ข่าว

'สารวัตรแย้'..แพะขาวหรือแกะดำ!?

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดย...   ทีมข่าวอาชญากรรม

 



          ปัญหายาเสพติดเป็นวาระสำคัญของชาติ ส่งผลกระทบต่อความเดือดร้อน ความทุกข์ยากของประชาชน ตลอดจนการพัฒนาประเทศ และจำเป็นต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง สำหรับประเทศไทยมีการวางระบบและแบบแผน โดยกำหนดพระราชบัญญัติให้มี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ “ป.ป.ส.” เป็นองค์กรสูงสุดในการกำหนดนโยบายและมาตรการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งดำเนินการแก้ปัญหายาเสพติดมาอย่างต่อเนื่อง เฉกเช่นเดียวกับการกวาดล้างจับกุมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ที่มีกองบัญชาการตำรวจตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ตลอดจนชุดเฉพาะกิจต่างๆ ของแต่ละกองบังคับการ และตำรวจทุกโรงพักทั่วประเทศ

 

 

          ผลการกวาดล้างจับกุมยาเสพติดประหนึ่งว่า “ยิ่งจับยิ่งเยอะ” ทั้งตำรวจ และ ป.ป.ส. มีการแถลงผลจับกุม “ยานรกบิ๊กลอต” แทบจะวันเว้นวัน แต่ก็ยังมีวิธีการหลบเลี่ยงอำพรางในการขนลำเลียงต่างๆ นานา รวมถึงการส่งยาเสพติดผ่านทางไปรษณีย์ โดยข่าวการจับกุมยาเสพติดเป็นเพียง “ข่าวรูทีน” ที่เสนอผลงานของเจ้าหน้าที่รัฐทั่วไปเท่านั้น แทบจะไม่ได้กระตุกความสนใจของสังคมให้ตระหนักรู้ถึงวิกฤติยาเสพติดที่แพร่ระบาด หากตัวละครที่เป็นผู้ต้องหาไม่ใช่คนดังในวงการบันเทิง หรือข้าราชการระดับสูง


          ทว่าในห้วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผลงานจับกุมยาเสพติดที่เกิดขึ้นสร้างความสนใจให้สังคมเกาะติดสถานการณ์ เมื่ออดีตนักร้องดังยุค 90 อย่าง “ปุ๊กกี้” พริสซิลลา จิวเมลลี่ หรือ ปริศนา พรายแสง ถูกจับฐานครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย ต่อด้วยคดีที่มีพัสดุฝากส่งทางไปรษณีย์ให้นายตำรวจยศ “พ.ต.ท.” ซึ่งเรื่องหลังนี้สังคมกำลังจับตามองกระบวนการยุติธรรมไทยว่า ตำรวจยศใหญ่เข้าไปมีส่วนพัวพันค้ายาเสพติดเสียเอง หรือเป็นการ “จัดฉากเอาคืน” ของแก๊งค้ายานรก 


          เมื่อมีชื่อเข้าไปเอี่ยวขบวนการค้ายาเสพติด พ.ต.ท.พิเชษฐ เสาแบน สารวัตรกองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 2 (เชียงใหม่) กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (สว.กก. 2 บก.ทท.2 บช.ทท.) ก็ลั่นวาจาประกาศว่า “จะสู้ต่อไป เพื่อขอความเป็นธรรมให้แก่ครอบครัว” เพราะมั่นใจว่าถูกเอาคืนจากเครือข่ายค้ายาเสพติดที่เจ้าตัวเคยกวาดล้างเมื่อครั้งปฏิบัติหน้าที่เป็นสายสืบมือปราบยานรก




          นายตำรวจหนุ่มมือดีของภาคเหนือจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 60 แม้ผลงานที่ผ่านมาจะไม่ได้สร้างชื่อให้เป็นที่รู้จัก แต่วันนี้ พ.ต.ท.พิเชษฐ กลายเป็นที่รู้จักกันทั่วในนาม “สารวัตรแย้” ซึ่งกำลังเผชิญมรสุมชีวิตจากกล่องไปรษณีย์เจ้าปัญหา ที่เจ้าตัวเชื่อว่าเกิดจากผลพวงการทำงานปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่อย่างจริงจังตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนเป็นที่มาของการวางแผนจัดฉากเพื่อสางแค้น


          ทันทีที่มีกล่องพัสดุฝากส่งทางไปรษณีย์ระบุชื่อผู้ส่ง “พนมทวน แซ่หวาง” ต้นทางจาก อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ จ่าหน้าถึงผู้รับคือ นายพิเชษฐ์ เสาแบน ที่บ้านเลขที่ 14/3 หมู่ 7 ต.ท่าน้ำอ้อย อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ โดยมี


          นางประชุม มากบุญ ผู้เป็นแม่เซ็นรับพัสดุ ก่อนถูกตำรวจปราบปรามยาเสพติดเข้าคุมตัวไปสอบปากคำ เมื่อเปิดกล่องพัสดุพบยาไอซ์ 50 กรัม และยาอี 50 เม็ด หากมองตามหลักการของบรรดาตำรวจมากประสบการณ์เชี่ยวชาญการปราบยาเสพติด ย่อมอ่านเกมออกว่า เป็นการ “จัดฉาก” วางงานกันอย่างเป็นระบบเพื่อยัดข้อหาเอาผิด “สารวัตรแย้” ซึ่งประเด็นที่สังคมสนใจเกาะติดอยู่ที่ว่า เบื้องหลังฉากนี้เป็นฝีมือของคนสีกากีพวกเดียวกัน หรือขบวนการค้ายาเสพติดศัตรูตัวเป้งของ พ.ต.ท.พิเชษฐ


          ก่อนโดนเรียกตัวมาสอบสวน เจ้าตัวโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวตัดพ้อการทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของตัวเองว่า “เป็นรอง สว. พนักงานสอบสวน 2 ปี ด้านกฎหมาย อยู่สืบสวนภาค 9 ห้าปี ในห้าปี ชุดคดีสำคัญ สามปี เป็น ชุดปราบยาเสพติดภาค 2 ปี จับยาแก้ไอ ยาเสพติด ทางไปรษณีย์หาดใหญ่มาไม่รู้กี่ครั้ง ต่อด้วย รองสว.สืบเมืองนครสวรรค์ 1 ปี สารวัตรสืบจังหวัด 1 ปี สารวัตรหน่วยปฏิบัติการพิเศษอีก 2 ปี แต่มีคนเชื่อว่า ผมสั่งยาเสพติดทางไปรษณีย์ ไปส่งที่บ้านที่มี ตาวัย 71 ปี กับ ยายวัย 61 ปี อยู่สองคน อีกคนหนึ่งพิการมา 8 ปี กินยาจิตเวช บ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ ที่อบอุ่น ส่งในชื่อตัวเอง ให้แม่รับแล้ววางไว้ แล้วมีตำรวจมาขอให้เปิดกล่อง แล้วบอกเป็นยาบ้า ผมนี่ไม่สมควรจบจากสถาบันที่เรียนมา กราบขอโทษครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนผมมาด้วย ผมโง่สิ้นดี ทำงานมา 12 ปี ได้แค่นี้ ระวังมาสามปี ตายน้ำตื้นจริงๆ คนเตือนมาเรื่อย จนถึงปี 61 คิดว่าจะจบแล้ว ยังไม่เลิก”


          คดีที่เกิดขึ้นยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่า “สารวัตรแย้” เป็น “แพะขาว” ที่ถูกจัดฉากต้องโทษมีมลทิน หรือเป็น “แกะดำ” ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เข้าไปพัวพันค้ายาเสพติดเสียเอง เพราะคดีเหมือนเพิ่งเริ่มในกระบวนการสอบสวนและขยายผล มีนายตำรวจใหญ่ขององค์กรตบเท้าเข้าสางคดี ทำข้อเท็จจริงให้เกิดความกระจ่าง คลายข้อสงสัยให้สังคม คนผิดต้องได้รับโทษ แก๊งค้ายาเสพติดต้องถูกขุดรากถอนโคน


          การขยายผลเริ่มจากไล่เช็กต้นทางที่มีชายปรากฏในภาพจากกล้องวงจรปิดเป็นผู้ไปส่งกล่องพัสดุในที่ทำการไปรษณีย์สตึก จ.บุรีรัมย์ กระทั่งวันที่ 25 มิถุนายน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สตึก จ.บุรีรัมย์ นำกำลังจับกุม นายอนุศักดิ์ มิ่งเมือง อายุ 25 ปี ชาว จ.พะเยา และ น.ส.ศุภราภรณ์ ศรีกัณหา อายุ 23 ปี ภรรยานายอนุศักดิ์ ซึ่งมาทำงานก่อสร้างที่ อ.สตึก ได้ประมาณปีเศษ โดยสามารถจับกุมที่ห้องเช่าหลัง รพ.สตึก พร้อมยึดของกลางยาบ้า 600 เม็ด กับยาไอซ์อีก 1 กรัม ที่เตรียมจะส่งทางไปรษณีย์ โดยมีรายชื่อคนที่จะส่งยาเสพติดไปให้จำนวนหนึ่ง พร้อมด้วยบัตรประชาชนของบุคคลอื่นอีก 6 ใบ 


          นายอนุศักดิ์ เปิดปากสารภาพว่า มาทำงานก่อสร้างที่สตึก แต่ภายหลังตกงานไม่มีเงินเลี้ยงลูกเมีย กระทั่งได้รู้จักเอเย่นต์ค้ายาเสพติดชาว จ.พิษณุโลก ว่าจ้างให้เป็นคนส่งยาบ้า ยาไอซ์ และยาอี ไปตามสถานที่ต่างๆ ทางพัสดุไปรษณีย์ รวมทั้งของ นายพิเชษฐ หรือ พ.ต.ท.พิเชษฐ โดยไม่รู้ว่าเป็นตำรวจ เพราะส่งตามรายชื่อและที่อยู่ที่ผู้ว่าจ้างส่งมาให้ โดยของกลางทั้งหมดส่งมาจาก จ.พิษณุโลก ผ่านทางบริษัทรับส่งสินค้า ส่วนบัตรประชาชนที่ส่งมาให้ก็นำไปแสดงกับเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ขณะส่งพัสดุ รวมทั้งบัตรของ นายพนมทวน แซ่หวาง ด้วย


          ตัวละครของเครือข่ายค้ายาเสพติดที่ส่งทางไปรษณีย์ ยังสารภาพอีกว่า รับยาเสพติดมาจาก “นายไบเล่ย์” ซึ่งอยู่ จ.พิษณุโลก รู้จักกันทางกลุ่มเฟซบุ๊กและกลุ่มไลน์ นำมาขายให้วัยรุ่นในพื้นที่ โดยนายไบเล่ย์จะส่งยามาทางไปรษณีย์และบริษัทส่งพัสดุเอกชน ส่งมาแล้ว 15 ครั้ง ครั้งสุดท้ายวันที่ 20 มิถุนายน นายไบเล่ย์ได้จัดส่งพัสดุบรรจุใส่กล่องใหญ่ภายในมียาบ้า 2 ถุงซิป จำนวน 597 เม็ด ยาไอซ์หนัก 0.46 กรัม กล่องพัสดุเล็ก 6 กล่อง จ่าหน้าถึงผู้รับเรียบร้อย และมีบัตรประชาชนอีก 2 ใบ เพื่อใช้แสดงเป็นผู้ส่ง นอกจากนี้นายไบเล่ย์ยังส่งเบอร์โทรศัพท์ของสารวัตรแย้ให้ตนทวงหนี้ แต่สารวัตรแย้ถามหนี้ค่าอะไรและแสดงตัวเป็นตำรวจ จึงรีบกลบเกลื่อนตอบว่าโทรผิดแล้ววางสายไป พร้อมย้ำว่าไม่ใช่ลูกจ้างนายไบเล่ย์ แต่ได้เงินจากการขายยาเสพติด ส่วนเงินค่ายาจะโอนให้ทางบัญชีธนาคาร ซึ่งนายไบเล่ย์จะแจ้งหมายเลขบัญชีทางไลน์ และแต่ละครั้งไม่เคยซ้ำกันเลย ส่วน น.ส.ศุภราภรณ์ให้การว่าไม่รู้จักนายไบเล่ย์ แต่รู้ว่าของที่ส่งมาเป็นยาเสพติด


          ไม่เพียงเท่านี้ในกลุ่มไลน์ของเครือข่ายค้ายาเสพติดยังปรากฏชื่อของสารวัตรแย้ กระทั่งวันที่ 26 มิถุนายน เจ้าตัวเดินทางเข้าให้ปากคำที่ สภ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ พร้อมปฏิเสธเกี่ยวกับที่มีชื่อตัวเองไปอยู่ในไลน์กลุ่มแก๊งค้ายาเสพติด ส่วนนายไบเล่ย์ที่ถูกซัดทอดจากคนส่งไปรษณีย์เจ้าหน้าที่ก็สืบทราบและมีตัวตนจริง ก่อนคณะทำงานประชุมคลี่คลายคดีนี้ในวันที่ 28 มิถุนายน ที่ผ่านมา ประกอบด้วย พล.ต.ต.วันชัย สุวรรณศิริเขต รอง ผบช.ภ.6 ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ภ.6 พร้อมด้วย นายวิชัย ไชยมงคล รองเลขาธิการ ป.ป.ส. นายวัฒนา เกิดผล ผอ.ป.ป.ส.ภ.6 พล.ต.ต.ดำรงค์ เพ็ชรพงษ์ ผบก.ภ.จว.นครสวรรค์ พ.ต.อ.สารนัย คงเมือง รอผบก.สส.ภ.6 พ.ต.ท.สมพร ปราบุตร สว.กก.สส.4 บก.สส.ภ.6 รวมถึงทีมชุดทำงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าร่วมชี้แจงผลความคืบหน้า และนำผลตรวจสอบระหว่างตำรวจ และ ป.ป.ส.ที่ได้จากคดีที่เกี่ยวข้องของหลายจังหวัดมาแลกเปลี่ยน เพื่อวางแนวทางในการสืบสวนสอบสวน และร่วมทลายแก๊งเครื่อข่ายยาเสพติดทางไปรษณีย์


          พล.ต.ต.วันชัย บอกว่า ทราบเครือข่ายขบวนการค้ายาเสพติด ซึ่งอาศัยส่งพัสดุทางไปรษณีย์ทั่วประเทศ โดยจะส่งพัสดุไปรษณีย์จากเชียงราย เชียงใหม่ นครสวรรค์ บุรีรัมย์ ระนอง พังงา ขอนแก่น ซึ่งเครือข่ายดังกล่าวนี้มีขบวนการโยงใยทั่วประเทศ ทำให้ตำรวจทราบว่าเครือข่ายนี้คือ “เครือข่ายแก๊งไบเล่ย์” มี นายสัญญา หรือโอ๊ด ศาลางาม อายุ 30 ปี ชาว ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เป็นหัวหน้าแก๊ง และเป็นบุคคลที่ ป.ป.ส. มีหมายจับใน อ.คีรีมาศ และมีค่าหัว 30,000 บาท สำหรับเครือข่ายไบเล่ย์เป็นเครือข่ายใหญ่ระดับประเทศ มีเครือข่ายกระจายทั่วประเทศ จะส่งยาเสพติดกันทางไปรษณีย์เป็นหลัก


          ทั้งนี้ทั้งนั้นแหล่งข่าวจาก ป.ป.ส.ภาค 6 ระบุว่า นายสัญญา หรือโอ๊ด เคยเป็นเพื่อนสนิทกับ พ.ต.ท.พิเชษฐ เพราะเรียนมาด้วยกัน แต่เกิดผิดใจกันเพราะ พ.ต.ท.พิเชษฐ เคยจับกุมเครือข่ายยาเสพติดแก๊งนี้ อย่างไรก็ตามชุดคลี่คลายคดียังได้รับข้อมูลหลักฐานจากไปรษณีย์ว่า ในรอบปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีพัสดุส่งมาที่บ้านแม่ พ.ต.ท.พิเชษฐ จำนวน 7 ครั้ง แต่ไม่ได้ระบุว่าพัสดุภายในคืออะไร ซึ่งชุดสืบสวนจะต้องไปสืบสวนว่าสิ่งของที่ส่งมานั้นคืออะไร ส่งมาจากใครบ้าง ส่งให้ใครบ้าง เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดมายืนยันกับข้อมูลของ พ.ต.ท.พิเชษฐ ที่ให้ไว้กับพนักงานสอบสวน ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปส. ก็ระบุว่า การจับกุมที่เกิดขึ้นดังกล่าวไม่ได้กลั่นแกล้งใครแต่อย่างใด เนื่องจากขณะบุกจับตำรวจ ปส.ยังไม่ทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านตำรวจ


          นอกจากนี้ตำรวจภูธรภาค 6 น่าจะต้องเรียกตัว พ.ต.ท.พิเชษฐ มาสอบเพิ่มเติมอีกครั้ง เนื่องจากขณะนี้การให้ถ้อยคำของ พ.ต.ท.พิเชษฐ หลักฐานที่ได้รับ การสอบสวนผู้ต้องหาที่ จ.บุรีรัมย์ การสอบสวนผู้ต้องหาที่ จ.พะเยา จ.สุโขทัย และหลักฐานของตำรวจปราบปรามยาเสพติด เกิดความขัดแย้งในข้อมูลไม่ตรงกัน ยังไม่สามารถเคลียร์ประเด็นต่างๆ ได้ จึงจำเป็นต้องต้องเรียก พ.ต.ท.พิเชษฐ มาสอบปากคำเพิ่มในประเด็นต่างๆ เพิ่มเติมในเร็วๆ นี้


          ยังต้องรอดูการคลี่คลายคดีนี้ว่าจะออกมารูปแบบไหน บทสรุป “สารวัตรแย้” จะเป็นเช่นไร ถ้าถูกใส่ร้ายให้เป็น “แพะ” ก็ต้องดูตอนจบว่าใครอยู่เบื้องหลังการจัดฉากวางงานป้ายสี และคดีนี้น่าจะเป็นกรณีศึกษาให้แก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามยาเสพติด และบททดสอบกระบวนการยุติธรรมไทย...!!

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ