คอลัมนิสต์

สร้างสำนึก-ใช้ยาแรงแก้หมอกควัน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

สร้างสำนึก-ใช้ยาแรงแก้หมอกควัน บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2563

 

 


          จากเหตุการณ์ไฟป่าและปัญหาหมอกควันฝุ่นพิษ พีเอ็ม 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ 9 จังหวัดที่รุนแรงขึ้นส่งผลให้คุณภาพอากาศหลายพื้นที่เกินค่ามาตรฐานโดยมีหลายพื้นที่เป็นสีแดงที่มีผลกระทบต่อสุขภาพจึงเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขเพราะที่ผ่านมาดูเสมือนว่าเป็นการแก้ไขเฉพาะหน้าให้ผ่านไปในแต่ละปี แต่พอปีถัดมาปัญหานี้ก็กลับมาเกิดขึ้นอีก ซึ่งหลายฝ่ายก็บอกว่าเป็นแค่ไม่กี่วันและช่วงเดียวของปีไม่มีผลอะไร แต่ในความจริงฝุ่นพิษหมอกควันมีผลกระทบอย่างมากต่อกลุ่มเสี่ยงที่เป็นผู้สูงวัย เด็ก และผู้มีโรคประจำตัวและโรคระบบหายใจ อีกทั้งมลพิษเหล่านี้สามารถสะสมในร่างกายหากปล่อยให้เกิดภาวะประจำถิ่นและรับเอาเข้าไปทุกปีต่อให้เป็นคนแข็งแรงก็มีผลให้เกิดการเจ็บป่วยได้ จึงเป็นเรื่องที่ภาครัฐหลีกเลี่ยงไม่ได้จะต้องแก้ไขให้บรรลุผลสำเร็จและดึงทุกภาคส่วนมาร่วมมือให้เห็นผลรูปธรรมจริงจัง

 

 

          ปัญหาหมอกควันในภาคเหนือมีความซับซ้อนเชิงวิถีชาวบ้านเพราะส่วนหนึ่งเกิดจากการเผาป่าหาของป่ารวมไปถึงการเผาวัชพืชหรือตอซังในไร่เพื่อเพาะปลูกใหม่ซึ่งเป็นโจทย์ที่ต้องหาวิธีการแก้ไข รวมไปถึงความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้านเนื่องจากก็มีการเผาป่าหาของป่าและเผาพืชไร่เช่นเดียวกับประเทศเราแต่หมอกควันได้ลอยตามลมเข้ามาฝั่งไทยในทุกปี ซึ่งประเด็นนี้ก็ต้องอาศัยความสัมพันธ์และการเจรจาซึ่งอาจถึงการแลกเปลี่ยนต่างตอบแทนเพื่อให้ต่างฝ่ายต่างควบคุมในประเทศตัวเองให้ได้ โดยปัญหาหมอกควันไม่เพียงส่งผลเรื่องสุขภาพประชาชน ยังส่งผลเสี่ยงอันตรายในการเดินทางอากาศด้วย ซึ่งทุกปีเช่นกันที่สายการบินที่เดินทางไปภาคเหนือต้องเผชิญหมอกควันทำให้ทัศนวิสัยการบินต่ำและทุกปีจะมีรายงานว่าต้องบินวนเหนือท่าอากาศยาน ซึ่งล่าสุดเกิดที่สนามบินแม่สอด จ.ตาก ถือว่าสุมเสี่ยง


          ส่วนการทำงานของเจ้าหน้าที่ก็ยากลำบากมากในกรณีการเผาป่าเนื่องจากไฟไหม้แต่ละจุดเกิดขึ้นในป่าลึกและบางจุดสูงชันทำให้การเข้าไปดับไฟค่อนข้างยากลำบากต้องใช้เวลาในการเดินเท้าเข้าไปและเมื่อไปถึงจุดเกิดเหตุก็มักพบว่าไฟได้ไหม้ลุกลามพื้นที่ป่าเสียหายเป็นบริเวณกว้างจนต้องใช้มาตรการเชิงรุกแจ้งเตือนชาวบ้านว่าหากต้นเพลิงเกิดในที่ดินซึ่งมอบให้ไว้ทำกินจะถูกพิจารณายึดคืน ซึ่งปัจจุบันกฎหมายใหม่บังคับใช้แล้ว กรณีคนเผาป่ามีโทษสูงจำคุก 4-20 ปี หรือปรับตั้งแต่ 400,000-2,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ควบคู่กับการณรงค์สร้างจิตสำนึกให้เคารพสิทธิและความรับผิดชอบต่อส่วนรวมด้วย ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ย้ำถึงการมาตรการใช้ยาแรงในแก้ไขปัญหา “ไม่ต้องกำชับอะไรเป็นพิเศษ หากพบว่ามีการเผาก็ต้องดำเนินคดีเพราะผิดกฎหมาย”




          ขณะที่กรมป่าไม้ระบุว่าเดือนมกราคม–เมษายน ของทุกปีในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ มักประสบปัญหาหมอกควันจากไฟป่าที่นอกจากกระทบต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่ยังสร้างความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศป่าไม้ เศรษฐกิจ สังคม การคมนาคม และการท่องเที่ยว จึงจัดตั้ง “วอร์รูม” เพื่อประสานงานกับทางจังหวัดเพื่อให้ปฏิบัติงานด้วยความรวดเร็ว ขณะเดียวกันด้านตำรวจภูธรก็ควรเน้นยาแรงเพราะการเผาวัชพืชไร่และเผาที่โล่งได้มีการแจ้งเตือนกันมานานแล้วแต่ทุกปีก็เกิดขึ้นตลอด ดังนั้นการขอความร่วมมือคงเป็นมาตรการที่ดูจะไร้ผลซึ่งปัจจุบันจับกุมไปแล้วหลายสิบราย ขณะที่การสร้างจิตสำนึกต้องควบคู่ไปเพื่อแก้ที่ต้นทาง ส่วนการใช้กฎหมายแก้ปลายเหตุพร้อมทั้งแนะนำวิธีการอื่นทดแทนการเผาไร่และสร้างรายได้อื่นแทนการหาของป่าเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมให้ได้

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ