พระธรรมกิตติเมธ แสดงธรรมเทศนา ในหลวง ร.9 ทรงรู้เหตุและผลในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ จึงทรงแก้ปัญหานั้นๆ ให้ลุล่วงไปได้ดี ด้วยพระปรีชาสามารถเป็นเลิศ....
วันที่ 19 มกราคม ในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เจ้าพนักงานได้นิมนต์ พระธรรมกิตติเมธ วัดวัดราชาธิวาส มาแสดงธรรมเทศนา เรื่อง “สันตธรรมกถา” โดยมีใจความว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงดำรงพระองค์อยู่ใน “สัปปุริสธรรม” หรือ ธรรมของสัตตบุรุษ 7 ประการ คือ เป็นผู้รู้เหตุ เป็นผู้รู้จักผล เป็นผู้รู้จักตน เป็นผู้รู้จักประมาณ เป็นผู้รู้กาลเวลา เป็นผู้รู้จักบริษัทหรือความรู้จักชุมชน และเป็นผู้รู้จักคนที่ควรคบหาสมาคม กล่าวคือ ทรงรู้เหตุและผลในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ จึงทรงแก้ปัญหานั้นๆ ให้ลุล่วงไปได้ดี ด้วยพระปรีชาสามารถเป็นเลิศ ทรงรู้ตนคือพระองค์เอง ในฐานะที่ทรงเป็นองค์พระประมุขของปวงชนชาวไทยจึงทรงประกอบพระราชกรณียกิจเอื้ออำนวยประโยชน์สุขแก่พสกนิกรทั่วหน้า มหาชนจึงพร้อมใจกันถวายพระนามว่า “พ่อหลวงแห่งปวงชนชาวไทย”
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงรู้จักประมาณในการดำรงพระชนม์ชีพแบบประหยัด ทรงเป็นแบบอย่างให้ปวงชนประหยัด พร้อมทรงพระราชทานแนวราชดำริเรื่อง “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” อันเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้นำมหาชนโลกได้ขอพระราชทานแนวพระราชดำรินี้ไปปฏิบัติพัฒนาเพื่อปัญหาความยากจนของประชาชนในประเทศนั้นๆ ทรงรู้จักกาลเวลาคือทรงรู้คุณค่าของกาลเวลา ว่าเวลาไหนที่จะทรงทำอะไรให้สำเร็จ เวลาไหนที่จะต้องรอคอย เป็นเหตุผลให้พระองค์ทรงงานได้มากให้เราทั้งหลายเห็นว่าเหมือนกับพระองค์ทรงงานอย่างมีพลังโดยไม่เหน็ดเหนื่อย
ทรงรู้จักประชุมชนที่เป็นพสกนิกรของพระองค์ จึงทรงมีแนวพระราชดำริ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ทั้งทรงรู้บุคคลที่ควรคบหาสมาคม ว่า เขามีอัธยาศัยอย่างไร พสกนิกรของพระองค์มีความรู้ความชำนาญด้านไหน ก็ทรงมอบหมายพระราชภาระงานให้พสกนิกรบุคคลนั้นๆ รับสนองงานตามความเหมาะสม ด้วยพระราชจริยวัตรดังแสดงมานั้น เป็นเหตุให้พระเกียรติยศขจรกระจายไปทั่วสารทิศ สมด้วยพระพุทธภาษิตว่า สัตตบุรุษย่อมปรากฏไปสู่ที่ไกล เหมือนภูเขาหิมพานต์ฉะนั้น ส่วนว่าอสัตบุรุษถึงนั่งอยู่ในที่ใกล้ก็ไม่ปรากฏ เหมือนลูกศรที่ยิงไปในกลางคืนฉะนั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง