เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
โลกสาระ / กวี จงกิจถาวร
กอบกู้ชื่อเสียงประเทศไทย
สื่อมวลชนต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นในโลกตะวันตกหรือโลกตะวันออกมีความคิดเห็นเหมือนกันคือ เหตุการณ์ในเมืองไทยในช่วง 6 เดือนกว่าที่ผ่านมา ได้ทำให้หน้าตาของประเทศไทยป่นปี้ในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบอบการเมือง นิติรัฐ สื่อมวลชน และเรื่องอื่นๆ
การยึดสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นเวลา 8 วัน มีผลทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ส่งผลกระทบกระเทือนผู้โดยสารต่างประเทศและในประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งต้องถือได้ว่าเป็นจุดหักเหที่สำคัญในเรื่องภาพลักษณ์ของไทยในต่างประเทศ
หลังสงครามโลกครั้งที่สองเสร็จสิ้นใหม่ๆ ประเทศไทยต้องเข้าหาองค์การสหประชาชาติเพื่อหาที่กำบังให้ตัวเอง เพราะไม่มีเพื่อนในเวทีการเมือง ระหว่างสงครามไทยอยู่พวกอักษะ แต่โชคดีที่ขบวนการเสรีไทยต่างแดนได้รับการยอมรับจากฝ่ายพันธมิตร ทำให้ไทยไม่ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นฝ่ายปราชัย แต่ประสบการณ์ครั้งนั้นได้กลายเป็นชนักติดหลังประเทศตั้งแต่นั้นมา
ในช่วง 60 กว่าปีที่ผ่านมา ไทยพยายามอย่างมากในการเข้าร่วมกิจกรรมระหว่างประเทศที่องค์การสหประชาชาติอุปถัมภ์ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม หรือการรักษาสันติภาพระหว่างประเทศ ผู้นำไทยมักจะระมัดระวังมาก คิดอยู่อย่างเดียวว่า ไทยเราได้ผลประโยชน์อะไรบ้าง เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนอย่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย ไทยเราจะหายความสำนึกที่เป็นสากลอย่างมาก
ในภาวะปกติ ความรู้สึกของคนต่างประเทศต่อไทยจะไปทางบวกมากกว่าทางลบ เห็นตรงกันว่าเป็นประเทศเปิด มีเสรีภาพทางการเมือง การแสดงออก เศรษฐกิจมีพลวัต มีสถาบันกษัตริย์เป็นที่เคารพของประชาชน ประชาชนเป็นคนรักสนุก ไม่ซีเรียสอะไรมาก มักจะเรื่องบ้าๆ บอๆ แบบไทยเกิดขึ้น (เช่น ผลักคนรักตกลงไปในบ่อจระเข้ หรือเชือดจู๋ให้เป็ดกิน เป็นต้น)
ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา ความรู้สึกนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ภาพลักษณ์และความรู้สึกเกือบทุกอย่างได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลของกระแสโลกานุวัตน์ก็ว่าได้ที่มีผลโดยตรงต่อสังคมไทยและคนไทยรุ่นใหม่ สังคมไทยและสถาบันหลักๆ ยังไม่มีปฏิรูป
ตั้งแต่บัดนี้ รัฐบาลไทย คนไทย รวมทั้งสถาบันไทยต่างๆ ต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงไทยกลับคืนมา วิธีหนึ่งที่จะช่วยได้คือคนไทยด้วยกันต้องเข้าใจก่อนว่า คนต่างประเทศเขามองประเทศเราอย่างไรบ้าง สื่อมวลชนนอกรายงานข่าวเกี่ยวกับไทยอย่างไรบ้าง
สื่อกระแสหลักต่างประเทศให้ความสนใจต่อ 3-4 ประเด็น คือ การยึดสถานที่ราชการ เช่นทำเนียบรัฐบาล สถานีโทรทัศน์ของกรมประชาสัมพันธ์ สนามบินสุวรรณภูมิ เรื่องข้อเสนอสมาชิกผู้แทนราษฎรที่มาจากการแต่งตั้ง บทบาทชนชั้นกลางและคนชนบทในการพัฒนาการเมืองประชาธิปไตย อีกเรื่องหนึ่งที่มีการเขียนมากที่สุดคือ สถาบันกษัตริย์กับความเชื่อมโยงในการเมืองไทย
นอกจากนั้นจะมีผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศทั้งที่เป็นนักวิชาการหรืออดีตนักการทูต ที่ได้แสดงความคิดเห็นออกมาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ที่น่าแปลกใจคือนักวิชาการต่างประเทศรุ่นใหม่ๆ ที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับไทย จะเห็นว่าไทยไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีแต่กรอบ ประชาชนไม่มีความเข้าใจถูกทางการสั่งมา (แบบผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม อะไรทำนองนั้น) เพราะในไทยยังมีระบบเครือข่ายและผลประโยชน์มากมายที่ทับซ้อนกัน
งานกอบกู้ชื่อเสียงไทยครั้งนี้จะยากและใช้เวลามากกว่าที่คิด เหตุการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2001 ทำให้เห็นประเทศไทยเปลือยล่อนจ้อน เห็นแต่โครงกระดูกไม่มีอะไรน่าสนใจ อย่างที่คิดกัน ตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา ยังมีปัจจัยใหม่คือ เครือข่ายและเงินของ ทักษิณ ชินวัตร ในต่างประเทศ ที่มีขีดความสามารถเต็มร้อยในการสร้างกระแสให้การรับรู้ของสื่อทุกรูปแบบต่างๆ ทั่วโลกในเรื่องที่เกี่ยวกับนิติรัฐและสถาบันกษัตริย์ไทยอย่างมหัศจรรย์
วาทกรรมเกี่ยวไทยได้เปลี่ยนรูปโฉมหมดแล้ว เราเตรียมใจกันแล้วยัง?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง