Lifestyle

เกาะยาวใหญ่นำร่องวิถีชุมชนร่วมใจ ป้องกันโรค NCDs ต้องเริ่มที่ EF

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

อีกเรื่องราวของชาวเกาะยาวใหญ่กับปฏิบัติการสร้างสุขภาวะในสไตล์ “สร้างนำซ่อม” เมื่อหมอหนุ่มคนดัง “หมอนิล” นายแพทย์มารุต เหล็กเพชร เกิดปิ๊งไอเดีย จับมือกับชุมชน ร่วมกันคิดและออกแบบ แก้ปัญหาโรค NCDs ที่ต้นตอ กับการเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ด้วยแนวคิด EF

หากจำกันได้ เมื่อสิบกว่าปีก่อนในสื่อต่างๆ ยังมีเรื่องราวที่สร้างความประทับใจและสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน นั่นคือเรื่องราวของหมอหนุ่มไฟแรงชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช“หมอนิล” นายแพทย์มารุต เหล็กเพชร นายแพทย์ชำนาญการพิเศษประจำโรงพยาบาลเกาะยาว สาขาสถานีอนามัยตำบลพรุใน (ศูนย์แพทย์ชุมชนพรุใน) จังหวัดพังงาที่เป็นมากกว่าแค่แพทย์ผู้รักษา หากหมอนิลยังอาสาดูแลความป่วยไข้พี่น้องชาวเกาะยาวใหญ่ ด้วยแนวการดูแลสุขภาพแบบนอกกรอบ และการสร้างเสริมสุขภาพ ด้วยแนวทางการสร้างสุขภาวะให้กับพี่น้องในชุมชนเพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เป็นหัวใจสำคัญ

ปัจจุบัน หมอนิลยังคงเป็นแพทย์คนดังขวัญใจชาวเกาะยาวใหญ่ให้ความนับถือ โดยวันนี้เขาหันมาทุ่มเทความสนใจในเรื่องเวชศาสตร์ครอบครัวเป็นพิเศษ หมอหนุ่มยังร่วมกับแกนนำและสมาชิกในชุมชนพัฒนาแนวทางการดูแลสุขภาพ และพยายามปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตคนเกาะยาวไปสู่สุขภาวะอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการโรงเรียนชีวิตการพัฒนาสร้างแกนนำกลุ่มเยาวชนในพื้นที่ผ่านโครงการ Design Thinking และโครงการอาหารในโรงเรียน เป็นต้น

“เกาะยาวใหญ่” อยู่ในพื้นที่จังหวัดพังงา ได้ชื่อว่าเป็นเกาะ 3 เมือง เพราะอยู่กึ่งกลางระหว่าง 3 จังหวัด ที่นี่มีประชากรอพยพมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่กว่าหมื่นคน รุ่นแรกๆ มีทั้งอพยพมาจาก ต.เกาะยาวน้อย จากจังหวัดสตูล ตรัง พังงาเมื่อกว่า 100 ปีมาแล้ว อีกส่วนหนึ่งเป็นชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีนมาตั้งรกราก ต่อมาในช่วงหลังยังมีพี่น้องจากเมียนมา เชื้อสายมอญ เขมร ที่เข้ามาทั้งอยู่อาศัยและเป็นแรงงานรับจ้างทำประมง อาชีพหลักของคนเกาะยาว ประชากรที่นี่ส่วนใหญ่ร้อยละ 90 นับถือศาสนาอิสลาม 

หากมองปัญหาด้านสุขภาพ ชาวเกาะยาวส่วนใหญ่เจ็บป่วยจากโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ กลุ่ม NCDs เป็นอันดับต้นๆ ไม่แตกต่างกับพื้นที่อื่นทั่วประเทศ ซึ่งโรคดังกล่าวเกิดจากพฤติกรรมด้านสุขภาพเป็นหลัก การทำงานของหมอนิลจึงมุ่งเน้นที่การมองหาการสร้างกระบวนการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคนในชุมชนเป็นหลัก

“มาทำงานที่นี่สิ่งที่ผมสนใจคือเรื่องโรคเรื้อรังกลุ่มนี้ แต่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมดังกล่าวได้ ต้องทำงานผ่านสิ่งที่เรียกว่ากระบวนการพูดคุยเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติ แต่เรามองว่าใช้เวลานาน และเห็นผลช้า บางรายก็เปลี่ยนไม่ได้ ก็เลยมาคิดใหม่ว่า หากอยากจะป้องกันทางที่ดีที่สุด คือเราต้องส่งเสริมให้เขาหันมาดูแลสุขภาพตัวเองตั้งแต่วัยเด็ก น่าจะช่วยลดได้ในระยะยาว ก็เลยเกิดความคิดอยากฝังความรู้นี้ให้กับชุมชน ตั้งแต่วัยเด็กไปเลย”

หลังจากที่ตั้งเป้าว่าภายในสิบปีต่อจากนี้ จะโฟกัสการส่งเสริมสุขภาวะกับกลุ่มเด็กในชุมชนเป็นหลัก  ด้วยเครื่องมือสำคัญที่หมอนิลนำมาใช้ก็คือ EF หรือ Executive Function ซึ่งเป็นการทำงานของสมองด้านการจัดการ ซึ่งมีอิทธิพลต่อความสำเร็จในชีวิต โดยอาศัยกระบวนการทางปัญญา (cognitive process) ต่างๆ เช่น การยับยั้งความคิด การแก้ปัญหา การวางเป้าหมาย การวางแผนการปฏิบัติ เป็นความสามารถในการควบคุมความคิดตนเอง หรือความสามารถในการปรับเปลี่ยนความคิดและความสนใจตามสถานการณ์ไปในทิศทางบวก

ซึ่งหมอหนุ่มยอมรับว่า ตอนแรกเขาเองก็ไม่รู้จักแต่พอมาศึกษาทำให้รู้ว่าหากเด็กได้รับการพัฒนาในเรื่องอีเอฟ จะบ่มเพาะให้เด็กเป็นคนมีความอดทน และจะมุ่งมั่นทำให้สำเร็จในการป้องกัน หรือปรับปรุงตัวเองไม่ให้เกิดโรคได้

“แต่เราพบว่าเด็กส่วนใหญ่ในชุชนมีปัญหาเรื่องพ่อแม่ต้องไปทำงาน แล้วปล่อยลูกหลานอยู่กับปู่ย่าตายาย หรือคนรับฝากเลี้ยง ซึ่งส่วนใหญ่จะปล่อยให้เด็กอยู่กับมือถือ เพราะเขาเองก็ต้องทำงานบ้านหรือทำอาชีพอื่น ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะกับเด็ก อีกทั้งพ่อแม่จะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเวลาให้ กลัวลูกรู้สึกขาดก็จะสปอยล์ ทำให้เด็กมีบุคลิกภาพไม่ค่อยอดทนรอคอย อยากได้อะไรต้องได้ เริ่มมองเห็นแต่ตัวเอง “

หมอกล่าวต่อว่าในความเป็นจริง หากต้องการให้เด็กมีพัฒนาการเติบโตตามวัย เด็กจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาการในเรื่องอีเอฟตั้งแต่ช่วงวัย 1-6 ปี เพราะเป็นช่วงที่ระบบประสาทและพัฒนาการสมองต่างๆ เหมาะสมที่สุด หากแต่การเล่นแต่มือถือทำให้เด็กขาดการพัฒนาที่ควรจะเป็น 

ซึ่งก้าวแรกของกระบวนการจึงต้องดึงบุคคลสำคัญที่มีบทบาทต่อการขับเคลื่อนเรื่องนี้มากที่สุด นั่นคือพ่อแม่และครู ที่จะมาช่วยกันออกแบบและร่วมกันหาแนวทาง 

“เรามองว่าเป็นเรื่องของเขา คือชุมชน เขาควรจะรู้ตั้งแต่วัยเด็ก ในห้องเรียน เป็นการเรียนรู้จากสิ่งเป็นจริง ผมจึงเข้าไปในโรงเรียนก่อนเพื่อทำเรื่องโภชนาการในโรงเรียน ทีนี้ เรามองว่ายังมีหลายองค์ประกอบอีกที่ต้องประกอบกัน” 

หมอหนุ่มเอ่ยต่อว่า จึงเริ่มจากนำงานวิจัยเรื่องอีเอฟ ที่ได้จากมหาวิทยาลัยมหิดล มาให้ครูลองทำแบบทดสอบ 

“ผลคือเด็กไม่ตกจากมาตรฐานนะ แต่เราเห็นคะแนนในส่วนการยับยั้งชั่งใจและความอดทนของเด็กมีแนวโน้มค่อนข้างต่ำ จึงเอาผลดังกล่าวมาแลกเปลี่ยนมุมมองกับพ่อแม่ เพื่อคุยว่าลูกเขามีพฤติกรรมแนวนี้หรือเปล่า เพื่อให้พ่อแม่มองเห็น เรียกว่าเป็นการสร้างความตระหนัก

ต่อมาจึงเชิญวิทยากรมาคุยในด้านวิชาการ ที่ถูกต้อง เราจัดให้ทั้งหมอ พ่อแม่ และครูไปเรียนรู้เรื่องอีเอฟ เพื่อกลับมาช่วยออกแบบกระบวนการเตรียมความพร้อมเด็กในสิบปี ร่วมกันถอดบทเรียน ซึ่งเราก็ไม่ได้นำมาใช้ทั้งหมด เพราะต้องดูบริบทความเหมาะสมของพื้นที่ เป็นการเรียนรู้ร่วมกันไปเรื่อยๆ”

หลังเดินหน้าในกลุ่มผู้ใหญ่จนเริ่มจะได้รับการตอบรับ ซึ่งในส่วนของกิจกรรมเด็กเอง มีการจัดรูปแบบกระบวนการเพื่อให้เด็กฝึกการใช้ระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 ผ่านกิจกรรมต่างๆ การเล่นวาดรูป โดยใช้สีและวัสดุจากธรรมชาติ ฝึกทำบัวลอยกับพ่อแม่ เพื่อให้เด็กเรียนรู้เรื่องสี เป็นต้น

แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อเสริมพัฒนาการสร้างการเรียนรู้ให้แก่เด็กของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เรื่องนี้ ภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. ให้ข้อมูลว่า ชุมชนไทยส่วนใหญ่มักมีพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชนน้อย ทำให้เด็กใช้เวลาว่างที่เสี่ยงต่อการเกิดพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น ดูโทรทัศน์ เล่นเกมมากเกินไป กินอาหารไม่มีประโยชน์ ไม่ออกกำลังกาย ทำให้เด็กยังขาดโอกาสในการมีสุขภาวะที่ดี และเข้าไม่ถึงกิจกรรมสันทนาการที่มีประโยชน์ เช่น การเรียนดนตรี ดูหนังฟังเพลง วาดภาพสร้างงานศิลปะ เป็นต้น 

แม้เพิ่งจะเริ่มมาได้ไม่นาน แต่หลายฝ่ายในพื้นที่ต่างยินดีที่ร่วมมือกัน ซึ่งอีกหนึ่งการขับเคลื่อนระดับนโยบายของท้องถิ่น คือวันนี้หลายฝ่ายกำลังหาทางออกเรื่องการดูแลเด็กว่าหากพ่อแม่ต้องออกไปทำงาน ไม่มีเวลาเลี้ยงดูลูก ชุมชนควรจะมีการจัดตั้งศูนย์ดูแลโดยเฉพาะหรือไม่ อย่างไร ซึ่งต้องมาร่วมกันคิดต่อไป

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ