เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
*** นอกบ้านผ่านเมือง ตปท. กรอบ 2 - 9 ธ.ค./ เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต
บายไลน์------ บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์
คนเราจะเห็นน้ำใจกันก็ในยามยากนี้เอง ดิฉันแสนจะงุนงงระคนปลาบปลื้มเมื่อเห็นข่าวสหภาพแรงงานผู้ผลิตรถยนต์ในแดนดินถิ่นอินทรีหงอยประกาศขอลดสวัสดิการของตัวเองลง ด้วยการชะลอการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลรวม ทั้งยอมให้แก้ไขสัญญาการจ้างงาน เพื่อให้รัฐสภาอนุมัติแผนปรับโครงสร้างองค์กรของ 3 บริษัทผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นจีเอ็ม ไครสเลอร์ และ ฟอร์ด ปูทางให้รัฐบาลสามารถจัดสรรเงินช่วยเหลือให้ 3 บริษัทนี้ที่จวนเจียนจะล้มละลายได้
ขณะที่ซีอีโอของจีเอ็มและฟอร์ดประกาศขอรับเงินเดือนแค่ 1 ดอลลาร์ หรือราว 35 บาทตามอย่างซีอีโอของไครสเลอร์ แลกกับการที่รัฐบาลจะยอมให้เงิน 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ มาอุ้มกิจการ จากเดิมที่ซีอีโอเหล่านี้เคยได้เงินเดือนและค่าตอบแทนต่างๆ รวมแล้วคนละราว 20 ล้านดอลลาร์ในแต่ละปี
ไม่นับรวมกรณีที่ 3 บริษัทนี้ยอมตัดใจขายเครื่องบินเจ็ตที่ใช้สำหรับการเดินทางของผู้บริหาร นอกเหนือจากลดคนงาน ลดสายการผลิต และปิดโรงงานบางแห่ง รวมทั้งปรับยุทธศาสตร์ใหม่หันไปเร่งผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือก เช่น รถไฮบริด และรถไฟฟ้า และการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กเป็นต้น
ถือเป็นการยอมตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตของส่วนรวมไว้โดยแท้
ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ผู้นำแดนสิงโตทะเลสิงคโปร์ ตั้งแต่ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง สมาชิกรัฐสภา ก็สมัครใจลดเงินเดือนตัวเองตั้งแต่ 16-19 เปอร์เซ็นต์ เพื่อนำร่องการลดเงินเดือนข้าราชการในปีหน้า เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกที่เชื่อว่ารุนแรงยิ่งกว่าสึนามิล้างโลกเสียอีก
โดยหลังจากลดเงินเดือนลง 19 เปอร์เซ็นต์แล้ว ประธานาธิบดีจะมีรายได้เหลือปีละราว 72 ล้านบาท ส่วนนายกรัฐมนตรีจะมีเงินเดือนราว 70 ล้านบาทเท่านั้นเอง
ด้านผู้บริหารระดับสูงของบริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ บริษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ ใต้การนำของนางโฮ ชิง สตรีเหล็กผู้เป็นศรีภริยาของนายลี เซียน หลง นายกรัฐมนตรี ก็นำขบวนขอลดเงินเดือนตัวเองลง 15-25% บ้าง ทำให้บริษัทนี้สามารถประหยัดได้เกือบ 90% ทั้งๆ ที่ในปีนี้เทมาเส็กมีกำไรเพิ่มขึ้น 2 เท่า เป็น 18,200 ล้านดอลลาร์ อันเป็นผลจากยอดขายสินทรัพย์ด้านพลังงานและภาคธนาคารในจีน
การลดเงินเดือนของผู้บริหารเทมาเส็กเป็นเพราะต่างวิเคราะห์แล้วว่าเศรษฐกิจโลกจะถดถอยในปีหน้า และอาจลากยาวไปหลังจากนั้น ขณะที่ในปีนี้มูลค่าหุ้นทั่วโลกหายไปกว่า 33 ล้านล้านดอลลาร์
คิดแล้วน่าอิจฉาเป็นที่สุด ทำไมหนอข่าวดีๆ เหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในไทยแลนด์แดนแค่นยิ้มมาเนิ่นนานแล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง