บรรยากาศการเข้ากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 131 ของการเสด็จฯ สวรรคต
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ สวรรคต 131 วัน วันนี้สำนักพระราชวัง เปิดประตูวิเศษไชยศรี พระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 04.50 น.ให้ประชาชนเดินเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบไปรอขึ้นกราบสักการะพระบรมศพบรรยากาศตลอดทั้งวันมีพสกนิกรทั้งจากกรุงเทพฯและต่างจังหวัด อาทิ นครสวรรค์,ชัยภูมิ,นนทบุรี,ร้อยเอ็ด,หนองคาย,สุรินทร์,สิงห์บุรี,สุพรรณบุรี,เชียงราย,เชียงราย,นครปฐม,ตราด,ชลบุรี,ประจวบคีรีขันธ์ และ สุราษฎร์ธานี เดินทางมาอย่างไม่ขาดสายด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และความจงรักภักดีแด่ในหลวง ร.9 ที่ทรงงานเพื่อประชาชนอย่างไม่รู้จักเหน็จเหนื่อยตลอด 70 ปีที่ทรงครองราชย์
นางพูน สีงาม อายุ 52 ปี ชาวยโสธรที่ย้ายมาตั้งรกรากอยู่กรุงเทพฯ ได้กว่า 20 ปีแล้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมมีน้ำตาไหลออกมาว่า เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพเป็นครั้งที่ 3 โดยวันนี้มาพร้อมเพื่อนรวม 4 คนจากบ้านพักย่านดินแดงเวลา 05.30 น.ถึงบริเวณท้องสนามหลวงเวลา 06.00 น. เข้าแถวรอไม่นานก็ได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพ หากมีโอกาสอยากมาอีกหลายๆ ครั้ง เพื่อส่งเสด็จในหลวง ร.9 สู่สวรรค์ ทุกครั้งที่กราบรู้สึกตื้นตันใจ แม้จะไม่เคยมีโอกาสรับเสด็จในหลวง ร.9 ในระยะใกล้ๆ แต่ก็ได้ซึมรับบรรยากาศความปลื้มปิติ เมื่อครั้งทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ได้ไปเฝ้ารับเสด็จพร้อมคนไทยเรือนแสนบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า พระราชวังดุสิต ได้พระพักตร์ท่านผ่านจอมอนิเตอร์ก็ดีใจแล้ว ได้เห็นน้ำใจของคนไทยที่ช่วยเหลือกันด้วย ทุกวันนี้แม้ในหลวง ร.9 จะสวรรคตแล้วแต่ไม่รู้สึกว่าไปไหน ยังอยู่กับพวกเรา เป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนไทยที่จะทำความดี ส่วรตัวตั้งใจคิดดี พูดดี ทำดีถวายเป็นพระราชกุศล
นายวิษณุ ทับกระเสพ อายุ 36 ปี ชาวบ้านคอกวัว ต.หนองยายดา อ.ทับทันจ.อุทัยธานีที่มาทำงานอยู่ย่านบางใหญ่ นนทบุรี เล่าว่าวันนี้บริษัทหยุดให้ 1 วันจึงถือโอกาสออกจากบ้านพักโดยรถจักรยานยนต์เวลา 05.00 น.แล้วเข้าแถวรอเวลา 06.00 น.และได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพเวลา 08.30 น. เป็นครั้งแรกที่ได้มาทั้งตื่นเต้นและตื้นตันใจมาก ที่ผ่านมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากในหลวง ร.9 มาก บ้านที่อยู่ทุกวันนี้ก็ปลูกบนที่ดินของพระองค์ท่าน สมัยรุ่นตายายมีที่ดินรกร้างอยู่ผืนหนึ่งประมาณ 10 ไร่ ไม่มีลูกหลานจับจองตายายจึงยกถวายในหลวง ร.9 ไป แล้วเวลาผ่านไปก็ตกทอดมาถึงผม ได้มีที่อยู่อาศัยและทำกิน เพราะคนสมัยก่อนจะย้ายถิ่นฐานทำกินไปเรื่อย สุดท้ายก็มาอยู่ที่เดิม เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่มีท่านก็อาจไม่มีที่อยู่ ตอนท่านสวรรคตไม่อยากเชื่อเลย ไม่เคยรับเสด็จใกล้ๆ มีแต่ขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านแล้วหยุดเห็นพระองค์ท่านโบกพระหัตถ์อยู่ในรถก็ดีใจแล้ว
“วันนี้ถือโอกาสแวะมาชมนิทรรศการเย็นศิระเพราะพระบริบาลด้วย ประทับใจทุกอย่างเกี่ยวกับที่ท่านทำไว้ห้พวกเรา จากผืนดินแห้งแล้งกลับมาชุ่มฉ่ำด้วยฝนหลวงที่พระองค์ทรงคิดขึ้น ยังมีโครงการต่างๆ ที่ล้วนสร้างประโยชน์ให้ประชาชน อยากให้ผู้นำทุกคนนำแนวทางของในหลวง ร.9 มาดูแลประชาชน ผมเองก็จะทำความดี และกลับไปบอกเล่าให้คนในหมู่บ้านทำตามด้วย แค่คิดและทำดี ไม่คดโกง มีน้ำใจต่อกันก็ถือว่าได้ทำดีแล้ว” นายวิษณุ กล่าว
นางวิสุทธิ์ เกตุงาม อายุ 67 ปี อาชีพค้าขายริมชายหาดบางแสน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี กล่าวทั้งน้ำตาแห่งความอาลัย ว่า เดินทางมาพร้อมกับกลุ่มแม่ค้าริมหาดบางแสน และกลุ่มเตียงผ้าใบริมหาดบางแสน จำนวน 18 คน โดยเช่ารถตู้เดินทางมากันเอง และเพิ่งจะเดินทางมากันเป็นครั้งแรก รู้สึกดีใจมาที่ได้มีโอกาสมากราบถวายสักการะพระบรมศพ ในหลวง ร.9 ซึ่งภายหลังจากที่พระองค์สวรรคตก็ได้ไปร่วมสวดมนต์ที่วัดแจ้งเจริญดอน และทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศลเรื่อยมา ทุกวันนี้ก็ยังทำกันอยู่และจะทำไปจนถึงวันถวายเพลิงพระบรมศพ และอยากจะเดินทางมาอีก แต่กลัวคนเยอะคงจะเข้าไม่ถึง คงได้แต่ไปร่วมพิธีที่วัดใกล้บ้าน
“รักในหลวง ร.9 มาก ท่านเอาใจใส่ประชาชน สอนแต่สิ่งดีๆให้กับประชาชน ชื่นชมพระองค์ที่ทรงมีวิสัยทัศน์ก้าวหน้า เห็นได้จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ ที่ทรงคิดขึ้นมา ทำให้พสกนิกรไม่อดอยากและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะโครงการฝนหลวงซึ่งมีประโยชน์กับพวกเราชาวชลบุรีมาก เพราะส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกร ชาวบ้านขาดเหลืออะไรก็ได้รับความช่วยเหลือ ต่อไปไม่มีพระองค์ท่านแล้วพวกเราก็ยังระลึกถึงและรู้สึกเศร้าเสียใจมาก พวกเราก็จะขอน้อมนำหลักคำสอนในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตเช่น ขยัน อดทน ทำได้แค่ไหนก็ใช้แค่นั้น ไม่โลภไม่โกงของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง และขณะขึ้นไปกราบก็อธิฐานขอให้ตัวเองมีสุขภาพแข็งแรงและขอให้พระองค์เสด็จสู่สรวงสวรรค์ชั้นสูงสุดด้วย” นางวิสุทธิ์ กล่าว
ขณะที่นางกุสุมา ชูศรีโฉม รองนายก อบต.วังโพรง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก พร้อมด้วยนายยุพิน สุขเจริญ ประธานแม่บ้านวิสาหกิจชุมชน ต.วังโพรง ร่วมกันกล่าว ว่า เดินทางมาพร้อมกับชาวบ้านอีกกว่า 200 คน มาถึงท้องสนามหลวงประมาณ 03.00 น.และได้เข้ากราบคิวแรกๆ ก่อนเวลาเวลา 07.00 น. รู้สึกปลาบปลื้มที่ได้มีโอกาสเดินทางมากราบพระองค์ ซึ่งใน ต.วังโพรง มีโครงการในพระราชดำริหลายแห่ง มีหมู่บ้านพอเพียง ซึ่งขณะนี้ทางราชการเข้าไปส่งเสริมอาชีพให้ชาวบ้าน และกำลังจะให้ชาวนารวมกลุ่มกัน กลุ่มละ 30 ราย มีที่ดินรวมกันไม่น้อยกว่า 300 ไร่ เพื่อรับเงิน 1 ล้านบาท รับพันธุ์ข้าวฟรี รวมถึงรับเครื่องคัดแยกเมล็ดพันธุ์ข้าวไปร่วมกันใช้และดูแล ส่วนกลุ่มเกษตรกรที่ทำสวนกำลังจะได้เงินทุน กลุ่มละ 1 ล้านบาท ไปทำโครงการเกษตรแปลงใหญ่ ปลูกพืชที่ทางการส่งเสริม โดยทุกกลุ่มจะต้องนำเงิน 1 ล้านไปเฉลี่ยกันลงทุนเพื่อดำเนินโครงการ แต่จะต้องใช้ทุนคืนโครงการด้วย
“พวกเราก็ได้น้อมนำหลักคำสอนเรื่องความพอเพียงของพระองค์มาปรับใช้กับโครงการนี้ด้วย โดยใช้เงิน พอประมาณ ไม่ใช้จ่ายเกินตัว และทำเท่าที่ทำไหว เหลือใช้ก็เก็บไว้บางส่วน เผื่อเวลาเกิดวิกฤตจะได้ไม่เดือดร้อน และจะต้องหาความรู้จากหน่วยงานและกลุ่มต่าง ๆเพื่อนำแนวคิดและแนวทางวิธีการมาปรับเพิ่มรายได้ให้กับตนเองและกลุ่มของตัวเอง” นางกุสุมา กล่าว
ทั้งนี้ สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 19 ก.พ.หลัง ปิดขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 21.13 น.ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 30,369 คน รวม 109 วัน มียอดสะสม 4,574,553 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศล 2,727,938 บาท รวม 109 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 385,800,344.34 บาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง