ข่าว

รัฐ-เอกชน-ชุมชน ร่วมน้อมนำศาสตร์พระราชา จัดการน้ำอย่างยืน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

รัฐ-เอกชน-ชุมชน ร่วมน้อมนำศาสตร์พระราชาสู่การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ใช้ 'ความรู้คู่คุณธรรม' พาไทยรอดภัยแล้ง ชู บ้านสามขา บทเรียนจากฝาย สู่การจัดการกู้วิกฤติแล้ง

 

 

          สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง นำไปสู่การเกิดภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยที่ต้องเผชิญภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบ 40 ปี เพราะภาวะโลกร้อนทำให้ปริมาณน้ำฝนลดลงกว่าร้อยละ 30-40 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยต่อปี น้ำในเขื่อนเริ่มลดระดับจนแห้ง ยิ่งกว่านั้น กรมอุตุนิยมวิทยา ยังคาดว่าภัยแล้งปีนี้จะเกิดขึ้นยาวนาน กว่าฤดูฝนจะมาเยือนต้องรอถึงเดือนมิถุนายน

 

รัฐ-เอกชน-ชุมชน ร่วมน้อมนำศาสตร์พระราชา จัดการน้ำอย่างยืน

 

บ้านสามขา บทเรียนจากฝาย สู่การจัดการกู้วิกฤติแล้ง

 

          หนึ่งแนวทางสำคัญที่ทุกภาคส่วนเห็นว่าจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ คือ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ว่า “...หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำ คนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้า คนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้า ไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้...” ได้นำไปสู่การ “ระเบิดจากภายใน” จนเกิดชุมชนต้นแบบการบริหารจัดการน้ำ ของหมู่บ้านสามขา อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

 

รัฐ-เอกชน-ชุมชน ร่วมน้อมนำศาสตร์พระราชา จัดการน้ำอย่างยืน

 

          ร.ต.ชัย วงศ์ตระกูล ปราชญ์ชาวบ้านชุมชนบ้านสามขา อ.แม่ทะ จ.ลำปาง หรือ หมวดชัย หนึ่งในแกนนำชุมชน เล่าว่า “หมู่บ้านสามขา” เป็นหมู่บ้านที่อยู่บนเนินเขาสูงและขาดการกักเก็บน้ำในพื้นที่ ทำให้เกิดปัญหาภัยแล้งซ้ำซาก นำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนแหล่งอาหาร และไม่มีแหล่งสร้างรายได้จนเกิดหนี้สิน หมวดชัย จึงพาชาวบ้านไปเรียนรู้ดูงานการสร้างฝายของโครงการพระราชดำริ ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งแต่ปี 2545 ถึง 7 ครั้ง เพื่อหวังจะสร้างความเข้าใจและเป็นแรงบันดาลใจให้ชุมชนลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหาร่วมกัน หลังผ่านการลองผิดลองถูก ชุมชนก็สามารถทำฝายชะลอน้ำจากบนเขาลงมาด้านล่างได้ถูกวิธี เพื่อดูดซับความชุ่มชื้นกระจายสู่ผิวดิน ให้สามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง นำไปสู่การรวมกลุ่มชุมชนสร้างฝาย และร่วมมือกันทำแนวกันไฟป้องกันไฟป่า

 

          “ในหลวง ร.9 ทรงรับสั่งว่าให้ใช้วัสดุที่มีในป่า บวกกับแรงกาย แรงใจ แต่หลายคนไม่เชื่อ ในที่สุดเด็กในหมู่บ้านเป็นคนนำร่องทำ ทำให้ผู้ปกครองและคนในหมู่บ้านมาช่วยกัน ลองผิดลองถูกจนสรุปบทเรียนมาใช้ได้จริง

 

รัฐ-เอกชน-ชุมชน ร่วมน้อมนำศาสตร์พระราชา จัดการน้ำอย่างยืน

 

          จากนั้น 3 ปีจึงเห็นความเปลี่ยนแปลงคือดินชุ่มชื้น ช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งที่เคยประสบมายาวนาน 40-50 ปี ได้ด้วยการบริหารจัดการน้ำ อีกทั้งยังเป็นการสร้างระบบแบ่งปัน ที่พาชุมชนให้ผ่านพ้นวิกฤติไปได้ พอมีน้ำก็บริหารจัดการการใช้น้ำและแบ่งปันกันให้ทั่วถึง บ้านสามขา ยังขยายพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในพื้นที่ใกล้เคียงอีก 4-5 ตำบล เกิดการรวมตัวภายใต้เครือข่ายลุ่มน้ำจาง โดยมี “เอสซีจี” เข้ามาเป็นพี่เลี้ยง พร้อมผนึกกำลังกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ ร่วมกำหนดแนวทางการทำงานให้เป็นระบบและชัดเจน

 

รัฐ-เอกชน-ชุมชน ร่วมน้อมนำศาสตร์พระราชา จัดการน้ำอย่างยืน

 

3 พลังประสาน รัฐ-เอกชน-ชุมชน

 

          แม้วิกฤติภัยแล้งจะรุนแรงมากขึ้น แต่ด้วยความร่วมมือกันอย่างจริงจังของทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ด้วยการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ สร้างการมีส่วนร่วม รวมถึงการปลูกฝังบทบาทหน้าที่การอนุรักษ์ไปยังเยาวชนในชุมชนจากรุ่นสู่รุ่น จึงเป็นทางออกสำหรับวิกฤติในครั้งนี้

 

          “จะฝ่าวิกฤติภัยแล้งไปได้ ต้องร่วมกัน 3 ฝ่าย ด้วยการแบ่งปันความคิด ซึ่งชุมชนต้องปรับตัว วิเคราะห์น้ำต้นทุน ปริมาณน้ำ และความต้องการใช้ รวมถึงปรับเปลี่ยนพืชพันธุ์เกษตรให้ใช้น้ำน้อยที่สุด เช่น ต้นหอม กระเทียม และเน้นการนำน้ำมาใช้หล่อเลี้ยงชีวิตเป็นหลัก ตลอดจนสร้างให้คนในชุมชนเข้าใจและเอื้ออาทรกัน บางคนในพื้นที่ห่างไกลไม่มีน้ำ คนในพื้นที่ใกล้เคียงก็พร้อมแบ่งปันกัน” หมวดชัย กล่าว

 

เก่าขาม พลิกฟื้นผืนดินแล้ง จากระบบธนาคารน้ำใต้ดิน

 

          ต่างชุมชนต่างก็มีแนวทางการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน สำหรับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เก่าขาม อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี นั้น ได้พลิกฟื้นพื้นที่ในตำบลที่ขาดแคลนน้ำอย่างหนัก จนไม่สามารถเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรได้ ให้กลับมากักเก็บน้ำไว้ใช้ในชุมชนได้ถึง 3 ปี โดยไม่ต้องกังวลภัยแล้ง

 

รัฐ-เอกชน-ชุมชน ร่วมน้อมนำศาสตร์พระราชา จัดการน้ำอย่างยืน

 

          ชาตรี ศรีวิชาฐา นายก อบต. เก่าขาม อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เล่าถึงการพลิกฟื้นผืนดินแห้งแล้งด้วยระบบการจัดการน้ำ โดยการน้อมนำศาสตร์พระราชาของในหลวง ร.9 ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างน้ำบนดินลงสู่ชั้นใต้ดินที่เรียกว่า “ระบบธนาคารน้ำใต้ดิน”

 

          “พื้นที่อยู่นอกเขตชลประทาน ไม่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ประสบภัยแล้งและน้ำท่วมซ้ำซาก ตอนแล้งจัดต้องใช้รถขนน้ำมาแจกชุมชน เสียค่าน้ำมัน 6-7 แสนบาท จนมาค้นพบระบบน้ำใต้ดินจากศาสตร์พระราชา” 

 

          นายก อบต. เก่าขาม เผยถึงความสำเร็จของชุมชนว่า นอกจากความรู้แล้ว การสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชนก็เป็นสิ่งสำคัญ ตั้งแต่การจัดการน้ำในครัวเรือน จนถึงภาคการเกษตร ด้วยการวางแผนร่วมกันกักเก็บน้ำในหมู่บ้าน โดยทำให้เกิดแหล่งน้ำชั้นใต้ดินหรือน้ำบาดาล โดยไม่หวังพึ่งเพียงหน่วยงานส่วนกลางหรือภาครัฐ

 

          “ชุมชนบริหารจัดการน้ำตามบริบทท้องถิ่น ไม่โยนภาระไปที่ส่วนกลาง โดยทุกครัวเรือนได้ขุดบ่อเล็ก ๆ ของตัวเอง ไม่ปล่อยน้ำไหลทิ้งลงร่องระบายน้ำสาธารณะ เมื่อฝนตกก็มีบ่อรองรับน้ำเพื่อส่งต่อไปยังบ่อรองรับของชุมชน จากนั้นปล่อยไปยังพื้นที่เกษตรเพื่อผันน้ำลงสู่ชั้นใต้ดินเป็นธนาคารน้ำใต้ดินแบบพอเพียงไว้ใช้

 

รัฐ-เอกชน-ชุมชน ร่วมน้อมนำศาสตร์พระราชา จัดการน้ำอย่างยืน

 

จัดการน้ำชุมชนด้วยนวัตกรรม

 

          นอกจากนี้ อบต.เก่าขาม ยังนำนวัตกรรมมาช่วยในการบริหารจัดการน้ำด้วยการฝังเซ็นเซอร์ที่ชั้นใต้ดิน เพื่อช่วยวัดระยะเวลาการซึมน้ำไปสู่ชั้นใต้ดิน ปริมาณน้ำ การปนเปื้อน และวิเคราะห์คุณภาพน้ำชั้นใต้ดิน ซึ่งทางสำนักนายกรัฐมนตรีได้ส่งโครงการ “บัญชีนวัตกรรมการบริหารจัดการน้ำด้วยระบบธนาคารน้ำใต้ดินแบบพอเพียง” นี้ เข้าประเมินรับรางวัล United Nations Public Service Awards (UNPSA) ประจำปี 2563 เพื่อเชิดชูเกียรติงานบริการภาครัฐเป็นเลิศที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนายั่งยืนขององค์การสหประชาชาติหรือ UN

 

          “คนในชุมชนต้องรู้ว่าต้องการน้ำเท่าไหร่ และน้ำมีเท่าไหร่ และต้องเตรียมพร้อมเพื่อลดความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำ เมื่อชุมชนรู้บริบท รู้บัญชีน้ำต้นทุนของตนเอง จึงจะสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างยั่งยืน รวมถึงต้องมีการติดตาม ประเมินผล สรุปวิเคราะห์ เพื่อค้นหาอุปสรรคและหาโอกาสในการขยายผล

 

เอสซีจี รักษ์น้ำฯ ปันบทเรียนสู่ 108 ชุมชน

 

          อย่างไรก็ตาม มิติของการบริหารจัดการน้ำให้มีความยั่งยืนนั้น ชุมชนอาจไม่สามารถก้าวผ่านอุปสรรคได้เพียงลำพังหากไม่มีพี่เลี้ยงผู้คอยให้การสนับสนุน ทั้งเติมเต็มองค์ความรู้ และอำนวยความสะดวกให้ชุมชน เอสซีจี เป็นองค์กรที่มุ่งสานต่อปณิธานด้านการดูแลทรัพยากรน้ำ ด้วยเชื่อว่า น้ำ คือหัวใจของการก่อกำเนิดชีวิต จึงเริ่มต้นโครงการ “เอสซีจี รักษ์น้ำจากภูผาสู่มหานที” ตั้งแต่ปี 2546 จากชุมชนรอบโรงงานปูนซีเมนต์ จนขยายผลไปสู่โครงการ “เอสซีจีร้อยใจ 108 ชุมชนรอดภัยแล้ง”

 

          บวร วรรณศรี ผู้จัดการปฏิบัติการธุรกิจและชุมชนสัมพันธ์ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ลำปาง) จำกัด ในเอสซีจี ย้อนถึงจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2537 เมื่อไปตั้งโรงงานปูนซีเมนต์ที่ จ.ลำปาง แต่พบว่าพื้นที่มีสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรมจึงร่วมกันคิดฟื้นฟูปลูกป่าทดแทน แต่โดนไฟไหม้ป่าทุกปี จึงไปศึกษาโครงการพระราชดำริการสร้างฝายชะลอน้ำที่ห้วยฮ่องไคร้ จนสามารถฟื้นฟูป่าให้กลับมาเขียวขจี และขยายผลไปสู่การทำงานร่วมกับชุมชนรอบโรงงาน 

 

รัฐ-เอกชน-ชุมชน ร่วมน้อมนำศาสตร์พระราชา จัดการน้ำอย่างยืน

 

          “เอสซีจีอำนวยความสะดวกให้ชุมชน ไม่คิดแทน ไม่ทำแทน และไม่ใช้เงินเป็นตัวตั้ง โดยชุมชนต้องลงมือทำด้วยตนเอง ร่วมเก็บข้อมูลทรัพยากรในชุมชน ทั้งดิน น้ำ ป่า และพืชเศรษฐกิจ ทำให้เห็นข้อมูลว่าชุมชนเก็บน้ำฝนไว้ใช้ได้ไม่ถึงร้อยละ 2 ทั้งที่ทุกพื้นที่มีเครื่องมือหลากหลาย ทั้งแก้มลิง บ่อพวง ฝายชะลอน้ำ และธนาคารน้ำใต้ดิน

 

          เมื่อปีนี้วิกฤติภัยแล้งรุนแรงขึ้น เอสซีจีก็ได้ต่อยอดองค์ความรู้และขยายผลการบริหารจัดการน้ำให้ 108 ชุมชนที่มีภัยแล้งซ้ำซาก ได้ลุกขึ้นมาร่วมมือ เรียนรู้วิธีแก้ไข เพื่อให้รอดภัยแล้งด้วยตนเอง ภายใต้โครงการ “เอสซีจีร้อยใจ 108 ชุมชน รอดภัยแล้ง” ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเอสซีจีครบรอบ 108 ปี ในปี 2564 โดยมีเครือข่ายร่วมสนับสนุน ได้แก่ มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. ที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยวิเคราะห์วางแผนการบริหารจัดการน้ำ แก้ทั้งภัยแล้งและน้ำท่วม ขณะที่สยามคูโบต้า จะนำเครื่องจักรกลมาช่วยเสริมการสำรวจและขุดเจาะ เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำให้ชุมชน โดยมีจุดมุ่งหมาย คือ สนับสนุนให้ชุมชนลุกขึ้นแก้ปัญหาภัยแล้งด้วยตนเองตามแนวพระราชดำริ ใช้ ‘ความรู้คู่คุณธรรม’ รวมถึงนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบแหล่งน้ำ การวางแผนจัดทำผังน้ำ และการใช้น้ำที่เหมาะสมกับความต้องการของชุมชน

 

          สิ่งสำคัญ คือ การสร้างความเข้มแข็งให้คนในชุมชน ‘รู้ รัก สามัคคี มีส่วนร่วม และพึ่งพาตนเอง’ จัดสรรแบ่งปันน้ำอย่างเป็นธรรม และขยายความรู้สู่ชุมชนอื่นต่อไป เช่นที่หมู่บ้านสาแพะเหนือ ต.บ้านสา อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ที่บริหารจัดการแหล่งน้ำให้กักเก็บน้ำได้เพิ่มมากขึ้น ด้วยการสร้างฝายใต้ทราย ขุดลอกวังน้ำ โดยชาวบ้านช่วยกันทำเอง ทำให้รอดภัยแล้งในปีนี้ไปได้

 

แผนแม่บทน้ำ 20 ปี ดึงชุมชนจัดการ พร้อมสั่งลุยด่วนสู้ภัยแล้ง

 

          ภาครัฐเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการกำกับดูแลด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านกฎหมาย และนโยบายการพัฒนา ที่ต้องมีการทำงานอย่างบูรณาการ โดยได้น้อมนำพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาใช้ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ภัยแล้ง ด้วยการจัดทำแผนแม่บทน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

 

          ประดับ กลัดเข็มเพชร รองเลขาธิการ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า การขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำอย่างมีส่วนร่วมนำมาใช้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น หลังจากมีกฎหมายบังคับใช้ ภายใต้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2561 ซึ่งเป็นการจัดการการใช้ การพัฒนา และการฟื้นฟูอนุรักษ์ทรัพยากร เพื่อให้ 38 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาทำงานร่วมกัน โดยจัดตั้งองค์กรบริหารจัดการทรัพยากรน้ำจาก 3 ระดับ ได้แก่ ระดับชาติ คือ คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีหน้าที่จัดทำแผนยุทธศาสตร์ แผนแม่บท และมาตรการจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ และมีคณะกรรมการระดับลุ่มน้ำ ที่ให้ตัวแทนประชาชนที่มาจากการคัดเลือกขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และระดับองค์กรผู้ใช้น้ำ ที่มาจากกลุ่มต่าง ๆ ที่เป็นตัวแทนผู้ใช้น้ำจริง เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง

 

รัฐ-เอกชน-ชุมชน ร่วมน้อมนำศาสตร์พระราชา จัดการน้ำอย่างยืน

 

          แม้ภัยแล้งที่เกิดขึ้นจะเป็นปัญหาที่รุนแรงสักเพียงใด แต่หากทุกฝ่ายทั้งชุมชน ภาครัฐ และเอกชน ลุกขึ้นมาร่วมมือ เรียนรู้ ลงมือทำ และแบ่งปันกัน โดยอาศัยองค์ความรู้ และเทคโนโลยีที่เหมาะสมจัดการตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ตลอดจนมีการติดตามและประเมินผลอย่างใกล้ชิด ก็จะช่วยให้ประเทศไทยของเราสามารถฝ่าวิกฤติทั้งภัยแล้งนี้ หรือปัญหาภัยธรรมชาติอื่นๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน.

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ