ข่าว

donใหม่(ฝน)..lm...ok...คดีสังหารโหดหมู่พระธรรมทูต..."ผลิก!" ออกพุธ 10 ธันวาคม 2551

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

donใหม่(ฝน)..lm...ok...คดีสังหารโหดหมู่พระธรรมทูต..."ผลิก!" ออกพุธ 10 ธันวาคม 2551 ------------------------เรื่องนี้อยู่ครึ่งล่าง // เขยิบให้สูงขึ้นมา 1 นิ้วก็ได้-------------------- คดีสังหารโหดหมู่พระธรรมทูต..."พลิก!" ------------------------ เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ (ค.ศ.๑๙๙๑) ณ วัดพรหมคุณาราม เมืองฟีนิกซ์ อริโซนา สหรัฐอเมริกา เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้พี่น้องชาวพุทธ และชาวไทยตกตะลึง และเศร้าโศกเสียใจ อย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้น เมื่อพระธรรมทูต ๖ รูป สามเณร ๑ รูป เด็กวัด ๑ คน แม่ชี ๑ คน ถูกฆาตกรรมด้วยการสังหารโหดพระและคณะ ด้วยปืนยาวยิงเข้าที่ท้ายทอยทุกรูปทุกคน ศพทั้งหมด ถูกนำมาเรียงเป็นซี่ล้อเกวียนสุมหัวเข้าหากัน เหมือนกับเรียงเป็นซี่กง ล้อธรรมจักร หน้าคว่ำลงกับพื้น ศพสุดท้ายถูกแยกไว้ต่างหาก ข้าวของในกุฏิถูกรื้อกระจุยกระจาย แต่ไม่ปรากฏว่ามีของมีค่าหายไปจากวัด เงินที่ติดอยู่บนต้นผ้าป่ายังอยู่ครบ เห็นได้ชัดว่า โจรที่ก่อคดีฆ่าล้างวัดไม่ได้สนใจทรัพย์สิน แต่เหมือนกับว่าต้องการค้นหาอะไรสักอย่างหนึ่งภายในวัด เนื่องจากเป็นคดีสะเทือนขวัญ ทางการรัฐอริโซนาได้ตั้งหน่วยเฉพาะกิจขึ้น เพื่อสืบสวนคดีนี้ขึ้นโดยเฉพาะ ในกลางเดือนกันยายน ปีเดียวกัน เจ้าหน้าที่ได้พยายามสืบหาเบาะแสต่างๆ ที่จะคลีคลายคดีนี้ โดยการสัมภาษณ์คนไทยที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ ครั้งแรก ชุดเฉพาะกิจได้ดำเนินการจับกุมอันธพาลกลุ่มหนึ่ง จำนวน ๔ คน จากเมืองทูซอน ทั้งนี้ญาติพี่น้องของผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ออกมาเดินขบวนประท้วง โดยมีหลักฐานชัดเจนที่สามารถระบุได้ว่า ในคืนเกิดเหตุนั้น ทั้งสี่คนอยู่ในสถานที่อื่น ที่ไกลออกไปจากวัดแห่งนี้มาก จึงไม่อาจเป็นผู้ร้ายที่กระทำการอุกอาจนี้ได้ ทางด้านสื่อมวลชนให้ความสนใจกับคดีนี้มาก ประชาชนเริ่มเห็นว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจนี้มีปัญหา และมีแนวโน้มว่า ผู้ต้องหาทั้งสี่คนจะเป็นแพะ เมื่อไม่สามารถเอาผิดอันธพาล ๔ คนนี้ได้ จึงมุ่งเป้าไปยัง นายโจนาธัน ดูดี้ เและเพื่อนของตนอีกคนหนึ่งชื่อ นายอเล็ก การ์เซีย ทั้งนี้พนักงานสอบสวนได้ตั้งข้อหา และจับกุมตัวนายโจนาธัน ดูดี้ว่า เป็นผู้สังหารพระไทย ณ วัดพรหมคุณาราม อัยการของรัฐอริโซนา ได้ตั้งข้อหาวัยรุ่นทั้งสองคนว่า เป็นโจรเข้าไปปล้นฆ่าพระล้างวัด ด้วยเจตนาที่จะชิงทรัพย์ โดยเฉพาะนายโจนาธัน ดูดี้ ตกอยู่ในฐานะผู้ลั่นไกสังหารพระ และฆราวาสทุกคน และส่งฟ้องต่อศาลอาญาแห่งรัฐอริโซนา ลูกขุนตัดสินว่า นายโจนาธัน ผิด เพราะอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ไม่ใช่ผู้ลั่นไก ครั้งแรกจะให้ลงโทษประหารชีวิต ภายหลังศาลพิพากษาจำคุกเกือบ ๒๕๐ ปี จากนั้นก็ติดคุกเรื่อยมา จนถึงปัจจุบัน แม้ว่ารูปคดีที่อัยการกล่าวหาผู้ต้องหานั้น ไม่สอดคล้องกับวิธีการฆ่า การเรียงศพของผู้ตาย และการคงอยู่ของเงินบนต้นผ้าป่า ชุมชนไทยในรัฐอริโซนาสงบเงียบ ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ผู้ปกครองของนายดูดี้เอง พยายามติดต่อทางการไทย โดยเฉพาะสถานทูตไทยในสหรัฐ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่บุตรชายของตน แต่ปรากฏว่า ไม่ได้รับคำตอบ ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนไทยในลอสแองเจลิส นำเสนอข่าว และยกคำถามหลายประเด็นที่น่าสนใจ และยังความเคลือบแคลงสงสัยในหมู่คนไทยหลายประเด็น คนไทยส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า คดีนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปล้นชิงทรัพย์ แต่น่าจะมีเหตุอะไรสักอย่างหนึ่งที่ลึกลับไปกว่านั้น "ผมเองในขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานสงฆ์ วัดพระธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย และกำลังทำปริญญาโททางด้านจริยศาสตร์การแพทย์ ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และได้ติดตามคดีสะเทือนขวัญนี้มาอย่างต่อเนื่อง และก็เกิดความสงสัยมากมาย ในการตัดสินใจของอัยการ เมื่อคดีนี้เกิดขึ้นใหม่ๆ และมีข่าวลือแพร่สะพัดไปว่า เป็นมูลเหตุมาจากการค้ายาเสพติด ก็มิได้นิ่งนอนใจ รวบรวมสมัครพรรคพวกแถลงข่าวที่วัดไทยในแอลเอ ไม่นานหลังจากเกิดเหตุ และเป็นต้นคิดคำว่า 'วันมหารำลึก' สำหรับสมัชชาสงฆ์ไทยในอเมริกา ที่จะจัดงานประจำปี เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่ชุมชนไทย คนไทยในสหรัฐ และเพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ซึ่งมีการดำเนินการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน" นี่คือเหตุผลของ นพ.ดร.มโน เมตตานันโท เลาหวณิช ที่ปรึกษาพิเศษในเลขาธิการใหญ่ องค์การสมัชชาศาสนาเพื่อสันติแห่งโลก (ดับเบิลยูซีพีอาร์) โดยได้ทำคดีนี้มาตั้งแต่ขณะยังบวชเป็นพระอยู่ นพ.ดร.มโน บอกว่า หลังจากเสร็จงานวันมหารำลึกครั้งแรก หนึ่งปีหลังจากนั้น พ่อแม่ของนายโจนาธันได้โทรศัพท์ติดต่อมายังที่วัด เพื่อสอบถามรายละเอียดต่างๆ ยิ่งเกิดความฉงนสนเท่ห์ในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และกระบวนการยุติธรรมของรัฐอริโซนามากยิ่งขึ้น และมีแนวโน้มว่า นายโจนาธัน จะถูกตัดสินประหารชีวิต จึงตัดสินใจเขียนบทความเรื่องราวต่างๆ ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนในประเทศไทย และหนังสือพิมพ์ไทยอีกหลายฉบับในอเมริกา เมื่อวันพิจารณาคดีครั้งสุดท้ายใกล้มาถึง ได้ลงทุนเดินทางมาร้องเรียนเรื่องนี้กับ รัฐบาลไทย ที่รัฐสภา เกิดเป็นข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ พระผู้ใหญ่บางรูปออกโรงที่จะเข้ามาให้ความช่วยเหลือ และมี ส.ส.ในสภาให้ความสนใจกันมาก แต่สถานการณ์พลิกผันทันที ภายหลังออกแถลงการณ์โต้ตอบเพื่อปกป้องคดีนี้ และยืนยันว่า ระบบตุลาการของสหรัฐนั้น ยุติธรรม และมีประสิทธิภาพ ความหวังที่จะได้รับความช่วยเหลือจากทางการไทยลดน้อยไปทุกที หลังจากที่ตัวแทนจากรัฐสภาเดินทางกลับมาให้ความเห็นไม่ตรงกัน ขณะเดียวกันนั้น ชุมชนไทยในรัฐอริโซนาออกมาต่อต้าน นพ.ดร.มโน อย่างรุนแรง เพื่อให้คดีนี้จบลงโดยเร็วที่สุด ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น คือ รัฐบาลไทยเองก็กลัวว่า คดีนี้จะทำให้ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-สหรัฐ ต้องสูญเสียไป กระทรวงการต่างประเทศให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวง (ไม่ใช้ชื่อจริง) เขียนบทความลงขัดแย้งกับการให้ข่าว และบทความที่ นพ.ดร.มโน นำเสนอในสื่อมวลชนมาตลอด ทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในการพยายามที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมในคดีนี้ เมื่อหาที่พึ่งใดๆ ไม่ได้ จึงต้องติดต่อ ศ.อลัน เดอร์โชวิซ อาจารย์สอนกฎหมาย ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และได้ชื่อว่าเป็นทนายที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐ โดย นพ.ดร.มโน เป็นผู้หาเงินมาใช้ในการต่อสู้คดีนี้ตามลำพัง เมื่อผู้พิพากษาทราบว่า ทนายจำเลยที่จะมาศาลอุทธรณ์คดีให้จำเลยนั้นเป็นใคร ผู้พิพากษาได้เปลี่ยนท่าที และแทนที่จะลงโทษประหาร ก็กลายเป็นการจำคุกระยะยาวสองร้อยกว่าปี กระนั้นเอง การต่อสู้คดีก็มิใช่ง่าย นพ.ดร.มโน เองลงทุนเดินทางไปเป็นพยานให้จำเลย เพื่อขอลดโทษด้วยตนเอง และประสานงานผู้ที่เห็นแก่ความเป็นธรรมให้ช่วยสนับสนุน มีพระเถระหลายรูปที่ออกมาช่วยเหลือในการระดมทุน รูปแรก คือ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี รวมทั้งเจ้าคณะจังหวัดยะลา วัดเมืองยะลา เจ้าอาวาสวัดนาทวี จ.สงขลา เจ้าอาวาสวัดเขาตะเกียบ อ.หัวหิน เพื่อเป็นการใช้จ่ายในการต่อสู้คดีในสหรัฐ โดยมีคณะของ เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ช่วยเป็นหัวแรง ทุกอย่างเป็นไปด้วยความทุลักทุเล ไม่มีองค์กรใดๆ ให้ความช่วยเหลือ การต่อสู้ครั้งนั้นยาวนานขึ้นทุกวัน จากเดือนเป็นหลายเดือน จากหลายเดือนเป็นหลายปี จากศาลอุทธรณ์ไปสู่ศาลฎีกา จากศาลฎีกาไปสู่ศาลสิทธิมนุษยชน จนเวลาผ่านไปถึง เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ที่ผ่านมานี้ ที่ศาล Ninth Circuit Court เป็นองค์คณะผู้พิพากษาพิจารณาหลักฐานต่างๆ ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่ทนายขออุทธรณ์ไปครั้งสุดท้าย ได้วินิจฉัยว่า
logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ