ข่าว

วิกฤติแล้ง  63 งานท้าทายชลประทานในรอบ 40 ปี

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

วิกฤติแล้ง  63 งานท้าทายชลประทานในรอบ 40 ปี

            ฤดูแล้งปี  2563 ติดลำดับ 2  รองจากปี  2522  แซงปี  2558 ไปแล้ว ภาระและความคาดหวังที่จะช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนจึงเป็นสิ่งที่กรมชลประทานในฐานะผู้ปฏิบัติจะต้องฝ่าฟันบริหารไปด้วยปริมาณน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัด 

วิกฤติแล้ง  63 งานท้าทายชลประทานในรอบ 40 ปี

           นายทองเปลว  กองจันทร์  อธิบดีกรมชลประทาน

       นายทองเปลว  กองจันทร์  อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า หลังจากกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่าปี 2563 เป็นปีที่แล้งรองจากปี  2522 ในรอบ  40  ปี อีกทั้งคาดว่าปี63 ปริมาณฝนในฤดูจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ  5-10 %  ส่งผลต่อปริมาณน้ำสะสมในอ่าง ทำให้กรมต้องวางแผนบริหารน้ำอย่างเข้มงวดเพื่อให้พ้นจากวิกฤติภัยแล้งครั้งนี้    ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของข้าราชการกรมชลประทาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนทุกคนที่ต้องช่วยกันประหยัดน้ำ

     โดยกรมได้ตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขและบรรเทาวิกฤติภัยแล้งปี  2562/2563  ที่กรมชลฯเพื่อเป็นหน่วยกลางประสานการช่วยเหลือทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังได้มีศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจสำนักชลประทานที่ 1-17และสำนักเครื่องจักรกล เพื่อเป็นศูนย์กลางบูรณาการกระจายการช่วยเหลือด้านเครื่องมือ เครื่องจักร ตลอดจนสร้างความเข้าใจกับประชาชน ถามที่ศูนย์อำนวยการฯได้สั่งการ และให้ทุกฝ่ายรายงานผลการดำเนินการมาที่กรมทุกวัน

      สำหรับปริมาณน้ำที่กรมวางแผนฤดูแล้งปี 2562/63 ( 1พ.ย.  62- 30 เม.ย.2563) ณ  วันที่  1 พ.ย.  2562  มีน้ำต้นทุนรวม  29,039  ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.)   ได้จัดสรรน้ำออกเป็น2 ก้อน คือ 1.ปริมาณที่จะจัดสรรในฤดูแล้งปี 62/63(1พ.ย. 62-30เม.ย.63)   และ 2.สำรองสำหรับฝนทิ้งช่วงระหว่างเดือน พ.ค.-ก.ค.63  

วิกฤติแล้ง  63 งานท้าทายชลประทานในรอบ 40 ปี

     ในการบริหารได้ให้ลำดับความสำคัญคือ 1.เพื่อการอุปโภค -บริโภค     2.เพื่อการรักษานิเวศน์และอื่นๆ    3. สำรองเพื่อต้นฤดูฝนและสำรองฝนทิ้งช่วง4. น้ำเพื่อการเกษตรเพื่อการเกษตรต่อเนื่องและ 5.อุตสาหกรรม     

     น้ำที่จัดสรรสำหรับฤดูแล้งปี  62/63  รวม  17,699  ล้านลบ.ม. ( 61% ) ของปริมาณน้ำต้นทุน และสำรองไว้ต้นฤดูฝนปี 63 และเพื่อกรณีฝนทิ้งช่วง( พ.ค. -ก.ค.63) รวม  11,340 ล้านลบ.ม. (39% ) ของน้ำต้นทุน

      ซึ่งปริมาณน้ำฤดูแล้ง(1พ.ย.62-30 เม.ย. 63) จำนวน  17,699  ล้านลบ.ม.(61%)ของน้ำต้นทุนจะใช้เพื่อ 1.อุปโภค บริโภค จำนวน 2,300  ล้านลบ.ม. (13%) 2.เพื่อรักษาระบบนิเวศน์และอื่นๆ 7,006 ล้านลบ.ม.(40%)3. เพื่ออุตสาหกรรม  519 ล้านลบ.ม.(3%) 4.เพื่อการเกษตรฤดูแล้ง 7,874  ล้านลบ.ม.(44%)   ส่วนปริมาณน้ำสำรองต้นฤดูฝนและช่วงฝนทิ้งช่วงจำนวน  11,340  ล้านลบ.ม.หรือ 39% ของปริมาณน้ำต้นทุน (  พ.ค.-ก.ค. 63) จะจัดสรรเพื่อ 1.การอุปโภค-บริโภค 4,909  ล้านลบ.ม. (43%) และ 2.สำรองฝนทิ้งช่วง  6,431  ล้านลบ.ม.(57%)

     ในขณะที่แผนการจัดสรรน้ำในลุ่มเจ้าพระยาฤดูแล้งปี 62/63  ณ 1 พ.ย.  2563 มีน้ำต้นทุน 5,377  ล้านลบ.ม.  จัดสรรสำหรับช่วง  1พ.ย.62-30 เม.ย.  63 จำนวน  4 ,000   ล้านลบ.ม.หรือ  65% ของน้ำต้นทุน  และสำรองไว้ต้นฤดูฝนและเพื่อฝนทิ้งช่วง 2,227 ล้านลบ.ม.  และน้ำจากลุ่มแม่กลองมาเติมน้ำต้นทุนให้ลุ่มเจ้าพระยาประมาณ  500-850   ล้านลบ.ม. 

     ในลุ่มเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งพ.ย. 62- เม.ย.  63 จะจัดสรรน้ำต้นทุน 4,000 ล้านลบ.ม.เพื่อ 1.การอุปโภค-บริโภค 1,150  ล้านลบ.ม.( 29%)  2.เพื่อรักษาระบบนิเวศน์และอื่นๆ 2,200  ล้านลบ.ม.  3.เพื่ออุตสาหกรรม 135 ล้านลบ.ม.(3%)   4.พืชต่อเนื่องและอื่นๆ 515  ล้านลบ.ม.(13%) ส่วนน้ำที่สำรองต้นฤดูฝนและฝนทิ้งช่วง พ.ค.- ก.ค.  2563 จำนวน 2,227  ล้านลบ.ม.จะใช้เพื่อการอุปโภค-บริโภคและรักษาระบบนิเวศน์และอื่นๆ 1,841  ล้านลบ.ม.(83% ) และเพื่อฝนทิ้งช่วง386  ล้านลบ.ม.(17%)  

     “ปริมาณน้ำที่ระบายผ่านเขื่อนเจ้าพระยา-ชัยนาท ขั้นต่ำสุดที่กรมเคยบริหาร อยู่ที่ประมาณ  18  ล้านลบ.ม.ต่อวันในปี  2558  ซึ่งปีนั้นวิกฤติมาก  และในกรณีที่น้ำทะเลหนุนสูงจะผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลองมาช่วยผลักดันเป็นครั้งคราวตามแผนการใช้น้ำของฝั่งตะวันตกโดยปีนี้วางแผนจะใช้น้ำลุ่มน้ำแม่กลองประมาณ  500  ล้านลบ.ม. โดยเฉพาะในช่วงน้ำทะเลหนุนเพื่อช่วยดันน้ำเค็ม  ร่วมกับน้ำเหนือและการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ เพื่อรักษาระบบประปาของการประปานครหลวงซึ่งในเดือนม.ค. 63 ได้ใช้แผนนี้และประสบความสำเร็จ  จากการบริหารอย่างเข้มข้นทำให้การใช้น้ำยังเป็นไปตามแผน   รวมถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วน ที่ทำงานทุ่มเทกันต่อเนื่องเชื่อมั่นว่าจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยดี  “

วิกฤติแล้ง  63 งานท้าทายชลประทานในรอบ 40 ปี

 

      ในขณะที่ 7 จังหวัดลุ่มน้ำแม่กลอง   มีปริมาณน้ำใช้การรวม 5,700  ล้านลบ.ม.  สำหรับอุปโภค บริโภค 460  ล้านลบ.ม.( 8%)เพื่อรักษาระบบนิเวศ 1,560 ล้านลบ.ม. ( 27) %  เพื่อการเกษตร  3,180 ล้านลบ.ม.(56% ) และเพื่อช่วยลุ่มน้ำเจ้าพระยา 500  ล้านลบ.ม.  (9 %)

       ในท่ามกลางวิกฤติและปัญหา การบริหารทรัพยากรน้ำที่มีจำกัดตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ พร้อมกับการติดตามอย่างใกล้ชิดของทุกฝ่าย ก็เชื่อว่าจะสามารถฝ่าวิกฤตินี้ไปได้   นับว่าเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะทำให้เห็นว่าความผสานความร่วมมือ ใดๆจะสำเร็จได้ต้องมีประชาชนเป็นส่วนร่วมที่สำคัญ

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ