ข่าว

(คลิปข่าว) เปิดคำพิพากษาคลี่ปมคาใจ "คดีล่าเสือดำ"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"คดีล่าเสือดำ" ที่ศาลจังหวัดทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี พิพากษาให้จำคุก "เจ้าสัวเปรมชัย" รวม 3 ข้อหาเป็นเวลา 16 เดือน

"คดีล่าเสือดำ" ที่ศาลจังหวัดทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี พิพากษาให้จำคุก "เจ้าสัวเปรมชัย" รวม 3 ข้อหาเป็นเวลา 16 เดือน ขณะที่ลูกน้องอีก 3 คน ก็โดนคุกกันถ้วนหน้า โดยศาลไม่รอลงอาญา ขณะเดียวกันสังคมยังคาใจอีกอย่างน้อยๆ 2 ประเด็น คือ เจ้าสัวเปรมชัย ไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการล่าเสือดำเป็นเพียงผู้สนับสนุน ทั้งๆ ที่มีสถานะเป็นเจ้านายของจำเลยอีก 3 คน และยังรอดข้อหาครอบครองซากเสือดำด้วย ส่วนลูกน้องอีก 3 คน โดนลงโทษข้อหานี้กันทุกคนที่ผ่านมายังไม่มีคำพิพากษาฉบับเต็มออกมา จึงไม่มีใครทราบเหตุผลของศาล

ล่าสุด คำพิพากษาฉบับเต็มในคดีนี้มาแล้ว โดยนำเหตุผลของศาลที่พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลย จนนำมาสู่คำพิพากษาใน 2 ประเด็นสำคัญ ประเด็นแรก เจ้าสัวเปรมชัยไม่โดนคดีล่าเสือดำ เป็นแค่ผู้สนับสนุนคำพิพากษาของศาลในส่วนนี้ สรุปได้ว่า นายธานี ทุมมาศ หรือ "พรานแกละ" อายุ 57 ปี จำเลยที่ 4 ศาลเชื่อว่าเป็นผู้ยิงเสือดำ และพยายามล่ากระรอก แต่เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าไปพบเสียก่อน จึงถูกจับ ต่อมาเมื่อค้นตัวนายธานี พบกระสุนปืนลูกซอง ซึ่งสภาพของกระสุนปืนมีลักษณะคล้ายกับปลอกกระสุนปืนของกลางที่พบบริเวณใกล้กับจุดพบซากเสือดำ และในกระเป๋ากางเกงยังพบกระสุนปืนขนาด .22 ที่อยู่ในกล่องอีก 64 นัด ซึ่งใช้กับอาวุธปืนยาวที่พบที่ตัวนายธานี จึงส่อแสดงให้เห็นว่า นายธานี หรือ "พรานแกละ" มีพฤติการณ์ใช้อาวุธปืนของกลางในการล่าสัตว์ นอกจากนั้นรอยกระสุนปืนพบซากเสือดำ ก็ตรงกับอาวุธปืนลูกซองที่พรานแกละใช้ จึงเป็นหลักฐานฟังได้มั่นคงว่า นายธานี หรือ "พรานแกละ" เป็นผู้ใช้อาวุธปืนยาวลูกซองแฝดของกลางยิงเสือดำ จึงมีความผิดฐานล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง ซึ่งก็คือเสือดำส่วนนายเปรมชัย ศาลเห็นว่า ตามแนวทางการนำสืบของโจทก์ คืออัยการ ได้ความว่า นายเปรมชัย และนายยงค์ โดดเครือ คนขับรถ ไม่ได้อยู่ในขณะที่ "พรานแกละ" ยิงกระรอก แสดงให้เห็นพฤติกรรมการออกล่าสัตว์ของ "พรานแกละ" ว่ามักจะออกล่าสัตว์ตามลำพัง ประกอบกับโจทก์ไม่มีพยาน "พฤติเหตุแวดล้อม" ให้เห็นว่า นายเปรมชัย และนายยงค์ อยู่กับ "พรานแกละ" ขณะยิงเสือดำ ในลักษณะพร้อมที่จะช่วยเหลือในการล่าเสือดำที่จะเป็นการ "แบ่งหน้าที่กันทำ ฉะนั้นจึงฟังไม่ได้ว่า นายเปรมชัย และนายยงค์ เข้าร่วมระหว่างที่มีการล่าเสือดำ จึงไม่มีความผิดในข้อหานี้แต่นายเปรมชัย เป็นผู้ให้ปืนแก่ "พรานแกละ" ซึ่งอาวุธปืนยาวลูกซองแฝดนี้ เป็นอาวุธปืนที่มีความสำคัญของนักล่าสัตว์ ครอบคลุมการล่าสัตว์ทุกประเภท

นายเปรมชัยเป็นนักสะสมอาวุธปืน ย่อมทราบดี ดังนั้นการให้ปืนแก่ "พรานแกละ" นายเปรมชัย ย่อมรู้ว่าพรานแกละจะนำไปใช้ล่าสัตว์ จึงถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด "ก่อนหรือขณะกระทำความผิด" จึงผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนอ้างไม่ได้อยู่แคมป์ พ้นผิดครอบครองซากเสือดำส่วนประเด็นที่ 2 นายเปรมชัย ไม่ผิดฐานครอบครองซากเสือดำคำพิพากษาของศาลในส่วนนี้

 

สรุปได้ว่า หลังเสือดำตายแล้ว "พรานแกละ" ได้ชำแหละซากเสือดำ เพื่อเอาเครื่องในออก จากนั้นนำซากสว่นที่เหลือไปชำแหละต่อที่แคมป์ของนายเปรมชัย แต่ปรากฏว่าช่วงเวลานั้น นายเปรมชัยไม่ได้อยู่ที่แคมป์ โดยนายเปรมชัยอ้างว่าขับรถออกไปจากแคมป์คนเดียว ฉะนั้นนายเปรมชัยจึงไม่มีความผิดฐานครอบครองซากเสือดำแต่คำพิพากษาในส่วนนี้ยังมีรายละเอียดเล็กน้อยที่น่าสนใจก็คือ ศาลระบุว่า "จำเลยที่ 1 คือนายเปรมชัย เบิกความถึงเช้าวันที่ 4 กุมภาพันธฺ (ก่อนถูกจับ) ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถออกไปคนเดียว เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ จนถึงด่านเซซาโว่ ซึ่งจำเลยที่ 1 สามารถเบิกความถึงสภาพทางและสภาพแวดล้อมได้ โดยโจทก์ คืออัยการ ไม่ได้ถามพยานโจทก์ที่เป็นเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ ให้เห็นถึงสภาพทางไปด่านเซซาโว่ รวมทั้งไม่ได้ถามค้านจำเลยที่ 1 เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เบิกความไม่ตรงต่อความจริงของสภาพแวดล้อมให้พบจนเป็นข้อพิรุธหรือไม่ ทำให้ศาลเชื่อว่า ขณะที่พรานแกละนำซากเสือดำกลับมาที่แคมป์ นายเปรมชัยไม่ได้อยู่ที่แคมป์" นี่คือคำพิพากษาฉบับเต็มที่อธิบายการตัดสินลงโทษนายเปรมชัย

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ