ข่าว

นายกฯขอประชาชนร่วม "พลิกโฉมประเทศไทย" ไปด้วยกัน

22 ก.ย. 2564

นายกฯกล่าวปาฐกถา เปิดงาน Mission to Trans form 13 หมุดหมาย "พลิกโฉมประเทศไทย" บอก รัฐบาลพยายามเต็มที่ให้สถานการณ์โควิด -19 ประเทศคลี่คลาย เผย ผุดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับเฉพาะกิจ 64 - 65 รองรับความผันผวน พร้อมขอประชาชนร่วมพลิกโฉมประเทศไทยไปด้วยกัน

 

 

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม  เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาในงาน Mission to Traform 13 หมุดหมาย"พลิกโฉมประเทศไทย" ของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

 

 

ทั้งนี้นายกฯ ระบุว่า ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ต่างๆจะกลับสู่สภาวะปกติได้เร็วซึ่งรัฐบาลพยายามใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการคลี่คลายวิกฤตต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วที่สุด

 

 

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 นับเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับประเทศไทยที่สะท้อนว่าการที่ประเทศของเราจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงนั้น จะต้องมีความพร้อมที่จะเผชิญกับความผันผวนต่าง ๆ อย่างรัดกุม และสมดุลในทุกด้าน

 

 

และสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้สามารถรับมือได้ก็คือการมีแผนการพัฒนา
ประเทศที่มีเป้าหมาย อย่างชัดเจน มีแนวทางดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นแผนที่ดึงความร่วมมือจากทุกฝ่ายให้มาร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

 

 

โดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นแผนการรับมือกับความท้าทายของประเทศซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทย ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯภายหลังจากประเทศมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นแผนปฏิบัติการในช่วงทุกระยะ 5 ปีของยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งจะทำให้การพัฒนาประเทศในทุก 5 ปีเป็นอย่างสอดคล้องในทิศทางเดียวกัน

 

 

ทั้งนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ซึ่งเป็นแผนในช่วง 5 ปีแรกของยุทธศาสตร์ชาติจะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน 2565 และจะมีการประกาศใช้แผนพัฒนาฯฉบับที่ 13 เป็นแผน 5 ปีในระยะที่ 2 ของยุทธศาสตร์ชาติ 

 

 

ซึ่งการประชุมประจำปีของสภาพัฒน์ในวันนี้จะเป็นเวทีระดับประเทศที่เปิดโอกาสให้หน่วยงานและภาคีการพัฒนาต่าง ๆ ได้มีส่วนร่วมในการระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างฉบับที่ 13 ซึ่งจะเริ่มใช้ในปี 2566 ถึง 2570 เพื่อที่จะช่วยกันกำหนดเป้าหมายที่จะเดินต่อไปอีก 5 ปีข้างหน้านำพาประเทศไปสู่เป้าหมายสุดท้ายของยุทธศาสตร์ชาติ

 

 

ความคิดเห็นของทุกคนจึงเป็นความสำคัญในการกำหนดประเทศ ซึ่งการประชุมในวันนี้เป็นการระดมความคิดเห็นต่างๆโดยจะนำไปปรับปรุงร่างแผนพัฒนาฉบับที่ 13 ให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์และตรงต่อความต้องการของประชาชนให้มากที่สุด 

 

 

นายกรัฐมนตรี ยังระบุอีกว่าภาพรวมสถานการณ์โลกและสถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบัน การที่จะก้าวไปสู่อนาคตร่วมกันอย่างมั่นคงจำเป็นจะต้องรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในโลกอย่างรอบด้าน แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลกที่กำลังกระทบกับหลายประเทศในโลกรวมทั้งประเทศไทยคือแนวโน้มที่เรียกว่า Mega Trend

 

 

ได้แก่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย การเปลี่ยนแปลงค่านิยมและรูปแบบการใช้ชีวิต เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานภาวะโลกร้อนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่จะทำให้เกิดโอกาสในการพัฒนารูปแบบใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีขึ้นมาก่อน ส่งผลกระทบต่อชีวิตและพฤติกรรมของคนในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

 

 

 

 

 

ซึ่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ในช่วงที่ผ่านมายังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นตัวเร่งทำให้ Mega Trend ที่มีอยู่แล้วเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้วิถีชีวิตของทุกคนในโลกต้องปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่ซึ่งเรียกว่าความปกติรูปแบบใหม่หรือ New Normal

 

 

ดังนั้นการกำหนดทิศทางพัฒนาประเทศของเราในอนาคตจำเป็นจะ
ต้องพิจารณาทั้งบริบทการเปลี่ยนแปลงภายนอกประเทศควบคู่กับการประเมินเงื่อนไขปัจจัยภายในหรือสภาพแวดล้อมและศักยภาพของประเทศ ทั้งที่เป็นจุดแข็งและจุดอ่อนเพื่อช่วยให้ตัดสินใจเลือกทิศทางและแนวทางที่จะเป็นประโยชน์มากที่สุดสำหรับประเทศ

 

 

ในการที่จะก้าวต่อไปท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่ผันผวนรวดเร็วของโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างภูมิคุ้มกันของประเทศให้มีความเข้มแข็งเพื่อให้สามารถรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นอย่าง Mega Trend ไปพร้อมกับการเตรียมสภาพแวดล้อมของประเทศให้มีความพร้อมและเลือกออกแสวงหาโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์

 

 

ซึ่งหากมีการวางแผนในการแก้ไขและบริหารจัดการความเสี่ยงดังกล่าวเป็นอย่างดีอาจจะเปลี่ยนความเสี่ยงนั้นให้เป็นโอกาสในการพัฒนาประเทศ ทั้งในมิติเศรษฐกิจและสังคม 

 

 

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ถือเป็นโอกาสและความเสี่ยงการขับเคลื่อนประเทศไทย ที่ทวีความรุนแรงขึ้นและส่งผลกระทบต่อทางเศรษฐกิจและสภาพจิตใจของคนไทยทุกคน

 

 

รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาดังกล่าวและพยายามอย่างเต็มที่ในการที่จะควบคุมสถานการณ์โดยระยะสั้นรัฐบาลได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อที่จะควบคุมการแพร่ระบาด ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนและระบบสาธารณสุขของประเทศ

 

 

รวมถึงเร่งจัดหาการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพให้กับประชาชนอย่างครอบคลุมทั่วถึงและรวดเร็วเพื่อลดความเจ็บปวดรุนแรงและเสียชีวิต ทั้งนี้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ทำให้เกิดข้อติดขัดต่อการพัฒนาประเทศตามแนวทางที่เคยวางแผนไว้ภายใต้สถานการณ์ปกติ

 

 

รัฐบาลจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปสู่เป้าหมายในระยะยาวจึงและสนับสนุนให้มีการเพิ่มเติมแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ อันเป็นผลมาจากสถานการณ์ โควิด -19 พ. ศ. 2564 -2565 ขับเคลื่อนพัฒนาประเทศจากการได้รับผลกระทบจากโควิด 19 ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมไม่เป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายระยะยาว

 

 

รัฐบาลขอให้คำมั่นจะพยายามจัดหาและฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพให้กับประชาชนอย่างครอบคลุมทั่วถึงและรวดเร็วเพื่อลดความเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต รวมถึงมาตรการทางเศรษฐกิจในระยะเร่งด่วนเพื่อเยียวยาและบรรเทาผลกระทบต่าง ๆ ให้แก่ประชาชน 

 

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ขอยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่จะนำพาประเทศรอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้เร็วที่สุด และฟื้นประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง แผน พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 กับการทำงานของรัฐบาล กับการ"พลิกโฉมของประเทศ" ถึงเวลาที่จะต้องกำจัดจุดอ่อน เสริมสร้างความเข้มแข็งเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย ที่ทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน

 

 

และร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ที่เตรียมจะประกาศให้ใช้ในปี 2566 นั้นมีความมุ่งหวังเพื่อปรับเปลี่ยนไปสู่
โฉมหน้าใหม่ของประเทศไทยที่ก้าวทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก 

 

 

ทั้งนี้เป้าหมายสำคัญคือ การปรับโครงสร้างการผลิตของประเทศให้เป็นเศรษฐกิจที่อยู่บนฐานนวัตกรรม ด้านการแพทย์และสาธารณสุขโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาไวรัสโควิค 19 การพัฒนาคนให้มีความสามารถและมีคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมกับโลกยุคใหม่ ให้มีความพร้อมในการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21

 

 

เช่นปรับรูปแบบการเรียนรู้และการสอนเสริมสร้างทักษะสำคัญ ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีให้มากขึ้น  การสร้างสังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม ซึ่งรัฐบาลพยายามขจัดความเหลื่อมล้ำในรูปแบบต่าง ๆ

 

 

อย่างการปรับปรุงระบบสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพ การสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ โดยมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาในทุกมิติและต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศและมีความพร้อม
ในการร่วมมือหรือรับมือจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ  

 

 

การเตรียมความพร้อมของประเทศในการรับมือความเสี่ยงภายใต้บริบทโลกใหม่ กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาระบบการบริหารจัดการที่ประชาชนจะต้องเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ 

 

 

และนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การจะบรรลุเป้าหมายถือเป็นการทำงานที่มีความท้าทาย แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามวางรากฐานเพื่อสนับสนุนเป้าหมายที่ต้องการจะบรรลุ

 

 

แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ภารกิจการ "พลิกโฉมประเทศไทย" ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จไม่ได้มาจากแผนพัฒนาฯอย่างเดียวตนเชื่อว่าการพัฒนาประเทศไม่สามารถสำเร็จได้โดยการทำงานของคน
ใดคนหนึ่ง

 

 

แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่ายที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศของเราให้ดียิ่งขึ้นรัฐบาลพร้อมที่จะทำทุกอย่างทุกวิถีทางการ"พลิกโฉมของประเทศ"ตามแนวทาง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13

 

อ่านข่าวเกี่ยวข้อง