี้ต้องส่งให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งมี รมว.อุตสาหกรรม เป็นประธาน ช่วยประทับตรารับรองก่อนน่ะสิ ถึงจะเป็นของขวัญที่สมบูรณ์


          จึงเกิดคำถามว่า ภายในกล่องของขวัญจะมีรูปร่างหน้าตาแบบไหน ในเมื่อช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ยังไม่ตกผลึกว่า ถ้าแบนสารพิษทั้งสามชนิดจะจัดหาสารอื่นทดแทน หรือวิธีการใหม่โดยปราศจากการใช้สารพิษ จะเพิ่มการลงทุนขึ้นหรือไม่ และไม่อยากคิดต่อเลยว่า ของขวัญชิ้นนี้จะตกสู่มือพี่น้องเกษตรกรจริงหรือเปล่า หรือตกเข้ากระเป๋านายทุนรอบใหม่


          แต่ที่แน่ๆ สารพิษกำลังแพร่กระจายไปยัง รมต.พรรคร่วมรัฐบาล จนออกอาการประหลาดๆ กันไปแล้ว

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-วิษณุ บอกไม่ง่ายเลิก 3 สารเคมี 
-บนทางขนานสารพิษ
-ผู้ตรวจการแผ่นดิน ขู่ ยื้อแบนพาราควอตเจอร้องป.ป.ช.แน่
-มนัญญา เดินหน้าแบนพาราควอต ไกลโฟเซต ลุยบ.เอกชนตรวจสต็อก

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ